เป่ยเหลียนโม่มองเป่ยเซวียนเฉิงด้วยสายตามืดครึ้ม แม้แต่ตัวเขาเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าเป่ยเซวียนเฉิงจะไล่ตามมาไกลถึงเพียงนี้
“พี่สามช่างห่วงใยหวังเฟยของเปิ่นหวังเหลือเกิน เพียงแต่เปิ่นหวังสงสัยยิ่งนัก พี่สามต้อนนางไปถึงริมทะเลสาบ จากนั้นท่านพูดสิ่งใดกันแน่ถึงทำให้หวังเฟยตกลงไปในทะเลสาบ?”
เป่ยเซวียนเฉิงมองไปยังประตูที่ปิดสนิท เขายิ้มเย็นเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น เขากล่าวว่าตนไม่เคยบีบบังคับให้นางทำสิ่งใด ส่วนที่นางตกลงไปในน้ำก็เป็เพราะเหยาเชียนเชียนประมาทไม่ทันสังเกตเอง ดังนั้นจึงตกลงไปโดยไม่ทันระวัง
“เหตุใดน้องสี่ถึงได้กันท่าข้าถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อทรงถอดเชียนเชียนออกจากตำแหน่งชายาของชิงผิงอ๋องแล้ว และยามนี้นางก็เป็เพียงราษฎรทั่วไปคนหนึ่งเท่านั้น นางไม่ใช่หวังเฟยของน้องสี่อีกต่อไปแล้ว อย่าว่าแต่ข้าเลย ไม่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์มาเยี่ยมเยียนนางได้ทั้งนั้น”
เป่ยเซวียนเฉิงกวาดตามองไปรอบๆ เขายังคงมีความทรงจำเกี่ยวกับเรือนพักหลังนี้อยู่รางๆ ที่แห่งนี้เป็เรือนพักของเสด็จพ่อในเวลานั้น บริเวณที่ตั้งอยู่ใกล้นครหลวง น้ำเขียวป่าขจีและมีอาคารสูงตระหง่าน ในยามนั้นที่ได้รู้ว่าเป่ยเหลียนโม่ได้รับพระราชทานเรือนพักแห่งนี้ยังทำให้เสด็จแม่โกรธเคืองอยู่พักใหญ่
ไม่คิดเลยว่าเป่ยเหลียนโม่จะให้เหยาเชียนเชียนมาพักอาศัยอยู่ที่นี่ ั์ตาของเป่ยเซวียนเฉิงหม่นแสง ในใจของเป่ยเหลียนโม่นั้นเหยาเชียนเชียนมีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? และสำคัญกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก?
“ความประสงค์ของเสด็จพ่อคือการให้น้องสี่เปลี่ยนสถานที่ห้องทองคำซ่อนเจียว [1]” เป่ยเซวียนเฉิงสะบัดแขนเสื้ออย่างเ็า แทบจะไล่บ่าวไพร่ที่ยกน้ำชาเข้ามาให้ถอยออกไป
“ยามนี้ในเมื่อเชียนเชียนไม่ใช่ชายาชิงผิงอ๋องแล้ว เช่นนั้นนางอยากไปที่ใดก็ได้ ไม่จำเป็ต้องฝืนอยู่ที่นี่ตามความ้าของน้องสี่”
เป่ยเหลียนโม่สะกดกลั้นแววโหดร้ายในดวงตาก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเหยียดมุมปาก “ผู้ใดบอกว่าเปิ่นหวังบังคับให้นางอยู่ หากพี่สามไม่เชื่อ รอเชียนเชียนฟื้นขึ้นมาแล้วลองไปถามนางดูก็ได้”
เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาและกล่าวอีกครั้งว่า “ทว่าเชียนเชียนถูกทำให้เสียขวัญในระหว่างที่อยู่กับพี่สาม หากพี่สามไปปรากฏตัวต่อหน้านางอีกก็คงไม่เหมาะ ดังนั้นให้เปิ่นหวังถามแทนพี่สามก็ได้”
ให้เป่ยเหลียนโม่ถามแทนเขา? คำถามเช่นนั้นน่ะหรือ?
เป่ยเซวียนเฉิงโกรธเคืองความไร้ยางอายของเป่ยเหลียนโม่จนแทบหลุดหัวเราะออกมา เขาเพียงแค่ถามส่งเดชไปเท่านั้น ดังนั้นน้องสี่ของเขาจะร้อนรนไปไย เชียนเชียนกับเขามีใจต้องกัน ทั้งคู่เป็ความสบายใจของกันและกันมานานหลายปี เพียง่เวลาสั้นๆ เป่ยเหลียนโม่กลับหมายจะเข้ามาแทรกแซงย่อมเป็ไปไม่ได้อยู่แล้ว
คนอย่างเป่ยเหลียนโม่ก็ร้อนใจเป็ด้วย เป่ยเซวียนเฉิงหัวเราะเย้ยหยัน
“ไม่ต้องลำบากน้องสี่หรอก รอเชียนเชียนฟื้นแล้วข้าจะไปเยี่ยมนางด้วยตัวเอง เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้น้องสี่ดูให้ชัดเจนอีกทีว่าข้าเป็คนบีบบังคับทำให้นางตกน้ำหรือไม่ และนางยินยอมรั้งอยู่ที่นี่ด้วยความเต็มใจหรือไม่”
เป่ยเหลียนโม่สั่งให้คนไปเอาเก้าอี้มาและนั่งเฝ้าดูเป่ยเซวียนเฉิงอยู่นอกประตู แม้ว่าเหยาเชียนเชียนจะแสดงออกถึงความเป็อิสระใน่สองสามวันที่ผ่านมา แต่เขาก็รับรองไม่ได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีความคิดที่อยากจะไปจริงๆ
ถึงอย่างไรในตอนต้นนางก็พยายามรวบรวมเงินไว้มากมายเพื่อที่จะหนีไปจากเขา และยามนี้ก็มีโอกาสนั้นแล้ว พระเ้ากำลังช่วยให้แผนการนั้นของนางเป็จริง
หากเป่ยเซวียนเฉิงยุยงอีกสักหน่อยและนางตัดสินใจหนีไป เช่นนั้นเขาจะไปตามหานางได้จากที่ใด
“ั้แ่เล็กจนโต พี่สามมักจะชอบแข่งขันกับเปิ่นหวังเสมอ” เป่ยเหลียนโม่จิบน้ำชา “หากจะกล่าวให้ถูกต้องก็คืออวี๋เฟยเหนียงเหนี่ยงไม่ยอมรับเปิ่นหวัง แม้ว่าเสด็จแม่ของเปิ่นหวังจะจากโลกนี้ไปหลายปีแล้ว นางก็ยังคงไม่ยอมประพฤติตนให้เหมาะสม”
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ต่อพระพักตร์เสด็จแม่เมื่อเจรจาไม่สำเร็จ ดังนั้นแผนการเหล่านี้จึงมาตกอยู่กับเราทั้งสอง แต่ว่าพี่สาม เชียนเชียนนางแตกต่าง แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน [2]”
ท่าทางที่พยายามตักเตือนด้วยความหวังดีของเขาทำให้เป่ยเซวียนเฉิงอยากหาอะไรสักอย่างมาอุดปากนั่นเสีย
“หากข้าไม่ได้จำผิดไป ในยามนั้นน้องสี่วิ่งโร่ไปพบเสด็จพ่อ กล่าวว่า้าสู่ขอเชียนเชียนเป็หวังเฟยโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น ตกลงแล้วผู้ใดเป็ฝ่ายฝืนใจ ทว่านอกจากน้องสี่แล้ว เกรงว่าทั้งนครหลวงล้วนรู้คำตอบกันหมดแล้ว”
หากในยามนั้นเป่ยเหลียนโม่ไม่ยืนกรานขอให้ฮ่องเต้พระราชทานสมรส เขากับเหยาเชียนเชียนก็คงมาไม่ถึงจุดที่เป็อยู่ทุกวันนี้
พวกเขาจะอยู่ด้วยกันอย่างน่าอิจฉาในสายตาของผู้คนดังเช่นแต่ก่อน บางทีเมื่อการใหญ่ใกล้จะบรรลุผลสำเร็จ เขาจะขอนางแต่งงาน จับมือกันและร่วมสุขท่ามกลางทิวทัศน์อันรุ่งเรืองนี้ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้เป็เพราะเป่ยเหลียนโม่ เพราะคนผู้นี้เข้ามาแทรกแซงจึงทำให้เขาและเหยาเชียนเชียนต้องแยกจากกัน เวลานี้เขากลายเป็คนแปลกหน้าสำหรับนางไปแล้ว และไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนเช่นเมื่อก่อนได้อีก
“ที่เปิ่นหวังร้องขอราชโองการจากเสด็จพ่อ นั่นก็เพราะเปิ่นหวังหมายจะสู่ขอหวังเฟยผู้นี้จริงๆ” เป่ยเหลียนโม่ยิ้ม “ใน่ที่ผ่านมาพี่สามยังมองได้ไม่ชัดเจนอีกหรือ เชียนเชียนไม่เหลือเยื่อใยต่อท่านแล้ว และนางก็ดำรงตำแหน่งหวังเฟยนี้ได้อย่างมีความสุขดี”
เป่ยเซวียนเฉิงอ้าปากหมายจะพูด แต่กลับไม่สามารถกล่าวโต้แย้งได้
หากเหยาเชียนเชียนแสดงความไม่ยินยอมแม้เพียงนิดเดียว เขาก็สามารถหาเหตุผลมาโน้มน้าวตัวเองได้ ทว่าหลังจากพิธีอภิเษก เหยาเชียนเชียนก็เปลี่ยนไปราวกับเป็คนละคน
เขาไม่เคยเห็นนางมีรอยยิ้มที่เจิดจ้าเช่นนั้นมาก่อน ทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไม่ได้มอบให้เขา เป่ยเหลียนโม่ได้รับในสิ่งที่เขาไม่เคยได้อย่างง่ายดาย หากเป็ผู้อื่นก็คงไม่เป็ไร แต่นั่นคือเหยาเชียนเชียน!
เขารู้จักนางก่อนแท้ๆ เหตุใดเพียงแค่่เวลาไม่กี่วันนางถึงได้เปลี่ยนไปมากเช่นนี้ ไม่เพียงแค่หักใจทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยมีร่วมกับเขาในอดีต แต่นางยังปฏิบัติต่อเขาอย่างเมินเฉยอีกด้วย
“น้องสี่ทำสิ่งใดลงไปบ้างมีเพียงตัวเ้าเองที่รู้ดีที่สุด” เป่ยเซวียนเฉิงผ่อนลมหายใจ “ส่วนเชียนเชียน นางไม่ใช่คนที่ละโมบเสพสมในความสุข สำหรับนางความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งเป็เพียงเมฆหมอกที่พัดผ่านสายตา ข้าไม่กังวลในตัวน้องสี่เกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ แต่ข้าเกรงว่าน้องสี่จะใช้อุบายอื่นใดที่สามารถคุกคามเชียนเชียนได้เสียมากกว่า”
เขามองลึกเข้าไปในดวงตาของเป่ยเหลียนโม่ พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หากน้องสี่ใช้วิธีการอันไม่เหมาะสมเพื่อบังคับให้เชียนเชียนรั้งอยู่ที่นี่ เช่นนั้นไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร ข้าจะไม่ปล่อยให้เชียนเชียนต้องทนกับความอดสูและความลำบากอีก”
เป่ยเหลียนโม่ไม่ชายตามองเขาแม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเป่ยเซวียนเฉิงยังพอฉลาดอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนว่าพอประสบกับเื่ของเหยาเชียนเชียน คนผู้นี้กลับดูเขลาอย่างยากจะอธิบายได้
คิดว่าเขาจะเข้าใจเหยาเชียนเชียนมากกว่านี้เสียอีก ชิงผิงอ๋องเหยียดยิ้มมุมปาก ‘มองความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งเป็เพียงเมฆหมอกที่พัดผ่านสายตา’ ประโยคนี้เขาหมายถึงเหยาเชียนเชียนอย่างนั้นหรือ?
แม้ว่าจะไม่ถึงขั้นที่เรียกได้ว่าละโมบเสพสมในความสุข แต่สตรีตัวน้อยผู้นั้นก็ตาลุกวาวเมื่อเห็นสิ่งของมีค่า เป่ยเซวียนเฉิงไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนั้นของนางมาก่อนเลยหรือ?
ชิงผิงอ๋องเริ่มสงสัยอย่างจริงจัง เมื่อคิดดูอีกทีอาจเป็ไปได้ว่าหวังเฟยของเขาก็ไม่เคยพบเห็นสิ่งของดีๆ ใน่ที่อยู่กับเป่ยเซวียนเฉิง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ไม่เหมือนเขา ต่อให้เหยาเชียนเชียนอยากเสาะหาสิ่งของธรรมดาทั่วไปก็น่ากลัวว่าจะไม่มีโอกาสนั้น
“หากเป็เมื่อก่อน ยามที่เปิ่นหวังได้ยินคำกล่าวเหล่านี้อาจจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง ทว่าหลังจากได้อยู่กับหวังเฟยมานานแล้ว ยามนี้เมื่อได้ฟังจึงรู้สึกว่ามันช่างน่าขัน”
เป่ยเหลียนโม่จิบชา นี่เคยเป็สิ่งที่เหยาเชียนเชียนชื่นชอบมากที่สุด เพียงแต่ต่อมาเขาได้ค้นพบว่า ไม่ว่านางจะดื่มชาชนิดใดก็ตาม นางก็รู้สึกว่ามันแทบไม่ต่างกัน และไม่มีท่าทางชื่นชอบมากนัก
แม้แต่น้ำเปล่าแก้วหนึ่ง นางก็สามารถดื่มได้อย่างผ่อนคลายและมีความสุข แต่หากนำผลไม้ไปคั้นเป็น้ำนางก็จะชอบมากกว่าสักหน่อย
เมื่อได้เห็นเช่นนี้แล้ว นั่นก็แสดงว่าเป่ยเซวียนเฉิงไม่ได้รู้จักเหยาเชียนเชียนดีขนาดนั้น แต่มักวางมาดเหยียดหยามเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเสมอ ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากที่ใดนัก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เป่ยเหลียนโม่พลันรู้สึกว่าการพูดคุยกับเป่ยเซวียนเฉิงนั้น ไม่ว่าจะพูดคุยมากสักเท่าไรก็หมดสนุกแล้ว
“การที่พี่สามคิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิดนั้นถูกต้องทำให้ท่านพลาดสิ่งใดไปบ้าง ท่านลองกลับไปครุ่นคิดเองเสียเถิด” เขาหยัดกายลุกขึ้น “เปิ่นหวังจะอยู่เป็เพื่อนหวังเฟย คงต้องขอตัวก่อน”
เป่ยเซวียนเฉิงก้าวไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อขวางเขาไว้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า
“น้องสี่ไม่กลัวว่าข้าจะแจ้งต่อเสด็จพ่อหรือ เสด็จพ่อทรงเกลียดชังการฉกฉวยโอกาสเช่นนี้มากที่สุด น้องสี่ไม่คิดหรือว่าเสด็จพ่ออาจทรงกริ้วจนสั่งให้คนปิดเรือนพักหลังนี้?”
ทั้งคู่สบตากันโดยที่ไม่มีผู้ใดยอมล่าถอยไปก่อน ั์ตาสีดำสนิทของเป่ยเหลียนโม่ไร้ซึ่งแววความอบอุ่น เขากล่าวด้วยเสียงอันเย็นเยียบว่า “พี่สามมักใช้อุบายนี้บ่อยครั้งจนเปิ่นหวังเคยชินไปเสียแล้ว หากพี่สามใช้แล้วมีความสุขเช่นนั้นก็ดี”
สาวใช้คนหนึ่งเดินก้มศีรษะออกมาแจ้งว่าเหยาเชียนเชียนฟื้นแล้ว และเชิญพวกเขาทั้งสองเข้าไปข้างใน
เป่ยเหลียนโม่ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยที่ไม่สนใจว่าเหตุใดนางถึงต้องเชิญเป่ยเซวียนเฉิงเข้าไปด้วย เขาสืบเท้าก้าวเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว
เหยาเชียนเชียนยันตัวขึ้นนั่งอย่างเนิบช้า ที่จริงแล้วนางฟื้นขึ้นมาสักพักแล้ว ทว่าเพียงแค่ยังอยากนอนเพื่อฟื้นคืนสติอีกสักหน่อย ประกอบกับได้ยินบทสนทนาของทั้งสองจึงไม่ได้รบกวน
ทว่าเนื้อความของบทสนทนานั้นทำให้นางรู้สึกจนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงสั่งให้สาวใช้ออกไปขัดจังหวะ
“ท่านอ๋อง” แวบแรกที่เห็นเป่ยเหลียนโม่ เหยาเชียนเชียนพลันรู้สึกแสบจมูกขึ้นมา เหมือนว่าไม่ได้พบเขามาเนิ่นนานเหลือเกิน และดูเหมือนว่าเขาจะผอมลงเล็กน้อยอีกด้วย
“อย่าเพิ่งลุก” เป่ยเหลียนโม่นั่งลงข้างเตียงแล้วส่งมือไปวัดอุณหภูมิบนหน้าผากของนาง “หมอบอกว่าเ้าอาจมีไข้ ยังดีที่เปิ่นหวังสั่งให้คนคอยเฝ้าไว้ เ้าจึงไม่มีไข้ ทว่ายามนี้เ้ารู้สึกว่าร่างกายเป็อย่างไรบ้าง รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวหรือไม่?”
เหยาเชียนเชียนกัดริมฝีปากล่างเบาๆ และส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดของเป่ยเหลียนโม่ นางไม่ละสายตาไปจากเขาเลยนับั้แ่ที่เขาเดินเข้ามา
เมื่อได้พบกับคนผู้นี้อีกครั้ง นางถึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วความโหยหาในใจของนางนั้นเอ่อล้นราวกับสายน้ำ
คิ้วตาของเขา ทุกท่วงท่ากิริยาของเขาราวกับประทับลงในใจของนางราวกับภาพช้า โดยที่ไม่จำเป็ต้องตั้งใจจดจำมันเสียด้วยซ้ำ และเมื่อได้สติกลับคืนมาก็มองทะลุเข้าไปในใจได้อย่างชัดเจนแล้ว
“ทำให้ท่านอ๋องเป็ห่วงแล้ว” นางกำชายอาภรณ์ของอีกฝ่ายแน่นโดยไม่รู้ตัว ราวกับกลัวว่าเขาจะจากไปอย่างกะทันหัน “หม่อมฉันไม่เป็อะไรเพคะ เพียงแค่สำลักน้ำเล็กน้อยและอาเจียนออกมาแล้ว หม่อมฉันอยู่ที่นี่สบายดียิ่งนัก ท่านอ๋องไม่ต้องเป็ห่วงนะเพคะ”
เป่ยเซวียนเฉิงที่เพิ่งเดินเข้ามาได้ยินประโยคนั้นเข้าพอดี นางอยู่ที่นี่สบายดียิ่งนัก เป็ความจริงหรือ?
หากเป็อย่างนั้นจริง เช่นนั้นสิ่งที่เขาพูดเมื่อครู่จะไม่กลายเป็เื่ขำขันทั้งหมดหรือ
เขาก้าวช้าลงโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงเช่นนี้ของนางมานานเพียงใดแล้ว น้ำเสียงซึ่งเจือความกังวลและความขลาดเขินอยู่ในนั้นหลายส่วน อีกทั้งยังเจือความระมัดระวังบางเบาจนแทบจะััไม่ได้ นั่นคือความรักและความผูกพันที่ในอดีตเหยาเชียนเชียนเคยพรั่งพรูออกมาให้เขาคนเดียวเท่านั้น
ทว่ายามนี้คนผู้นั้นกลับกลายเป็เป่ยเหลียนโม่
นางเปลี่ยนใจไปอย่างสมบูรณ์แล้วจริงๆ หรือ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตเล่า นางลืมเลือนและทอดทิ้งมันไปแล้ว นางทิ้งทุกอย่างรวมถึงตัวเขาด้วย
จิตใจที่ลิงโลดในคราแรกค่อยๆ สงบลง เป่ยเซวียนเฉิงไม่อยากยอมรับความจริงข้อนี้ แม้ว่าอวี๋เฟยจะบอกเขาว่าเหยาเชียนเชียนไม่ได้ภักดีต่อเขาเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้วก็ตาม
เขาเคยมีความสงสัยและความกังวล ทว่าเขาเพียงแค่ไม่ยอมเชื่อและไม่ยอมรับมันเท่านั้นเอง
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันได้เรียนการทำอาหารใหม่ๆ มามากมาย รอถึงมื้อเย็นแล้วหม่อมฉันทำให้พระองค์ลองชิมดูดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความคาดหวังและความประหม่าเล็กๆ ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายจะปฏิเสธ บางทีแม้แต่ตัวเหยาเชียนเชียนเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเวลานี้แววตาของนางอ่อนโยนมากเพียงใด
เป่ยเซวียนเฉิงหันหลังกลับและเดินออกจากห้องไป เขาไม่จำเป็ต้องไปเยี่ยมนางอีกแล้ว นับว่าครั้งนี้เขามาเสียเที่ยว ส่วนแผนการนั้น ในเมื่อนางอยากเป็เพียงลูกอนุตลอดไป เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็ไปตามที่นาง้าไปก่อนแล้วกัน
เมื่อเขาได้ขึ้นครองราชย์ในอนาคตเมื่อใด ในเวลานั้นเขาจะรับนางเข้ามาในวังหลวงอีกครั้ง และจะกำจัดเป่ยเหลียนโม่ออกจากใจของนางโดยไม่ให้หลงเหลือร่องรอยใดๆ ทิ้งไว้ทั้งสิ้น
ไม่มีหมากตัวใดที่สามารถทรยศต่อผู้เป็นายได้ด้วยตัวของมันเอง ระหว่างพวกเขาทั้งสอง เหยาเชียนเชียนไม่มีสิทธิ์เลือกั้แ่แรก จะฆ่าหรือว่าจะเก็บไว้ ล้วนขึ้นอยู่กับความ้าของเขาเพียงผู้เดียวเท่านั้น สิ่งเดียวที่นางทำได้คือการเชื่อฟัง
เชิงอรรถ
[1] ห้องทองคำซ่อนเจียว เป็สำนวนจีน หมายถึง บุรุษแต่งภรรยาเข้าบ้าน หรือบุรุษแอบมีภรรยาน้อยที่เลี้ยงดูเป็อย่างดี
[2] แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน เป็สำนวนจีน หมายถึง การกระทำอะไรโดยฝืนใจอีกฝ่าย ย่อมได้รับผลลัพธ์ที่ไม่ดี
