ฮวามามาเป็คนเก่าแก่ติดตามเหล่าไท่ไท่มาั้แ่อายุยังน้อยจนกระทั่งแต่งเข้ามาในสกุลโม่ ความผูกพันจึงแตกต่างจากผู้อื่น เมื่อเห็นบ่าวไพร่ทุกคนออกไปกันหมดแล้ว จึงเอ่ยขึ้น
“เหล่าไท่ไท่อย่าร้อนใจไปเลยเ้าค่ะ บ่าวเห็นว่าคุณหนูใหญ่เป็เด็กเฉลียวฉลาด คงมีความคิดตัดสินใจเพื่อตนเองไว้แล้ว เมื่อครู่ตอนที่ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวคุยกับท่านอยู่ โม่ซิ่วสาวใช้ประจำตัวของคุณหนูใหญ่ก็มาตามซื่อจื่อไปคุย คิดว่าคุณหนูใหญ่คงมีเื่จะพูดกับซื่อจื่อเช่นกัน ได้ยินมาว่าปรกติความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ไม่เลวอยู่แล้ว โหวฮูหยินก็ชอบคุณหนูใหญ่ ให้ซื่อจื่อเอาของกินของใช้มาให้อยู่บ่อยครั้ง คงไม่ทำให้คุณหนูใหญ่ต้องน้อยเนื้อต่ำใจเป็แน่”
ฮวามามาพยายามพูดให้เหล่าไท่ไท่รู้สึกสบายใจ
จวนเดียวกันหากส่งบุตรสาวไปเป็อนุภรรยาถึงสองคน แล้วต่อไปคุณหนูสกุลโม่คนอื่นๆ จะแต่งงานออกไปอย่างมีหน้ามีตาได้อีกหรือ
เมื่อครู่ที่เหล่าไท่ไท่โมโหฉุนเฉียวมากมายถึงเพียงนั้น ก็เพราะฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวรับปากเพียงว่าจะแต่งโม่เสวี่ยิ่เป็อนุภรรยา พูดวกไปวนมาก็กล่าวแต่ว่าบุตรอนุภรรยาสกุลโม่ชื่อเสียงด่างพร้อยไปแล้ว อยากให้โม่เสวี่ยถงแต่งเข้าจวนโหวพร้อมกันมากกว่า พี่น้องจะได้ดูแลซึ่งกันและกัน ถึงตอนนี้ก็ยังคิดแต่จะแต่งบุตรสาวภรรยาเอกของสกุลโม่ให้ได้ แล้วจะไม่ให้เหล่าไท่ไท่เดือดดาลจนไฟลุกได้อย่างไร บุตรสาวสกุลโม่ไร้คุณค่าจนถึงขั้นต้องขายหนึ่งแถมสองแล้วหรือ
ยามนี้เมื่อได้ฟังคำพูดของฮวามามา ก็ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลงได้ หยิบน้ำชาที่ฮวามามาชงมาให้ใหม่ขึ้นมาจิบช้าๆ แววตานิ่งลึก หัวคิ้วมุ่นขมวด “ท่าทางของซื่อจื่อหลังจากที่กลับมาเป็อย่างไร”
“หลังจากซื่อจื่อกลับมาแล้วก็ยืนก้มหน้านิ่ง เห็นไม่สีหน้าไม่ชัดเจนเ้าค่ะ แต่ก่อนหน้านั้นซื่อจื่อเดินงุ่นง่านวนอยู่ในสวนสองรอบ หลังจากนั้นก็เตะบ่าวรับใช้ประจำตัวไปทีหนึ่ง นอกนั้นก็ไม่มีสิ่งใดผิดปรกติเ้าค่ะ” ตอนนั้นฮวามามายืนอยู่ใต้ชายคาระเบียง แม้จะเห็นสีหน้าของซือหม่าหลิงอวิ๋นไม่ชัด แต่เห็นท่าทางที่เขาแสดงออกอย่างชัดแจ้ง
นี่ก็แสดงว่ายามนั้นซือหม่าหลิงอวิ๋นก็หงุดหงิดอย่างมาก
“ิ่เอ๋อร์กับซือหม่าหลิงอวิ๋นมิได้แอบรักกันจริงๆ หรือ” สีหน้าภายใต้แสงตะเกียงของเหล่าไท่ไท่ดูคลุมเครือ แววตานิ่งลึก
“ดูจากท่าทางแล้ว เหมือนจะมีใจให้กันอยู่บ้างเ้าค่ะ แต่ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวก็แปลก ปรกติเห็นคิดถึงคุณหนูใหญ่อยู่บ่อยๆ มิใช่หรือ พอนางจะแต่งเข้าไปจริงๆ ไฉนจึงกลายเป็เช่นนี้ไปได้” ฮวามามาสังเกตจากสีหน้าของเหล่าไท่ไท่อย่างละเอียด ก็รู้สึกได้ว่าเ้านายไม่ได้ขุ่นเคืองเหมือนเมื่อครู่นี้แล้ว จึงกล่าวถ้อยคำอย่างระมัดระวัง
“ฮึ! ปรกติก็คงจะแค่แสดงให้คนดูน่ะสิ คนที่นางหมายตาจริงๆ ก็คือถงเอ๋อร์ต่างหาก แต่ก็จริงอยู่ บุตรสาวภรรยาเอกดีๆ ไม่แต่ง หรือจะให้แต่งบุตรสาวอนุภรรยาไปเป็ฮูหยิน” เหล่าไท่ไท่หาใช่คนโง่ ยามนี้เมื่อตรองจนกระจ่างแล้วก็เบ้ปากยิ้มเยาะ ทางโน้นจะมารักใคร่อะไรโม่เสวี่ยิ่มากมาย ที่ผ่านมาก็แค่เพื่อปูทางให้สองตระกูลได้ไปมาหาสู่กัน เป้าหมายที่แท้จริงย่อมเป็บุตรสาวภรรยาเอก
“คุณหนูใหญ่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด อีกทั้งชื่อเสียงก็ดีงามมาโดยตลอด แม้จะเป็ฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวซื่อจื่อ ก็ไม่นับว่าสูงเกินเอื้อม ได้ยินนายท่านใหญ่กล่าวว่า พระราชโองการแต่งตั้งของจักรพรรดิจะมาถึงภายในสองวันนี้ ถึงเวลาคุณหนูใหญ่ก็จะไม่ใช่เป็เพียงบุตรสาวของขุนนางขั้นห้าอีกแล้ว เื่ความเหมาะสมก็จะไม่ใช่ปัญหาใหญ่อีกต่อไป” ฮวามามากล่าววาจาชวนให้รู้สึกคล้อยตาม พลางสังเกตสีหน้าของเหล่าไท่ไท่ไปด้วย
สีหน้าของเหล่าไท่ไท่นับว่ากลับมาเป็ปรกติแล้ว แม้ว่าภายใต้แสงตะเกียงจะดูเป็เงาสลัว เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวมืดทำให้บรรยากาศดูทะมึนก็ตาม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยวาจาออกมา
“ิ่เอ๋อร์เป็เด็กฉลาด แต่นำมาใช้ผิดทาง มิน่าเล่าเมื่อตอนกลางวันจึงพูดกับข้าแบบนั้น เื่ในจวนนี้ไม่มีเื่ใดที่นางไม่รู้” เหล่าไท่ไท่กล่าวเสียงเย็น
“นางอยู่ในจวนนี้ แล้วยังมีฟางอี๋เหนียงอีกคนมิใช่หรือเ้าคะ ได้ยินมาว่าก่อนที่นายหญิงจะมา ฟางอี๋เหนียงผู้นี้เป็ที่โปรดปรานถึงขั้นเรียกลมเรียกฝนได้เลยนะเ้าคะ เล่ากันว่าฟางอี๋เหนียงยังเป็บุตรสาวที่พลัดพรากของสกุลอวี้ หากเป็จริงดังว่า ยกขึ้นมาเป็ภรรยาเอกก็ไม่นับว่าเป็เื่ยากแต่อย่างใด” ฮวามามากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ฮึ! นั่นก็ต้องแล้วแต่ชะตา เอาล่ะ หยุดพูดเื่นี้ก่อน รอฮว่าเหวินกลับมาค่อยตัดสินใจอีกทีเถอะ ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็เป็บุตรสาวของเขา ข้าไปออกหน้าแทนไม่ได้” เหล่าไท่ไท่กล่าวอย่างหงุดหงิด นางเองก็เป็คนเฉียบแหลม เมื่อนำเื่นี้กับเื่ก่อนหน้ามาผูกโยงเข้าด้วยกัน ไหนเลยจะคิดไม่ออก
เื่ราวเหล่านี้โม่เสวี่ยิ่ไม่มีทางใสสะอาดไปได้!
กับบุตรสาวอนุภรรยาที่มีจิตใจโเี้อำมหิตคนหนึ่ง นางไม่มีใจจะไปยุ่งเกี่ยวด้วย
“เหล่าไท่ไท่ ดูท่านพูดเข้าสิ ในจวนนี้มิใช่ว่าท่านใหญ่สุดแล้วหรือ นายท่านใหญ่ยังต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านเลยนะเ้าคะ แต่วันนี้ก็ดึกมากแล้ว ท่านไปพักผ่อนเถิดเ้าค่ะ อย่าให้เสียถึงสุขภาพได้ รอนายท่านใหญ่กลับมาคุยกันอีกครั้งก็ยังไม่สาย หากคุณหนูใหญ่มีใจ เพียงแค่จวนเจิ้นกั๋วโหวยอมอะลุ่มอล่วยก็ไม่มีปัญหาแล้ว” ฮวามามากล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วรับปิ่นมุกมาจากมือของเหล่าไท่ไท่ ก่อนจะหยิบมาสางผมให้ผู้เป็นาย เตรียมตัวเข้านอน
“ช่างเถอะ สำหรับข้าน่ะ ขอแค่อย่ามีใครมาหลอกใช้อีกก็พอ ไม่ขอมีความคิดเห็นใดๆ แม่ตุ๊กตาน้อยผู้นั้นยังเด็กอยู่แท้ๆ ไฉนจึงโเี้เพียงนี้ แม้แต่พี่น้องของตนเองก็ยังคิดเล่นงานได้”
“เห็นเหล่าคุณหนูเติบโตมา ทั้งคุณหนูเยี่ยนกับคุณหนูิ่ล้วนเป็เด็กอ่อนโยนและกตัญญูน่าชื่นใจยิ่ง แต่เหล่าไท่ไท่คงยังพะวงถึงพวกนางอยู่สินะเ้าคะ”
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ข้าเองก็แก่แล้ว ไม่อาจพะวงไปเสียทุกเื่ อีกอย่างคนบางคน แม้เราจะเป็ห่วงเป็ใย แต่ก็ใช่ว่าชาวบ้านเขาจะยอมรับ”
“คุณหนูสามหรือเ้าคะ” ฮวามามาถามหยั่งเชิง
“ข้าลงโทษให้นางคัดลอกพระสูตร แล้วจะไม่มีนางรวมอยู่ด้วยได้อย่างไร” เหล่าไท่ไท่กล่าวด้วยความกังวลใจ ตอนฮว่าเหวินเด็กๆ ก็ไม่ได้เื่ได้ราวเท่าไร นางต้องอบรมสั่งสอนกฎระเบียบทั้งหลายจึงเป็ผู้เป็คนขึ้นมาได้
เื่ในจวนโม่รู้กันไปทั่วทั้งเมืองหลวงแล้ว เดิมทีเื่แบบนี้แม้จะผ่านพ้นไปแต่ก็ย่อมทิ้งรอยแผลไว้ แต่หากจวนโม่กับจวนเจิ้นกั๋วโหวตกลงกันได้ แล้วร่วมมือกันกลบข่าวให้มิด ปัญหาใหญ่ก็ไม่นับว่าใหญ่โตอันใด ต่อให้ท้ายที่สุดชื่อเสียงของโม่เสวี่ยิ่จะด่างพร้อย แต่หากแต่งให้ซือหม่าหลิงอวิ๋นได้ก็ไม่ถือว่าเสียหน้ามากนัก
แต่ตอนนี้เพราะทั้งสองจวนยังตกลงกันไม่ได้ สกุลโม่้าให้เจิ้นกั๋วโหวแต่งฮูหยิน แต่ฝ่ายนั้นยอมรับในฐานะอนุภรรยาเท่านั้น ยามนี้จึงไม่มีใครไปจัดการกับข่าวลือที่เผยแพร่ออกไป จวนโม่ไม่มีผู้รับผิดชอบจัดการเื่ราว จวนเจิ้นกั๋วโหวก็เพิกเฉยไม่แสดงทีท่า ปล่อยให้ผู้ที่อยากรู้อยากเห็นเื่ของผู้อื่นซุบซิบนินทาบอกต่อกันไปเรื่อยๆ
เนื่องจากไม่มีการปิดข่าว ข่าวลือที่แพร่ออกไปจึงยิ่งรุนแรงขึ้น ไม่เป็ผลดีต่อชื่อเสียงของจวนโม่แม้แต่น้อย ในแคว้นฉินเคร่งครัดกับสตรีมากกว่าบุรุษมากนัก
ลั่วิจูมาถึงจวนโม่แต่เช้าตรู่ บ่าวที่เฝ้าประตูจวนชักสีหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเ็าว่าคุณหนูสามไม่สบาย หมายจะไล่นางกลับไป แต่เมื่อคิดถึงคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับโม่เสวี่ยถงเมื่อวาน ลั่วิจูจึงอาศัยฐานะคุณหนูจวนฝู่กั๋วกงพาบ่าวไพร่บุกเข้าไปในจวนโม่อย่างเหิมเกริมโดยไม่ฟังเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อมาถึงเรือนชิงเวย จึงพบว่าที่แท้โม่เสวี่ยถงถูกลงโทษให้คัดลอกพระสูตรั้แ่เมื่อคืน จนบัดนี้ก็ยังไม่ได้นอน เมื่อเห็นลั่วิจูเข้ามา ยังไม่ทันเอ่ยคำทักทายก็เป็ลมล้มพับไปเสียก่อน
ลั่วิจูร้อนใจยิ่ง ทางหนึ่งก็ใช้ให้คนไปรายงานท่านย่าของตนเอง อีกทางหนึ่งก็อยู่เป็เพื่อนโม่เสวี่ยถง แล้วให้บ่าวไปตามท่านหมอมาดูอาการ เดิมทีภายในจวนโม่ก็ไม่สงบอยู่แล้วบัดนี้จึงยิ่งชุลมุนวุ่นวาย เหล่าไท่ไท่ได้ข่าวก็ใรีบมายังเรือนชิงเวย นั่งยังไม่ทันก้นร้อน สวี่เหล่าไท่จวินก็มาถึงพร้อมกับโทสะอันเดือดพล่าน
สวี่เหล่าไท่จวินเป็ฮูหยินตราตั้งมียศตำแหน่ง แต่เหล่าไท่ไท่ไม่มี หากเหล่าไท่จวินไม่อนุญาตให้นั่ง นางก็ไม่อาจนั่งได้ ฮวามามาประคองเหล่าไท่ไท่มายืนด้านข้าง แล้วพยายามชวนพูดคุยเพื่อให้เหล่าไท่จวินคลายโทสะลง
ฮวามามาอธิบายว่า เื่นี้มีเหตุมาจากเมื่อคืนคุณหนูสามแอบออกมาจากห้องบูชาบรรพชนโดยพลการ ต่อมาก็เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น เหล่าไท่ไท่กำลังขุ่นเคือง ยามนั้นจึงมีคำสั่งให้นางคัดลอกพระสูตรเมื่อคืน
ต่อมาเพราะเื่ของคุณหนูใหญ่จึงเกิดการโต้เถียงกับฮูหยินเจิ้นกั๋วโหวทำให้อารมณ์ไม่ดี และด้วยอายุที่มากแล้ว จึงลืมไปสนิทว่าคุณหนูสามยังคัดลอกพระสูตรอยู่ เมื่อนึกขึ้นได้ กำลังจะมาบอกให้นางหยุด แต่คิดไม่ถึงว่าสุขภาพของนางจะอ่อนแอมากขนาดนี้ แค่คัดลอกพระสูตรคืนเดียวก็เป็ลมไปเสียแล้ว
เมื่อเกิดเื่เช่นนี้ขึ้น เหล่าไท่จวินก็หน้าตึง้าคาดคั้นเอาผิดให้ได้ บัดนี้ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าจะสูงอายุก็ไม่มีใครใส่ใจ เหล่าไท่ไท่ทั้งอับอายและขุ่นเคือง เกือบจะเป็ลมไปอีกคน โชคดีที่โม่เสวี่ยถงฟื้นขึ้นมา จึงให้คนหาที่นั่งให้เหล่าไท่ไท่ก่อน แล้วฉอเลาะเหล่าไท่จวินด้วยวาจาอ่อนหวานว่าตนเองไม่ได้เป็อะไร เื่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเป็ความผิดของตน ท้ายที่สุดเหล่าไท่จวินจึงมิได้อาละวาดออกมา
แต่ถึงจะเป็เช่นนั้น เหล่าไท่จวินก็ยังไม่อาจปั้นสีหน้าดีกับเหล่าไท่ไท่ ได้แต่กอดโม่เสวี่ยถงไว้พลางรำพึงรำพันว่านางเป็เด็กน่าสงสารไม่มีคนรักคนเมตตา สุดท้ายก็ตีหน้านิ่งหันมาพูดกับเหล่าไท่ไท่อยู่เป็นานสองนาน ้าสื่อความหมายให้รู้ว่าหากยังรังแกเด็กที่ไม่มีมารดาเช่นนี้อีก จวนลั่วก็ไม่คิดถือสาที่จะรับเด็กคนนี้ไปดูแลแทน
แต่นี่คือสิ่งที่เหล่าไท่ไท่ไม่อาจยอมรับได้ หากคนที่อยู่ภายนอกรู้ว่าจวนโม่แม้แต่บุตรสาวภรรยาเอกคนเดียวก็ยังไม่อาจเลี้ยงดูได้ แล้วคนทั้งสกุลโม่จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ่ก่อนหน้านี้ที่ไปอยู่จวนฝู่กั๋วกงยังพออ้างได้ว่าเพราะสวี่เหล่าไท่จวินคิดถึงหลานที่ไม่ได้พบกันมานาน หากครานี้ต้องไปอยู่อีกเป็สิบวันหรือครึ่งเดือน จวนโม่คงไม่มีหน้าไปคบหากับใครได้แล้ว
ยามนั้นนางจึงตบอกให้คำมั่นสัญญาว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก หลังจากกล่าวย้ำอีกหลายต่อหลายรอบ สวี่เหล่าไท่จวินจึงพาลั่วิจูกลับด้วยความพึงพอใจ
โม่ฮว่าเหวินกลับมาถึงจวนใน่บ่าย พอเดินมาถึงเรือนหลังก็พบกับเหล่าไท่ไท่ ยังไม่ทันได้สนทนากัน ราชโองการก็มาถึง โม่ฮว่าเหวินจึงต้องออกไปรับราชโองการทันที
ในราชโองการกล่าวว่าโม่ฮว่าเหวินเป็ผู้เที่ยงธรรม จงรักภักดี มีความรักต่อแว่นแคว้น ทำงานด้วยความมานะอุตสาหะมาตลอดหลายปี ความสามารถเป็ที่ประจักษ์ จักรพรรดิจึงโปรดให้เลื่อนขั้นจากขุนนางขั้นห้าขึ้นมาเป็ขั้นสาม ดำรงตำแหน่งเป็ผู้ตรวจการพระนคร
เมื่อได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็ขุนนางขั้นสาม ทั้งยังรั้งตำแหน่งผู้ตรวจการพระนคร ซึ่งเป็ตำแหน่งที่มีอำนาจอย่างแท้จริง การได้รับเกียรติยศเป็พิเศษเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นที่ไหนมาก่อน ในความจริงแล้วขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งขั้นสองมีมากมายในราชสำนักต้าฉิน ขุนนางขั้นสามแม้ไม่ใช่ตำแหน่งที่สูงมากนัก แต่การได้เลื่อนขึ้นถึงสองระดับและยังรั้งตำแหน่งขุนนางที่มีอำนาจอย่างแท้จริง ทำให้แม้แต่ขุนนางขั้นหนึ่งยังต้องหันมามอง
เมื่อก่อนโม่ฮว่าเหวินเป็เพียงขุนนางขั้นห้า ยังไม่อาจนับได้ว่าเป็บุคลากรชั้นยอดในเมืองหลวงแห่งนี้ แต่กลับได้รับใช้ใกล้ชิดเบื้องยุคลบาท กล่าวกันว่าโม่ฮว่าเหวินเป็คนเก่าแก่ที่ทำงานให้จักรพรรดิจงเหวินตี้ั้แ่สมัยที่พระองค์ยังเป็รัชทายาท จึงเป็บุคคลที่จักรพรรดิทรงให้ความสำคัญเสมอมา แม้ว่าจะเป็ขุนนางขั้นห้า แต่มิได้เหมือนกับขุนนางขั้นห้าทั่วไป ยามที่จักรพรรดิทรงมีราชกิจใดก็มักจะเรียกใช้เขาเสมอ
การได้รับเกียรติยศสูงสุดครั้งนี้ ผู้ที่รู้ข่าวไวก็พากันมาแสดงความยินดี ใน่เวลานั้นห้องรับแขกของจวนโม่ก็มีเสียงคำอวยพรมิได้ขาด โม่ฮว่าเหวินยุ่งกับการพบปะผู้คนมากมาย ต้องเลี้ยงต้อนรับถึงสิบกว่ารอบ เหล่าข้าทาสบริวารไม่เคยััความคึกคักเช่นนี้มาก่อน วิ่งเข้าวิ่งออกวุ่นวายไปทั้งจวน
ด้วยเหตุนี้ข่าวลืออื้อฉาวจึงหายไปราวกับล่องหน แต่สถานการณ์ที่อยู่เบื้องลึกกลับยิ่งดำมืดและจมดิ่งลงไปเรื่อยๆ
เรือนชิงเวย
โม่เสวี่ยถงนั่งอยู่บนเตียง หรี่ตาลงเล็กน้อยมองออกไปนอกหน้าต่าง ท้องฟ้าแจ่มใสไม่เลว ยามฤดูเหมันต์หากมีแสงแดดแรงกล้าได้ขนาดนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว นางนวดศีรษะเบาๆ ยังรู้สึกวิงเวียนอยู่เล็กน้อย แม้ว่าจะได้รับการบำรุงจากจวนฝู่กั๋วกงมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่โดยพื้นฐานร่างกายยังคงอ่อนแออยู่ เมื่อไม่ได้พักผ่อนมาหนึ่งคืนเต็มๆ ร่างกายจึงรับไม่ไหว
โม่อวี้เลิกม่านขึ้นยกน้ำอุ่นเดินเข้ามา เมื่อเห็นโม่เสวี่ยถงคลึงขมับลุกขึ้นมานั่งก็รีบวางของในมือลง แล้วเดินเข้ามานวดศีรษะให้โม่เสวี่ยถงแล้วเอ่ยถาม “คุณหนูตื่นแล้ว ยังปวดหัวอยู่หรือไม่เ้าคะ ต้องให้เรียกท่านหมอมาดูอาการไหม”
“ไม่ต้อง แค่รู้สึกเพลียนิดหน่อยเท่านั้น ไม่มีอะไรร้ายแรง” โม่เสวี่ยถงยิ้มบางเบา สีหน้ายังคงซีดเซียว
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้