นี่เธอย้อนเวลามาได้จริง ๆ ใช่ไหม??
อนงค์กานต์นั่งอยู่บนเตียงและมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างมึนงง ห้องนี้ยังคงเป็ห้องนอนในวัยเด็กที่อยู่ในความทรงจำของเธอตลอดมา ห้องที่มีเตียงไม้สีหม่นขนาดนอนได้คนเดียว เป็เตียงไม้แบบประกอบเองไม่ได้มีความสวยงามใด ๆ แต่เป็เตียงที่นอนสบายมากในความรู้สึกเธอ ห้องนอนเป็ผนังไม้ทั้งสี่ฝั่ง เป็ผนังที่มีคราบเปื้อน คราบน้ำต่าง ๆ ปรากฏอยู่ทั่ว บ่งบอกให้เห็นถึงอายุการใช้งานที่มีมากว่าสิบปี
ในห้อง นอกจากเตียงไม้เล็ก ๆ นี่แล้วก็จะมีเพียงตู้เสื้อผ้าที่เปิดโล่ง ไม่มีประตูปิดใด ๆ ข้างในตู้นอกจากชุดนักเรียนสามชุด ก็มีเพียงเสื้อผ้าใส่อยู่บ้านไม่เกินสิบชิ้น
หลังจากนั่งมองเงาสะท้อนจากกระจกอยู่ครู่ใหญ่ อนงค์กานต์ก็หันมามองพ่อและแม่ที่ยังนั่งทำสีหน้าวิตกอยู่ด้านข้างอย่างพินิจพิเคราะห์
ไม่จริงน่า!! มีเงาสะท้อนทั้งสามคน และที่สำคัญภาพในเงาสะท้อนยังเป็ภาพของเธอเมื่อตอนยังเด็ก
เธอยกมือของตัวเองขึ้นจ้อง เห็นมือและแขนเล็กผอม ิัยังอ่อนนุ่มไม่เห็นถึงรอยหยาบกร้านหรือรอยกระใด ๆ ที่บ่งบอกถึงวัยใกล้ห้าสิบอย่างที่เคยเป็
จากนั้นก็ค่อย ๆ ยื่นมือไปััแขนของพ่อและแม่ ตัวอุ่น ๆ เหมือนคนที่ยังมีเืเนื้อ พลางมองหน้าอกขยับขึ้นลงที่แสดงถึงการมีลมหายใจของพ่อแม่ เธอก็ชะงักนิ่งไปชั่วครู่ก่อนผลุนผลันวิ่งเปิดประตูออกไปนอกห้อง ท่ามกลางความตกตะลึงของกานต์และอนงค์
จากนั้นเธอก็วิ่งลงจากบันไดบ้านอย่างเร็วรี่ ก่อนจะหันหลังกลับและเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นบ้านไม้หลังเล็กที่มีใต้ถุนสูง มันคือบ้านที่เธอเคยอยู่กับพ่อแม่เมื่อสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา
เธอรู้สึกถึงความเหนื่อย เธอรู้สึกถึงหัวใจที่เต้นแรงหลังจากวิ่งลงจากบันได มีรอยแดงช้ำที่แขนซึ่งเกิดจากการที่เธอหยิกตัวเองเมื่อครู่ เธอรู้สึกเจ็บหลังหยิก
ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่โลกหลังความตาย แต่เธอได้ย้อนกลับมาในร่างตอนเด็ก! เธอย้อนกลับมาตอนที่พ่อแม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่!!หลังจากนั้นความตื่นเต้น ความสุขก็เอ่อล้นขึ้นมา และอนงค์กานต์ก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจ
-----
เมื่อหายตกตะลึง กานต์และอนงค์ก็วิ่งลงมาหาบุตรสาวที่กำลังยืนยิ้มกว้างอยู่ตรงลานหน้าบ้าน
"นิด จู่ ๆ วิ่งพรวดออกมา มีอะไรรึเปล่าลูก?" อนงค์พูดสีหน้าไม่สู้ดีพลางเอามือทาบหน้าผากของบุตรสาว "ปวดหรือไม่สบายตรงไหนบอกแม่ได้ ตัวก็ไม่ร้อน หรือจะเป็ไข้ตัวเย็น"
เมื่อเห็นลูกสาวยังคงยืนเงยหน้ามองบ้านและยิ้มกว้าง ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ต่อผู้เป็แม่ กานต์ก็ใจกระตุก "เดี๋ยวพี่จะไปตามพี่แสง พานิดตรวจไปโรงพยาบาลหน่อยดีกว่า" โดยไม่รอความเห็นของภรรยา กานต์ก็เดินออกจากบ้านเพื่อไปว่าจ้างรถให้ไปส่งโรงพยาบาลในเมือง
"แม่จ๊ะ วันนี้วันที่เท่าไหร่" อนงค์กานต์เอ่ยถามขณะที่กำลังนั่งให้แม่เช็ดตัวที่ใต้ถุนเรือน
"วันที่ 5 มีนาคม หลังจากสอบเสร็จ นิดนอนยาวไป 2 วันเลยนะ แม่เป็ห่วงแทบแย่เลย" อนงค์เอ่ย
"แล้วปี พ.ศ.ล่ะจ๊ะ" อนงค์กานต์ซักต่อ
อนงค์ชะงักมือที่ถือผ้าขนหนูอยู่และความไม่สบายใจก็ตีกลับขึ้นมาอีกครั้ง "ปี พ.ศ.2529 นิดจำไม่ได้เหรอลูก"
ปี พ.ศ.2529 ย้อนมาก่อนพ่อกับแม่เสียชีวิตเกือบสองปี
อนงค์กานต์นั่งเงียบแต่แววตากลอกไปมาไม่อยู่นิ่งเพราะความคิดที่วุ่นวายในหัว โดยมีอนงค์นั่งมองข้าง ๆ อย่างกังวล
"นิดขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน เดี๋ยวพ่อก็มาแล้ว จะได้รีบไปก่อนจะสายกว่านี้"
"เราจะไปไหนกันจ๊ะ" อนงค์กานต์ถามอย่างสงสัย
"พานิดไปตรวจที่โรงพยาบาลในเมือง ไปตรวจดูหน่อยว่าร่างกายเป็อะไรไหม"
"นิดสบายดีนะแม่ ไม่ได้ไม่สบายตรงไหน ไม่ไปได้ไหม"
เมื่อได้ยินเสียงท้วง อนงค์ก็ลูบศีรษะของลูกสาวอย่างเบามือ "ให้หมอตรวจหน่อยดีกว่าลูก นิดนอนนานไป 2 วันเลยนะ อาจมีตรงไหนผิดปกติที่เราไม่รู้ก็ได้ จะได้แก้ไขทัน หรือถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ อย่างน้อยก็ช่วยให้พ่อกับแม่สบายใจนะ รู้ไหม พ่อกับแม่กังวลมากแค่ไหนเมื่อเช้านี้" อนงค์เอ่ยเสียเครือ
"ไม่เอา แม่ไม่ร้องแล้วนะ นิดขอโทษ นิดไปแต่งตัวเดี๋ยวนี้แหละ" อนงค์กานต์พูดพร้อมสวมกอดผู้เป็แม่ ก่อนจะผละลุกเดินขึ้นบ้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า