ท่ามกลางเสียงสั่นะเืที่ดังก้องไปทั่วหุบเขา ในที่สุดประตูเหล็กสีดำก็เปิดออกถึงสองส่วนแล้ว กลุ่มคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็มองมันด้วยความตะลึงงันจนตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ
“นะ นี่ มันเปิดออกแล้ว!”
“เ้าหนูนั่นเปิดมันได้จริงๆ!”
“ฮ่าๆ น้องเฟิงเย่ช่างเก่งกาจยิ่งนัก”
หลังจากที่ผู้คนตะลึงงันไปชั่วขณะแล้ว พวกเขาก็หันไปมองทางมู่เฟิงด้วยความประหลาดใจ
แม้แต่ซือถูคงกับบัณฑิตคนอื่นๆ ก็มองเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน
ส่วนซานเหล่าเอ้อก็กำลังอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง ใบหน้าของเขาแดงก่ำด้วยความอับอาย ทั้งยังพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“ฮ่าๆ ๆ ๆ เ้าบัดซบตัวใดกันที่บอกว่าน้องเฟิงเย่ของข้าเปิดไม่ได้ ซานเหล่าเอ้อ คราวนี้เป็อย่างไร เ้าจะยอมเชื่อได้หรือยัง?”
กลุ่มของหูเถี่ยหนิ่วต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง พวกเขาจ้องมองซานเหล่า
เอ้อและกล่าวอย่างขบขัน
สีหน้าของซานเหล่าเอ้อเปลี่ยนเป็เขียวคล้ำ เขาได้แต่มองไปมู่เฟิงอย่างพูดอะไรไม่ออก
“เมื่อครู่ใครกันที่บอกว่า หากน้องเฟิงเย่ของเราเปิดมันได้ก็จะยอมติดตามน้องเฟิงเย่ของเรา”
ชายที่มีรูปร่างผอมสูงกล่าวอย่างเย้ยหยัน
“ซานเหล่าเอ้อ!”
กลุ่มคนจำนวนมากกว่าสามสิบคนรวมถึงมู่เฟิงต่างชี้นิ้วไปยังซานเหล่าเอ้อและะโเสียงดังออกมาพร้อมกัน
เมื่อสถานการณ์กลายเป็เช่นนี้ ซานเหล่าเอ้อก็ถึงกับมุมปากกระตุก ต่อจากนี้เขาจะต้องถือว่าเ้าเด็กเหลือขอนั่นเป็พี่ใหญ่ของเขาจริงๆ หรือ?
“ซานเหล่าเอ้อผู้นี้ช่างไม่รักษาคำพูดเอาเสียเลย”
หูเถี่ยหนิ่วกล่าวอย่างหยอกเย้า
สีหน้าของซานเหล่าเอ้อเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวแดงทันที ราวกับว่าเขาพยายามอดทนอดกลั้นสุดชีวิต จากนั้นเขาถึงค่อยประสานหมัดคำนับไปทางมู่เฟิงอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับเรียกขานอีกฝ่ายว่าพี่ใหญ่ ก่อนจะเงียบเสียงลงด้วยความอับอาย
มู่เฟิงเหยียดยิ้ม เขาไม่ได้คาดหวังว่าซานเหล่าเอ้อจะยอมรับเขาเป็พี่ใหญ่จริง
“เด็กหนุ่มผู้นั้นช่างร้ายกาจนัก คิดไม่ถึงเลยว่าเพียงฝ่ามือเดียวก็จะสามารถเปิดประตูเหล็กนี้ได้”
ข่งเซวียนเอ่อร์เอ่ยชมอย่างประหลาดใจ
“ฝ่ามือเมื่อครู่ของเขาถูกปล่อยออกไปหลังจากที่เขาค้นพบกลไกของค่ายกลแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถทำลายมันได้อย่างง่ายดาย”
ข่งย่วนมีความรอบรู้ไม่ธรรมดา สายตาของนางที่มองไปทางมู่เฟิงมีร่องรอยของความเคารพเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย ความสามารถด้านการสลักลายเส้นของเด็กหนุ่มผู้นี้ย่อมต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เอาละ ในเมื่อตอนนี้ประตูก็เปิดออกแล้ว พวกเราก็เข้าไปกันเถอะ”
หูเถี่ยหนิ่วกล่าวขึ้น
ทุกคนต่างมองไปยังอีกฝั่งหนึ่งของประตู นี่คือเส้นทางที่เชื่อมต่อไปยังชั้นถัดไป และครั้งนี้ก็มีคนกล้าเดินเข้าไปในประตูเพียงเจ็ดสิบถึงแปดสิบคนเท่านั้น ส่วนคนอื่นที่เหลือยังคงยืนอยู่ในตำแหน่งเดิม พวกเขาไม่กล้าเข้าไปเสี่ยงอันตรายมากกว่านี้อีกแล้ว
ในบรรดาคนทั้งเจ็ดสิบถึงแปดสิบคนเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนเป็ยอดฝีมือระดับหนิงกัง
เมื่อทุกคนเดินเข้าไปแล้ว พวกเขาก็มองไปตามพื้นด้วยความระมัดระวัง เพราะเกรงว่าจะเผลอเหยียบค่ายกลจนซ้ำรอยเดิม
แต่ระหว่างทางพวกเขากลับไม่พบอันตรายใดๆ เลย และเมื่อเดินผ่านทางเดินไปจนถึงสุดทาง ในที่สุดทุกคนก็มาถึงเขตพระราชวังใต้ดินขนาดใหญ่
ทุกคนหยุดยืนอยู่ตรงทางออก เหม่อมองพระราชวังอันโอ่อ่าที่ถูกสร้างขึ้นในชั้นใต้ดินด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
คาดว่าพระราชวังแห่งนี้คงจะครอบคลุมพื้นที่หลายร้อยเอเคอร์ มีตำหนักสีทองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่าน เป็ภาพที่ยิ่งใหญ่และอลังการยิ่งนัก
“นี่คือวังโบราณจิ่วซานจริงหรือ...”
พวกเขาต่างก็พึมพำกับตัวเอง เมื่อได้เห็นความโอ่อ่าและอลังการตรงหน้า ดวงตาของพวกเขาก็ลุกวาวขึ้นมาทันที
จากข่าวลือบอกเอาไว้ว่าภายในที่แห่งนี้มีทั้งเคล็ดวิชาระดับนิลกาฬ อาวุธิญญา ยาอายุวัฒนะที่หาได้ยาก และสมุนไพรควบหยวนตานที่เล่าขานกันในตำนาน
แม้แต่ซือถูคง เว่ยอี้อวิ๋นหรือบัณฑิตคนอื่นๆ ก็ยังมีเปลวไฟแห่งความปรารถนาลุกโชนขึ้นในแววตา
ทุกคนเริ่มเดินเข้าไปในพระราชวังใต้ดิน โดยในเขตพระราชวังแห่งนี้มีสิ่งก่อสร้างตั้งอยู่มากมาย ราวกับว่าต่อให้ต้องใช้เป็ที่อยู่อาศัยของผู้คนนับพันคนก็ไม่เป็ปัญหา บริเวณพื้นดินถูกปูด้วยศิลาหยกขาว เพียงแค่เดินเข้าไปในเขตของพระราชวังก็สามารถััถึงบรรยากาศของความยิ่งใหญ่และความงดงามได้แล้ว
“ฮ่าๆ ในที่สุดพวกเราก็มาถึงแล้ว จากนี้ทุกคนก็แยกย้ายกันไปตามหาโอกาสของตัวเองเถอะ”
หูเถี่ยหนิ่วหัวเราะเสียงดัง เมื่อสิ้นเสียงคนบางส่วนก็รีบตรงดิ่งเข้าไปในอาคารของพระราชวังเ่าั้เพื่อมองหาสมบัติในทันที
มู่เฟิงกวาดตามองพระราชวังอันโอ่อ่าที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าด้วยความชื่นชม สถานที่แห่งนี้เคยเป็ที่อยู่อาศัยของผู้แข็งแกร่งที่เหนือกว่าระดับหยวนตานผู้นั้น
หวีด...!
เสียงเล็กแหลมเสียดหูพลันดังออกมาจากพระราชวังใต้ดิน เสียงของมันฟังดูสับสนและปนเปกันจนมั่วไปหมด ทั้งยังดังบาดหูเป็อย่างมาก
ไม่นานทุกคนก็ได้เห็นว่ามีกลุ่มเมฆหมอดสีดำทะมึนกำลังเคลื่อนตัวออกมาจากส่วนลึกของพระราชวังใต้ดิน เสียงกระพือปีกดังพรึบพรับไปทั่วบริเวณ
“นั่นมันอะไรกัน?”
เมื่อเห็นดังนั้นสีหน้าของทุกคนก็ซีดเผือดลงทันที
เบื้องหน้าของพวกเขาคือฝูงค้างคาวขนาดใหญ่ และตัวของพวกมันก็มีขนาดเท่ากับนกอินทรีเลยทีเดียว ด้วยจำนวนที่มีมากถึงเพียงนี้ทำให้พวกมันดูแน่นขนัดจนน่าขนลุก
ค้างคาวพวกนี้มีขนาดตัวที่ใหญ่มาก ตัวของมันมีสีดำโดยมีสีขาวบริเวณแผงคอ ส่วนดวงตาก็เป็สีแดงเื นอกจากนี้ยังมีเขี้ยวคมยื่นออกมาจากลำตัวและยังมีกรงเล็บที่แหลมคมราวกับใบมีดอีกด้วย อีกทั้งร่างกายส่วนอื่นๆ ของมันยังใหญ่โตไปหมด ดูแล้วน่าสะพรึงกลัวเป็อย่างยิ่ง
“นั่นมันค้างคาวใต้พิภพ แย่แล้ว รีบหนีเร็ว”
ในกลุ่มของพวกเขามีบางคนที่รู้จักค้างคาวชนิดนี้ เขาจึงรีบะโเตือนทุกคนทันที ค้างคาวใต้พิภพ คืออสูรร้ายธรรมดาชนิดหนึ่งซึ่งมีพลังอยู่ในระดับจื่อฝู่และอยู่รวมกันเป็ฝูง แต่เนื่องจากพวกมันได้ดูดซับพลังหยินเป็อาหารจำนวนมาก ดังนั้นในฝูงของพวกมันจึงมีหลายตัวที่มีพลังอยู่ในระดับหนิงกังไปจนถึงระดับหยวนตาน ส่วนลักษณะนิสัยของพวกมันนั้นก็โหดร้ายเป็อย่างยิ่ง
“อ๊าก…!”
กลุ่มคนที่รีบกระโจนเข้าไปในพระราชวังใต้ดินก่อนเป็กลุ่มแรกถูกฝูงค้างคาวรุมโจมตีทันที เสียงหวีดร้องอันน่าสังเวชจึงดังก้องไปทั่วบริเวณ หลังจากฝูงค้างคาวรุมทึ้งและกัดกินร่างของพวกเขาแล้ว เพียงไม่กี่่ลมหายใจร่างของพวกเขาก็กลายเป็โครงกระดูกเปื้อนเือันน่าสยดสยองทันที
สีหน้าของคนที่เหลือพลันเปลี่ยนไป แต่ละคนต่างก็รีบสร้างเกราะปกป้องพลังกังหยวนออกมา พร้อมกับทะยานร่างเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในมุมต่างๆ อย่างรวดเร็ว
สีหน้าของมู่เฟิงเคร่งขรึมลง เขากับพวกหูเถี่ยหนิ่วไปที่ห้องใต้หลังคาเพื่อหลบซ่อนตัว ส่วนคนอื่นๆ อีกหลายสิบคนที่เหลือต่างก็รีบกระจายออกไปซ่อนตัวเช่นกัน
ทว่าค้างคาวใต้พิภพกลับบินตรงมาทางพวกเขาอย่างรวดเร็ว พวกมันเริ่มโจมตีมนุษย์และกัดกินร่างกายอีกครั้ง
“วี๊ด...!”
ทันใดนั้นค้างคาวใต้พิภพตัวหนึ่งก็บินโฉบลงมาหมายจะกัดศีรษะของมู่เฟิง แต่เด็กหนุ่มมีปฏิกิริยาตอบสนองที่เร็วกว่า เขารีบยิงลำแสงดรรชนิ้วสีทองไปยังค้างคาวตัวนั้นทันที
ฉึก...!
ลำแสงสีทองเจาะทะลุศีรษะของค้างคาว ทำให้ร่างของมันร่วงตกลงบนพื้น จากนั้นมู่เฟิงก็ยิงลำแสงดรรชนิ้วต่อไปอีกหลายครั้ง ส่งผลให้ค้างคาวอีกสี่ห้าตัวต้องส่งเสียงหวีดร้องออกมาเพราะถูกยิงกลางอากาศ
หูเถี่ยหนิ่วเองก็ปล่อยลำแสงดาบสีทองขนาดใหญ่ออกมาอย่างดุดัน และอานุภาพพลังของดาบนี้ก็สามารถสังหารพวกค้างคาวได้มากกว่าสิบตัว ส่วนชายร่างผอมสูงและคนอื่นๆ ต่างก็โจมตีฝูงค้างคาวที่กำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเขาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
คนทั้งเก้ายังคงเกาะกลุ่มกันอย่างเหนียวแน่น พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องใต้หลังคาของอาคารแห่งหนึ่ง โดยระหว่างนั้นพวกเขาก็ยังคงโจมตีฝูงค้างคาวอย่างต่อเนื่อง ส่วนฝูงค้างคาวก็พุ่งโจมตีพวกเขาอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน
วี๊ด วี๊ด...!
กลางอากาศมีค้างคาวใต้พิภพตัวหนึ่งซึ่งมีขนาดตัวเท่ากับลูกวัวแรกเกิดบินอยู่ ร่างกายของมันมีกลิ่นอายของพลังหยินที่เข้มข้นเป็พิเศษ มันปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแผดเสียงคำรามออกมา จากนั้นมันก็อ้าปากกว้างรวบรวมพลังหยินสีดำเอาไว้ ไม่นานก็ยิงลูกศรสีดำออกมา
ฉึก...!
เกราะป้องกันพลังกังหยวนของทหารรับจ้างผู้หนึ่งถูกศรเล่มนั้นทะลวงเจาะอย่างง่ายดาย ก่อนที่ศรพลังหยินจะเจาะทะลุเข้าที่ทรวงอกของเขาต่อทันที
“อ๊าก…!”
ทหารรับจ้างผู้นั้นหวีดร้องออกมาด้วยความเจ็บ ร่างของเขากลิ้งลงไปบนพื้น เืที่กำลังไหลทะลักออกมาจากาแกลายเป็สีดำสนิท ซึ่งสามารถบ่งบอกได้ว่าศรนี้มีพิษ ทันใดนั้นค้างคาวตัวอื่นก็พุ่งเข้ามากัดกินร่างของเขาจนกลายเป็โครงกระดูกเปื้อนเืทันที
เวลานี้กลุ่มคนที่เหลืออีกแปดคนอยู่ห่างจากห้องใต้หลังคาเพียงสิบเมตรแล้ว แต่ในระหว่างนั้นพวกเขากลับยังต้องฟาดฟันฝูงกับค้างคาวอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งฝูงค้างคาวเหล่านี้ยังพุ่งเข้ามาไม่หยุด เหมือนกับว่าต่อให้พวกเขาจะสังหารพวกมันไปเท่าไรก็ไม่มีทางสังหารได้หมด
“ทุกคนถอยออกไปก่อน!”
มู่เฟิงะโเสียงดัง แผ่นยันต์บรรลัยกัลป์จำนวนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในมือของเขา จากนั้นเด็กหนุ่มก็รีบขว้างแผ่นยันต์จำนวนเจ็ดถึงแปดแผ่นเ่าั้ออกไปอย่างรวดเร็วทนัที ขณะเดียวกันพวกหูเถี่ยหนิ่วก็รีบถอยออกไปเช่นกัน
ตู้ม...!
เสียงะเิดังสนั่นขึ้น เบื้องหน้าพลันกลายเป็ทะเลเพลิงโหมกระหน่ำก่อนจะแผ่ขยายปกคลุมในรัศมีสิบกว่าเมตร มีค้างคาวจำนวนไม่น้อยที่ร่วงตกลงไปในเปลวเพลิง เสียงหวีดร้องจากความทรมานเพราะโดนแผดเผาดังโหยหวนออกมา เพียงไม่นานร่างของพวกมันก็ถูกเผาจนกลายเป็เถ้าถ่าน
“ไป!”
จากนั้นพวกมู่เฟิงก็รีบกระโจเข้าไปในห้องใต้หลังคาทันที
“ทุกคน ช่วยข้าด้วย!”
ในตอนนั้นเองเสียงร้องขอความช่วยเหลือก็ดังแว่วมาจากที่ไกลๆ เมื่อมู่เฟิงเหลือบไปมองตามเสียงก็พบว่าเป็เสียงของซานเหล่าเอ้อ