เช้าวันต่อมา หลี่ซานขับเกวียนไปขายเต้าหู้และเต้าฮวยที่ตำบลจินจี หลี่หรูอี้ทำแป้งย่างต้นหอมอีกร้อยชิ้น เพื่อเอาไว้กินกับเต้าฮวย
หลี่ซานมีประสบการณ์ขายเต้าหู้ที่อำเภอฉางผิงมาั้แ่เมื่อวานแล้ว วันนี้จึงไม่กังวลว่าจะขายไม่ออก
เด็กชายทั้งสี่แห่งบ้านหลี่กลัวเ้าลาจะเหนื่อย จึงไม่ยอมนั่งเกวียนไป แต่เดินไปสำนักศึกษาแทน หลี่หรูอี้ให้พวกเขานำเต้าหู้สี่ชั่งไปให้จางซิ่วไฉด้วย
ณ ตำบลจินจี เสียงเรียกลูกค้าของหลี่ซานดังกังวาน “เต้าฮวยหอมๆ ขอรับ กินเต้าฮวยบำรุงสมอง เมื่อฉลาดก็เรียนได้ดี หนึ่งถ้วยสามทองแดง”
“เต้าหู้นุ่มๆ ขอรับ คนแก่ไม่มีฟันก็กินได้ จะต้ม ผัด ตุ๋น นึ่ง ก็มีกลิ่นหอมมีรสชาติอร่อย เต้าหู้มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ชั่งละสี่ทองแดงขอรับ”
ชายชราไฝดำร้านเกี๊ยวปรายตามองลูกค้าเก่าแต่ละคนที่รีบวิ่งไปซื้อเต้าหู้และเต้าฮวย แม้ว่าจะรู้สึกร้อนใจ ทว่าก็อับจนหนทาง
เขาคิดในใจว่า ตระกูลหลี่นี่ยอดเยี่ยมจริงๆ มีอาหารชนิดใหม่ออกมาทุกสามวันห้าวัน อาหารก่อนหน้านี้ยังพอมองส่วนประกอบออก แต่เต้าหู้และเต้าฮวยของวันนี้แยกแยะวัตถุดิบไม่ออกเลย ทำให้เขารู้สึกสงสัยเป็อย่างมาก
คนในตำบลไม่ได้ร่ำรวยเท่ากับคนในอำเภอ อีกทั้งยังมีประชากรน้อย วันนี้หลี่ซานจึงนำเต้าหู้มาขายเพียงหนึ่งร้อยชั่งและเต้าฮวยอีกหนึ่งถัง ผลก็คือขายหมดในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
หลี่ซานขับเกวียนไปยังศาลาพักม้าของตำบลจินจี เพื่อขอพบใต้เท้าหลิวและนำเต้าหู้ไปมอบให้เขาห้าชั่ง “ครอบครัวของข้าน้อยขอบคุณที่ใต้เท้าเมตตาสนับสนุนมาตลอดขอรับ นี่เป็เต้าหู้ที่พวกเราเพิ่งทำออกมาใหม่ มีหนึ่งไม่มีสองในแผ่นดิน ใต้เท้าลองนำไปชิมดูขอรับ”
ใต้เท้าหลิวปรายตามองไปยังเต้าหู้สีขาวนวล เขาได้กลิ่นคาวจางๆ จึงถามอย่างสงสัยว่า “ของสิ่งนี้กินได้หรือ”
“กินได้ขอรับ” หลี่ซานแนะนำวิธีการทำเต้าหู้แต่ละอย่างให้ใต้เท้าหลิวฟังอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็เต้าหู้ผัด เต้าหู้ผัดพื้นบ้าน น้ำแกงเต้าหู้หัวปลา หรือเต้าหู้นึ่งซีอิ๊วใส่หมูสับ
“ดีจริงๆ” ก่อนหน้านี้ตอนที่ใต้เท้าหลิวเป็รองหัวหน้าประจำศาลาพักม้า ก็มีหน้าที่รับผิดชอบซื้ออาหารและพวกเตาต่างๆ ซึ่งเป็หน้าที่ทั่วไป แม้จะยังกล่าวไม่ได้ว่าเชี่ยวชาญเื่การทำอาหาร แต่ก็พอรู้อยู่บ้าง เขาจึงตัดสินใจว่า เที่ยงนี้จะนำเต้าหู้ไปทำอาหารด้วยวิธีต่างๆ ที่ได้ยินมา หากอร่อยก็จะนำไปให้นายอำเภอห่าว ผู้บังคับบัญชาเก่าของตน
เมื่อใต้เท้าหลิวมอบเงินรางวัลมาให้ หลี่ซานก็รู้สึกไม่สะดวกใจนัก ทว่าใต้เท้าหลิวยังคงยัดก้อนเงินหนึ่งก้อนใส่มือให้เขา
ทหารที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยในศาลาพักม้ารู้จักหลี่ซานแล้ว เมื่อใต้เท้าหลิวไปแล้วก็พูดยิ้มๆ ว่า “ท่านหลี่ ใต้เท้าหลิวของพวกเราเป็คนจากตระกูลร่ำรวย บรรพบุรุษมั่งคั่ง ครอบครัวของเขาก็มีเงินทองมากมาย เขาจึงใช้จ่ายฟุ่มเฟือยได้” อีกอย่างตำแหน่งที่ตั้งของศาลาพักม้าในตำบลจินจีก็ดียิ่งนัก มีแขกสูงศักดิ์ที่เดินทางเข้าออกเมืองเยี่ยนมาพักผ่อนทานอาหารที่นี่มากมาย เงินที่เมืองเยี่ยนจ่ายให้ศาลาพักม้าจึงมากกว่าที่ศาลาพักม้าแห่งอื่นนับสิบเท่า เงินมากเพียงนี้ล้วนกลับไปหาใต้เท้าหลิวทั้งสิ้น
“นี่เป็น้ำใจเล็กน้อยให้พวกพี่ชายไว้ดื่มชาขอรับ” หลี่ซานหยิบเงินสิบทองแดงออกมามอบให้ทหาร นี่เป็สิ่งที่บุตรีสุดที่รักกำชับไว้ โบราณกล่าวว่า เยี่ยนอ๋อง (ยมทูต) พบเจอง่าย ดังนั้นอย่าได้มองข้ามผีเล็กผีน้อยเป็อันขาด ตระกูลหลี่ไปมาหาสู่กับใต้เท้าหลิวเป็ประจำ จะต้องสานสัมพันธ์กับทหารประจำศาลาพักม้าให้ดี
นายทหารยิ้ม “พี่หลี่ มาบ่อยๆ เล่า!”
เกวียนของหลี่ซานเคลื่อนไปบนถนนของตำบลจินจีอย่างช้าๆ เขาคาดว่ารางวัลที่ได้รับมาเมื่อครู่นี้คงมีค่าหนึ่งเฉียน กว่า ซึ่งเท่ากับหนึ่งร้อยกว่าทองแดง จากนั้นหลี่ซานก็เดินไปถึงหน้าร้านขายเนื้อสัตว์โดยไม่รู้ตัว
คนขายเนื้อแซ่จางเห็นเกวียนอยู่นานแล้ว เขารอให้หลี่ซานเดินเข้ามาใกล้ก่อน จึงทักทายอย่างเป็มิตร “พี่หลี่!”
“พี่จาง วันนี้ขายดีหรือไม่” หลี่ซานหัวเราะ มองไปยังคนขายเนื้อแซ่จางที่มีรูปร่างกำยำล่ำสัน ในใจรู้สึกซาบซึ้งจริงๆ ่แรกเป็คนขายเนื้อแซ่จางที่ให้เครื่องในหมูแก่ตระกูลหลี่ ทำให้หลี่หรูอี้มีวัตถุดิบทำอาหารและทำอาหารออกมาขายจนได้เงินมาเป็ทุนทำการค้า
“ไม่ใช่่ปีใหม่หรือ่เทศกาลกิจการก็ธรรมดาขอรับ เครื่องในหมูชุดนี้ข้าขอมอบให้ท่าน ท่านรีบนำไปเร็วเข้า” อย่ามองเพียงว่าคนขายเนื้อแซ่จางมีรูปร่างสูงใหญ่เชียว แต่เขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่วว่องไวนัก รีบยกตะกร้าที่มีเครื่องในหมูบรรจุอยู่ออกมาจากใต้เขียงแล้วส่งให้หลี่ซาน
หลี่ซานรับเครื่องในหมูมาพลางกล่าวขอบคุณ จากนั้นจึงชี้ไปที่หมูสามชั้นบนเขียง “ข้าขอซื้อเนื้อหมูสามชั่งขอรับ”
คนขายเนื้อแซ่จางยิ้ม “หมูสามชั้นชั่งละสิบเจ็ดทองแดง ข้าลดให้ท่านเหลือสิบหกทองแดง” กล่าวพลางหยิบมีดขึ้นมาหั่นเนื้อหมู
ที่ตลาดของแคว้นต้าโจว หมูสามชั้นเป็เนื้อส่วนที่ขายดีที่สุดเพราะมีมันแทรกอยู่ในเนื้อทำให้มีรสชาติอร่อย จะนำไปทอดไปตุ๋นก็มีรสชาติอร่อยทั้งนั้น จึงมีราคาแพงกว่าเนื้อที่ไม่ติดมัน
หลี่ซานเห็นซี่โครงชุดหนึ่งบนเขียง จึงถามไปว่า “ซี่โครงหมูขายอย่างไรขอรับ”
คนขายเนื้อแซ่จางตอบว่า “ซี่โครงหมูชั่งละเจ็ดตำลึง หากท่านซื้อข้าจะลดให้เหลือหกตำลึง”
เงินที่ใช้ซื้อหมูสามชั้นหนึ่งชั่งนำไปซื้อซี่โครงหมูได้สองชั่งกว่าเลยทีเดียว
หลี่ซานเห็นว่าซี่โครงหมูค่อนข้างสด ทั้งยังมีเนื้อติดอยู่ไม่น้อย บุตรีสุดที่รักของตนไม่ชอบกินมันหมู แต่ชอบกินเนื้อหมู จึงเอ่ยไปว่า “พี่จาง ข้าไม่ซื้อหมูสามชั้นแล้ว ท่านขายซี่โครงหมูชุดนี้ให้ข้าแทนเถิด”
“ท่านจะซื้อซี่โครงหมูหรือ หากเอาซี่โครงหมูไปทำอาหารจะเปลืองฟืนมาก แต่บ้านท่านอยู่ติดูเาคงมีฟืนมากมายกระมัง” คนขายเนื้อแซ่จางเห็นหลี่ซานรับรู้แล้วจึงนำซี่โครงหมูขึ้นมาชั่ง “เก้าชั่งสองเหลียง ข้าคิดให้ท่านเก้าชั่ง”
หลี่ซานได้เครื่องในหมูมาแล้วจึงไม่ยอมเอาเปรียบคนขายเนื้อแซ่จางอีก ให้เงินไปทั้งหมดหกสิบสามทองแดง
ทั้งสองต่างยินดีปรีดา
“วันนี้ข้าขายเต้าหู้หมดแล้ว พรุ่งนี้จะนำมาให้ท่านลองชิมชิ้นหนึ่ง” หลังจากหลี่ซานกล่าวประโยคนี้จบก็ขับเกวียนกลับบ้าน ระหว่างทางยังแอบคิดด้วยว่า เขาซื้อซี่โครงหมูมาแทนเนื้อหมูเพื่อประหยัดเงินเช่นนี้ บุตรีสุดที่รักจะโกรธหรือไม่
หลี่หรูอี้กำลังพาหลี่สือไปทำเต้าหู้ที่ต้องขายตอนบ่าย เมื่อได้ยินเสียงที่ด้านนอก จึงรีบเดินออกมาที่ลานบ้าน
จ้าวซื่อแย้มยิ้มพลางพูดว่า “บิดาเ้าจริงๆ เลย ซื้อซี่โครงหมูมาแทนเนื้อหมู แต่ก็กลัวเ้าจะโกรธ”
หลี่ซานรีบอธิบายทันที “หรูอี้ ซี่โครงหมูชั่งละเจ็ดทองแดง ถูกกว่าหมูสามชั้นเก้าทองแดง ข้าซื้อซี่โครงหมูมาหนึ่งชุดใช้เงินน้อยกว่าซื้อหมูสามชั้นสามชั่งเสียอีก”
หลี่สือกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ท่านพี่ หรูอี้จะทำหมูนึ่งแป้ง ไม่มีหมูสามชั้นจะทำหมูนึ่งแป้งได้อย่างไร”
หลี่หรูอี้เห็นหลี่ซานยกตะกร้าสองใบออกมาจากเกวียน ใบหนึ่งคือเครื่องในหมู อีกใบหนึ่งคือซี่โครงหมู ยังดีที่ซื้อโครงใหญ่มา ส่วนเนื้อติดโครงเล็กนำไปทำหมูนึ่งแป้งได้ ส่วนโครงใหญ่ก็นำไปทำหมูน้ำแดงได้ “ท่านพ่อซื้อมาแล้วก็ช่างเถิด บ้านพวกเรามีคนมาก ความ้าอาหารก็มาก ซี่โครงหมูชุดนี้ข้าจะนำไปทำกินตอนบ่าย กินอาหารดีๆ กันสักมื้อเถิด”
หลี่สือที่เดินตามหลี่หรูอี้ไม่ยอมห่างกล่าวขึ้นว่า “ทำหมูนึ่งแป้งได้หรือไม่”
“เดี๋ยวอาหารเย็นท่านก็ทราบเองเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้หันไปเห็นสีหน้าผิดหวังของหลี่สือ จึงพูดยิ้มๆ ว่า “จะต้องอร่อยแน่นอน รอกินได้เลยเ้าค่ะ”
ณ ตำบลจินจี
ต้นแปะก๊วยสูงสามจั้งกว่าสองต้นยืนต้นตรงอยู่ในลานบ้าน ใบที่ใหญ่ราวกับพัดส่องประกายสีเหลืองทองอร่าม แสงอาทิตย์ยามปลายฤดูใบไม้ร่วงสาดส่องทะลุใบไม้เข้ามายังพื้นหินอ่อนที่ไม่มีฝุ่นเปื้อนแม้แต่น้อย
หม่าซื่อภรรยาของจางซิ่วไฉนั่งอยู่ในห้องโถง กำลังคุยกับหม่าซงพี่ชายจากบ้านเดิมของตน ยายหลิวบ่าวชราที่มีหน้าที่ทำอาหารเดินถือชามไม้ที่มีเต้าหู้อยู่ในนั้นเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน นายท่านให้คนนำเต้าหู้อันใดนั่นมาส่ง กล่าวว่านักศึกษาตระกูลหลี่นำมามอบให้ ท่านว่าจะนำไปทำกินวันนี้ดีหรือไม่เ้าคะ?”
หม่าซื่อปรายตามองเต้าหู้ นางไม่เคยเห็นมาก่อนจึงไม่คิดว่าจะเป็ของดีอะไร ทว่านี่เป็ของแปลกใหม่ ทั้งยังมาจากตระกูลหลี่ที่คิดค้นอาหารอันเป็เอกลักษณ์ออกมาบ่อยๆ สุดท้ายจึงเห็นด้วย
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้