หมี่หลันเยว่ตักข้าวเข้าปากอย่างไม่รู้ตัว กลืนไม่ทันลงคอก็เริ่มเล่าถึงความคิดในหัว
"แม่คะ ห้องเก็บของเล็กๆ ทางซ้ายมือตอนเดินเข้ามาในบ้านเราน่ะ พื้นที่มันกว้างขวางมากเลยนะคะ ใหญ่พอๆ กับห้องนอนของหนูกับพี่ชาย แล้วก็น้องชายเลย เราจัดห้องนั้นให้เป็หน้าร้านเลยดีไหมคะ"
"ตรงนั้นมันคั่นด้วยสนามหญ้ากับตัวบ้านที่เราอยู่อีกที น่าจะไม่รบกวนชีวิตประจำวันของเราเท่าไหร่นะคะ ถ้ายังรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยพอ ก็ทำประตูเพิ่มตรงบันไดหินหน้าบ้านเลยค่ะ กั้นระหว่างห้องเก็บของกับตัวบ้านเราไปเลย แบบนั้นทั้งเงียบทั้งปลอดภัยค่ะ"
หมี่หลันเยว่พูดไปก็เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ไปด้วย แต่หมี่จิ้งเฉิงกับหวังหย่วนฉิงก็พอจะจับใจความได้ ต้องยอมรับว่าถ้าบ้านพวกเขาจะเปิดร้านเล็กๆ สักร้าน ความคิดของลูกสาวคนนี้ก็เข้าท่าดีเหมือนกัน แค่จัดห้องเก็บของก็เรียบร้อย ตัวบ้านจริงๆ ก็จะไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย
"ว่าไปก็จริงนะ วิธีของลูกใช้ได้เลย ห้องเก็บของสองห้องนั้นมันก็ดูจะเปลืองที่ไปหน่อย" หมี่จิ้งเฉิงเริ่มจินตนาการตาม
"งั้นเราจัดห้องเก็บถ่านหินใหม่ดีไหม แบ่งที่ครึ่งนึงเอาไว้เก็บของอื่นๆ จากห้องเก็บของ ห้องเก็บของก็จะว่าง"
ห้องเก็บของกับห้องเก็บถ่านหินของบ้านเขามันใหญ่มาก เพราะมันขุดเข้าไปในเชิงเขา พอถึงหน้าหนาวแค่จุดเตาไฟนิดหน่อย อุณหภูมิในบ้านก็อุ่นแล้ว แถมผนังห้องครึ่งนึงก็ติดกับูเา ถึงจะไม่จุดไฟ อากาศก็ไม่หนาวเท่าไหร่
"กินข้าวก่อนเถอะ เื่นี้พ่อกับแม่ค่อยคุยกันอีกที เื่รายละเอียดเอาไว้คุยกันระหว่างทางไปทำงาน"
หมี่จิ้งเฉิงเห็นลูกสาวกลืนข้าวลงคอแล้วเหมือนจะพูดอะไรต่อ ก็รีบให้ลูกกินข้าวก่อน กลัวลูกจะหิวตอนไปโรงเรียน ยังไงลูกก็บอกความคิดหลักๆ มาหมดแล้ว
ระหว่างกินข้าว หมี่จิ้งเฉิงกับหวังหย่วนฉิงก็คิดตามไปด้วย ยอมรับเลยว่าพอหลันเยว่ทักขึ้นมา สองคนก็รู้สึกว่าตรงนั้นมันเป็ทำเลที่ดีจริงๆ ถ้าใช้ประโยชน์ได้ตามที่ลูกบอก มันก็คุ้มค่ามาก
อาหารมื้อนั้นทุกคนกินกันอย่างใจลอย แต่ก็ไม่มีอะไรหยุดยั้งการเดินทางไปทำงานและไปโรงเรียนได้ หลังกินอาหารเสร็จ ทุกคนก็จัดการตัวเองแล้วออกจากบ้านกันไป หมี่หลันซิงโตพอที่จะไม่ต้องให้พ่ออุ้มไปส่งที่สถานรับเลี้ยงเด็กแล้ว พอถึงทางแยก หมี่จิ้งเฉิงกับหมี่หลันซิงก็แยกไปสถานรับเลี้ยงเด็ก ส่วนหวังหย่วนฉิงก็พาหมี่หลันเยว่กับหมี่หลันหยางไปโรงเรียน
ตอนเย็นก็ยังคงไปเปิดร้านหนังสือเล็กๆ เหมือนเดิม วันนี้ก็ยังขายดีเหมือนเคย หมี่หลันเยว่กับหมี่หลันหยางกระตือรือร้นกันเต็มที่ และเพราะร้านหนังสือเล็กๆ ขายดิบขายดีแบบนี้เอง ที่ทำให้หมี่จิ้งเฉิงตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเปิดร้านที่บ้านต่อไป ยังไงซะมันก็แค่ใช้ประโยชน์จากห้องเก็บของที่บ้าน ที่เหลือก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรแล้ว อย่างมากก็แค่มีคนเฝ้าร้านตอนเย็นหรือตอนเช้าตรู่ มันก็มีแต่ได้กับได้
แต่พอตกเย็น ตอนที่หมี่จิ้งเฉิงพาลูกสองคนกลับบ้าน เขาก็พบว่าบ้านมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว ถ่านหินในห้องเก็บถ่านหินถูกกองไว้ด้านใน ที่ว่างด้านนอกถูกจัดเตรียมไว้แล้ว
"เธอจัดเองเหรอ ทำไมไม่รอฉันกลับก่อนล่ะ เหนื่อยแย่เลย"
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าเป็ฝีมือของหวังหย่วนฉิง หมี่จิ้งเฉิงเป็ห่วงภรรยา กลางวันต้องสอนหนังสือทั้งวัน กลับมาบ้านก็ต้องทำอาหารเลี้ยงลูก ถ้ายังต้องมาทำงานหนักแบบนี้อีก เขาก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
"ไม่เป็ไรหรอก ไม่ได้ขนถ่านไปไหนไกล แค่จัดให้เข้าที่เข้าทาง ไม่ได้เปลืองแรงอะไรเท่าไหร่ ฉันอยากจะดูว่าพอจัดถ่านแล้ว ที่ตรงนี้จะพอเก็บของจากห้องเก็บของหรือเปล่า ถ้าไม่พอ เราค่อยคิดหาวิธีอื่น"
ถึงของในห้องเก็บของจะไม่ใช่ของมีค่าอะไร แต่สองคนก็ไม่อยากทิ้งอะไรทั้งนั้น เพราะถ้าถึงเวลาที่ต้องใช้แล้วหาไม่เจอ มันก็จะเสียเวลาเปล่าๆ เก็บไว้ยังไงก็ต้องได้ใช้
"ดูๆ ไปแล้ว ที่มันไม่ค่อยพอนะ เพราะถ่านมันจะไหลลงมา กินพื้นที่ไปเยอะเลย งั้นเราก่อกำแพงเพิ่มตรงนี้ดีไหม กั้นห้องเก็บถ่านหินออกเป็สองส่วนไปเลย แบบนั้นเรายังแขวนอะไรบนกำแพงได้อีก แล้วก็กองถ่านได้เยอะขึ้นด้วย ไม่ต้องกลัวมันไหลลงมา ทำให้ห้องเก็บของสะอาดขึ้นเยอะเลย ได้ประโยชน์หลายอย่าง"
หมี่จิ้งเฉิงพูดพลางยกมือขึ้นมาประกอบการอธิบาย หวังหย่วนฉิงก็พยักหน้าเห็นด้วย รู้สึกว่าถ้าทำแบบนี้ จะมีพื้นที่เหลืออีกเยอะ เอาไว้ใช้เป็ห้องเก็บของก็ได้สบายๆ
"ฉันว่าเข้าท่าดีนะ ยกพื้นตรงประตูฝั่งเก็บถ่านให้สูงขึ้นหน่อย มันก็จะกันถ่านได้จริงๆ"
สองคนปรึกษากันเรียบร้อย ก็พาลูกๆ ไปล้างมือล้างหน้าแล้วกินข้าวกัน ่เวลาต่อจากนั้น หมี่จิ้งเฉิงก็ขยันเหมือนผึ้ง เริ่มงานก่อสร้างที่บ้าน เพราะห้องเก็บถ่านหินมันมีถ่านหินอยู่ข้างใน การจะก่อกำแพงมันไม่ใช่เื่ง่าย
เขาเลยต้องค่อยๆ ทำไปทีละนิด ขนถ่านจากซ้ายไปขวา จากขวาไปซ้าย วุ่นวายอยู่หลายรอบ ตื่นเช้ามาก็ทำหน่อย ตกเย็นก็ทำอีกหน่อย หลังจากกัดฟันสู้ไปสิบวัน ในที่สุดเขาก็ก่อกำแพงในห้องเก็บถ่านหินของตัวเองได้สำเร็จ แบ่งห้องเก็บถ่านหินออกเป็สองส่วน
ที่เหลือก็แค่ขนของ ย้ายของจากห้องเก็บของมาไว้ในห้องเก็บของใหม่ทีละชิ้น งานนี้เป็หน้าที่ของหวังหย่วนฉิง เธอจัดการข้าวของไปพร้อมๆ กับคัดของที่ไม่จำเป็ออกไป
ถึงของหลายอย่างจะไม่อยากทิ้ง แต่ก็มีของที่ไม่ได้ใช้แล้วจริงๆ พอได้โอกาสย้ายบ้านครั้งใหญ่ ห้องเก็บของใหม่ก็สะอาดสะอ้าน นอกจากของชิ้นใหญ่ๆ ที่หนักมากๆ ที่หวังหย่วนฉิงขอความช่วยเหลือจากหมี่จิ้งเฉิง นอกนั้นเธอจัดการเองทั้งหมด เพื่อที่จะได้จำตำแหน่งของทุกอย่างได้ พอถึงเวลาต้องใช้ก็จะได้ไม่เสียเวลาหา
ส่วนเื่การตกแต่งร้านใหม่ หวังหย่วนฉิงยิ่งถนัด หมี่หลันเยว่ขอยอมแพ้เื่การจัดบ้าน แม่มีฝีมือในการเปลี่ยนของธรรมดาให้กลายเป็ของวิเศษ เธอจำได้ว่าหลายปีต่อมา ตอนที่ครอบครัวย้ายไปเมืองใหม่ เมืองใหม่ที่ไม่มีบ้านเป็ของตัวเอง
แม่ก็แสดงความสามารถของเธอในห้องเช่าเล็กๆ เปลี่ยนบ้านโทรมๆ ให้มีชีวิตชีวา ทำให้ความหดหู่ของคนในครอบครัวให้ทุเลาลง ความรู้สึกแปลกแยกในต่างเมืองค่อยๆ จางหายไปในบ้านหลังเล็กที่อบอุ่นและสบาย
ครั้งนี้ หมี่หลันเยว่ก็คิดแบบเดียวกัน แม่จะต้องแต่งแต้มร้านหนังสือเล็กๆ แห่งนี้ให้เต็มไปด้วยกลิ่นอายของหนังสือ และไม่ซ้ำซากจำเจแน่นอน แค่ลูกค้าก้าวเข้ามา หมี่หลันเยว่มั่นใจว่าร้านหนังสือเล็กๆ ของเราจะต้องตรึงใจนักอ่านได้แน่นอน
"แม่ว่าจะมีเด็กๆ ที่ไม่อยากเอากลับไปอ่านที่บ้านไหมคะ หรือว่าไม่มีเงินค่ามัดจำ ก็เลยได้แต่อ่านที่นี่"
หมี่หลันเยว่อธิบายให้แม่ฟังอย่างละเอียดแล้วว่า สามารถให้คนอ่านเอากลับไปอ่านที่บ้านได้ แต่ต้องจ่ายค่าหนังสือเต็มจำนวนเป็ค่ามัดจำก่อน พอเอาหนังสือมาคืนก็จะคืนเงินมัดจำให้
"ต้องมีสิ เพราะฉะนั้นแม่ว่าจะเอาเก้าอี้เล็กๆ มาวางไว้ตรงนี้สักสองสามตัว ให้เขานั่งอ่านตรงนี้ อ่านเสร็จก็คืน สะดวกดี ไม่ต้องเสียเงินมัดจำ แม่ว่าเด็กส่วนใหญ่ไม่น่าจะมีเงินสดเยอะขนาดนั้นหรอก"
ตอนนี้แม้จะเข้าสู่่กลางทศวรรษที่ 70 แล้ว แต่ระดับการครองชีพของคนทั่วไปยังไม่สูงมาก ถ้าเด็กๆ มีเงินติดตัวสักสิบเหมา ก็ถือว่ามีขุมทรัพย์เล็กๆ แล้ว เด็กหลายคนไม่มีเงินติดตัวเลย เมื่อเทียบกับเด็กพวกนั้น ตัวเองก็ถือว่ามีความสุขมากแล้ว
"แม่คะ หนูคิดว่าจะตั้งชั้นหนังสือตรงนี้ เอาหนังสือที่เรามีที่บ้านมาวางด้วย เผื่อมีผู้ใหญ่มาดู"
หมี่หลันเยว่ยังคงช่วยแม่ออกความเห็น ประสบการณ์จากชาติที่แล้วสามารถค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปได้
ครอบครัวเราอาจจะขาดแคลนเื่อื่น แต่เื่หนังสือที่บ้านถือว่าอลังการมาก เพราะพ่อกับแม่คลั่งไคล้หนังสือ หนังสือเป็ค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่สุดของบ้าน ถ้าไม่เอามาใช้ประโยชน์ก็ถือว่าเป็การสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ วางไว้ในห้องนอนก็รกเปล่าๆ เอามาวางในร้านหนังสือก็รกเหมือนกัน ถ้ามันสามารถเปลี่ยนเป็ผลประโยชน์ได้ มันก็เหมือนกับลาภลอย
"ผู้ใหญ่จะมาอ่านหนังสือที่บ้านเราเหรอ"
หวังหย่วนฉิงสงสัย เพราะบ้านเธอมีหนังสือเยอะมาก เธอเลยนึกภาพไม่ออกว่าบางบ้านจะไม่มีหนังสือให้อ่าน
"มีสิคะ ต้องมีคนมาดูแน่นอน เด็กบางคนต้องออกมาตอนเย็นก็ต้องมีผู้ใหญ่มาด้วย ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ทุกคนไม่อยากให้ลูกเสียเงินอ่านหนังสือ แต่พ่อแม่ที่สนับสนุนให้ลูกอ่านหนังสือจะต้องโหยหาหนังสือแน่ๆ แต่ตัวเองไม่มีเงินซื้อ ก็อาจจะเช่าหนังสืออ่าน"
ถึงที่ลูกสาวจะพูดมีเหตุผล แต่หวังหย่วนฉิงก็ยังไม่เข้าใจว่าจะมีคนมาเช่าหนังสือที่บ้านได้ยังไง เพราะในยุคนี้ยังไม่มีร้านเช่าหนังสือที่เป็เื่เป็ราว มีแต่แผงหนังสือเล็กๆ น้อยๆ ที่ให้เช่าหนังสือการ์ตูน
หวังหย่วนฉิงคุยกับหมี่จิ้งเฉิงเื่นี้อย่างละเอียดอีกครั้งตอนกลางคืน เธอเสียดายหนังสือของตัวเองจริงๆ
"ฉันว่าความคิดของหลันเยว่ดีมากนะ หนังสือวางไว้ที่บ้านก็เปล่าประโยชน์ เราจะอ่านได้สักแค่ไหน ถ้ามันสามารถช่วยให้คนอื่นที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือได้อ่าน มันก็ถือว่าเราทำบุญกุศล"
"แถมยังเลือกหนังสือมาให้เช่าได้ด้วย เอาหนังสือหายาก หนังสือคลาสสิกเก็บไว้ เอาหนังสือที่กำลังนิยม ที่คนชอบอ่านแต่ไม่มีคุณค่าในการสะสมมาที่ร้าน ไม่เสียหายอะไรนี่นา ยิ่งเราเก็บค่ามัดจำไว้ด้วย ถ้ามีคนทำเสียหายหรือไม่เอามาคืน เราก็ไม่ขาดทุนอะไร"
พอสามีพูดปลอบใจ หวังหย่วนฉิงก็คิดออก ว่าจะบอกคนที่มาเช่าหนังสือให้ชัดเจนว่า ถ้าหนังสือเสียหายจะต้องชดใช้ตามราคา แบบนี้พวกเขาจะได้ดูแลหนังสือมากขึ้น หวังหย่วนฉิงไม่อยากให้ใครทำหนังสือสกปรกหรือเสียหาย เธอไม่อยากได้เงินค่ามัดจำ เงินค่ามัดจำก็แค่เงินที่เธอเอาไว้ซื้อหนังสือ เธออยากให้คนจำนวนมากขึ้นปลูกฝังนิสัยรักหนังสือ
เมื่อตัดสินใจได้แล้วก็ต้องลงมือทำ หมี่จิ้งเฉิงไปจ้างคนทำชั้นหนังสือ ตามขนาดของผนังด้านหนึ่ง และทำตามแบบที่ลูกสาวให้มา พอทำออกมาแล้วมันก็ใช้ได้จริง หวังหย่วนฉิงก็จัดการร้านหนังสือใหม่ ตอนนี้ก็แค่รอร้านเปิด