หลิวเต้าเซียงรีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านยาย เื่นี้ข้ารู้ ที่นาดีชั้นสูงหนึ่งไร่ราคาหกตำลึง ชั้นกลางห้าตำลึง ที่ดินรกร้างหนึ่งตำลึง”
นางถามอีกว่า “ท่านยาย้าซื้อที่นาดีหรือ? ข้ารู้สึกว่าต้องซื้อที่นาดีสักเก้าไร่ แล้วซื้อที่ดินรกร้างอีกหกไร่ หากท่านยาย้าเพาะปลูก ให้เพาะปลูกมันเทศในที่ดินรกร้างเถิด บ้านเราจะเลี้ยงหมูอีกมาก กำลัง้ามันเทศจำนวนมากด้วย!
“ใช่ ท่านแม่ ใบมันเทศยังสามารถเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูได้ ข้าจะได้ไปเก็บใบ ท่านแม่ห้ามรำคาญที่ข้าไปบ่อยนะ”
จางกุ้ยฮัวล่วงรู้ความคิดของบุตรสาวที่กำลังเค้นสมอง ช่วยคิดหาทางเพื่อตัวท่านยายเอง
หลังจากปลูกมันเทศแล้ว เพียงแค่ต้องพลิกเถาวัลย์ครั้งเดียว นอกเหนือจากนั้นก็ไม่ต้องสนใจมันอีก ยิ่งเป็ที่รกร้างก็ยิ่งมีผลเก็บเกี่ยวของมันเทศที่มากมาย
“เอ๋ บ้านเ้าคิดจะเลี้ยงหมูหรือ?” เฉินซื่อตกตะลึง เมื่อคิดว่าบุตรเขยต้องไปเล่าเรียนที่ตำบลทุกวัน จะให้พวกนางสามแม่ลูกทำนาก็คงไม่เหมาะสม
นางเป็หญิงชรา หากซื้อที่นาดีและรอค่าเช่าอย่างเดียวจะได้ไม่เหนื่อย นี่เป็ความคิดที่ไม่เลว
“ตกลง ถึงตอนนั้นแม่จะช่วยเ้าเอง!”
ความช่วยเหลือของเฉินซื่อ ไม่ได้หมายถึงไปช่วยครอบครัวหลิวเต้าเซียงเลี้ยงหมู แต่เป็การช่วยเด็ดใบมันเทศให้พวกนาง
งานนี้ไม่ได้เหน็ดเหนื่อยอะไร จางกุ้ยฮัวจึงเห็นดีเห็นงาม
“ท่านยาย เช่นนั้นท่านไปอาศัยกับเราเถิด เราทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกัน” หลิวเต้าเซียงไม่ใช่คนยุคโบราณจริงๆ สำหรับแม่หม้าย จึงไม่ได้มีความเห็นอะไร และไม่ใส่ใจเื่ความเชื่อที่ห้ามให้หญิงหม้ายเข้าบ้านอะไรเ่าั้ด้วย
นางไม่สนใจ แต่เฉินซื่อสน
ไม่ง่ายเลยกว่าที่บุตรสาวของนางจะมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม คนอย่างนางไม่ควรนำพาโชคร้ายไปสู่บ้านของบุตรสาว
“หลานรัก เ้ายังเด็กและรู้เื่มากมาย แต่ตอนนี้เ้ายังไม่เข้าใจ รอเ้าโตขึ้น เ้าจะรู้ว่าเหตุใดยายจึงไปอาศัยกับพวกเ้าไม่ได้ อีกอย่าง ข้าไปเช่าบ้านที่ตำบลก่อนชั่วคราว เมื่อมีเงินมากพอ ค่อยหาซื้อบ้านที่ตำบลจะดีกว่า”
บ้านในตำบลแบ่งเป็หลายระดับ ที่หลิวเต้าเซียงซื้อได้คือแบบที่แพงที่สุด แต่ก็มีแบบที่ถูกที่สุดไม่เกินสิบสองตำลึง ซึ่งก็คือบ้านซื่อเหอย่วนขนาดใหญ่ แต่เทียบไม่ได้กับบ้านชั้นเยี่ยมของนางหลังนั้น
“ท่านแม่ ท่านจะไปเช่าบ้านในตำบลจริงหรือ?” จางกุ้ยฮัวเองก็ไม่ยินยอม
“ไม่รีบร้อน รอข้าซื้อที่นาแล้วปล่อยเช่าออกไปให้ได้ก่อน รอจนใกล้จะปลูกมันเทศ ข้าค่อยย้ายออกไปก็ไม่สาย ถึงอย่างไรมันเทศก็ต้องรอจนเดือนสี่กว่าจะปลูกได้ นี่ยังอีกนาน ข้าจะค่อยๆ เก็บข้าวของในบ้านไว้ก่อน แล้วไปบอกกับหัวหน้าหมู่บ้านว่า ข้าจะขายบ้านพร้อมที่ดิน น่าจะมีคนในหมู่บ้าน้า ปีนี้มีหลายครอบครัวจะสู่ขอลูกสะใภ้ด้วย ไม่ต้องกังวลว่าจะขายไม่ออก ครั้งหน้าข้าจะเอาเงินให้เ้าไปด้วย หากครั้งหน้ามา เ้าก็ค่อยเอาโฉนดมาให้ข้า ”
ปรากฏว่าเฉินซื่อเองก็มีแผนในใจล่วงหน้าแล้ว
“ย่อมได้ กลับไปข้าจะบอกกับซานกุ้ย” จางกุ้ยฮัวอาศัยจังหวะที่หลิวเต้าเซียงจะเอ่ยปาก จึงรีบพูดขึ้นก่อน
นางกังวลเล็กน้อยที่บุตรสาวคนรองฉลาดและมีความสามารถมากเกินไป จึงกลัวมากว่าจะมีคนคิดไม่ซื่อ
หลิวเต้าเซียงไม่เข้าใจว่าเหตุใดแม่ผู้แสนดีของนางถึงพูดแบบนี้ แต่นางรู้ว่าแม่จะไม่ทำร้ายนางแน่นอน
ดังนั้นนางจึงเรียกคืนสิ่งที่อยากพูด
เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่สองคนพูดคุยธุระกันเสร็จสิ้น จึงร้องเรียกจะกินขนมเฉียวกั่วแผ่น
เนื่องจากยังมีงานมากมายที่บ้าน จางกุ้ยฮัวจึงไม่ได้อยู่นาน หลังจากทานอาหารเที่ยงเสร็จ ก็แบกแผ่นเฉียวกั่วที่ยังไม่ได้ทอดไว้หนึ่งห่อและเตรียมกลับบ้าน
“พวกเ้ารอสักครู่ ข้าจะไปดูว่าเหล่ากัวที่หมู่บ้านข้าอยู่หรือไม่ หากว่าอยู่ จะได้เอาเงินให้เขาไม่กี่อีแปะเพื่อส่งพวกเ้ากลับไป”
ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ?
หลิวเต้าเซียงรู้สึกหงุดหงิด เหตุใดนางซื่อบื้อเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ควรไปเหมาเกวียนวัวของเหล่าหวังสิ!
เหมารับส่งจ่ายเพิ่มไม่กี่อีแปะเป็พอ ช่างซื่อบื้อเหลือเกิน!
โอ้ ขาสั้นๆ ของนางจ๋า ก่อนหน้านี้เดินจนขาสั่นพั่บๆ!
ในที่สุดสองแม่ลูกก็นั่งเกวียนลาเพื่อเดินทางกลับหมู่บ้านสามสิบลี้
เื่นี้ไม่มีอะไรน่าปิดบัง ไม่นานนักเื่ที่จางกุ้ยฮัวและบุตรสาวนั่งล้อเกวียนกลับมาก็แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน
“เชอะ พวกใจดำอำมหิต มีเงินนิดหน่อยก็ทำเป็อวดดี ไม่หัดเอามาตอบแทนผู้หลักผู้ใหญ่”
เื่นี้มาถึงหูของหลิวฉีซื่อที่รักเงินดั่งชีวิต นาง้าแย่งชิงเงินของจางกุ้ยฮัวมาให้ได้จริงๆ เสียดายที่พลาดโอกาสไป ดันปล่อยจางกุ้ยฮัวตัวดีม้วนหางย้ายออกไปบ้านใหม่เสียได้
หลิวเสี่ยวหลันกระซิบปลอบโยนอยู่ด้านข้าง “ท่านแม่ อย่าร้อนใจไป ของของนางก็เป็ของพี่สามข้า พี่สามเชื่อฟังท่านแม่มาตลอด เดี๋ยวต้องบอกให้เขาเอาเงินเ่าั้มาตอบแทนให้ท่านแม่”
“บุตรชายของข้า ในอนาคตเมื่อเ้าร่ำรวย เ้าอย่าหัดทำเป็คนไร้น้ำใจเชียวนะ”
ครั้งก่อนหลิวฉีซื่อพลาดไป หลิวต้าฟู่จึงสั่งสอนไปอย่างหนัก ตอนนี้จึงทำตัวดีขึ้นมาบ้าง
เพียงแต่ว่าที่ทำตัวดีนั้นเป็เพียงการเสแสร้ง ไม่มีใครรู้
“ท่านแม่ หรือไม่เรากระจายข่าวเื่ที่พี่สะใภ้สามได้เงินหนึ่งร้อยตำลึงออกไปดีหรือไม่?”
หลิวเสี่ยวหลันไม่ได้ดั่งใจจึงคิดแผนการอีก นางตั้งใจว่าหากตนเองไม่ได้เงินก้อนนั้น จางกุ้ยฮัวก็อย่าหวังว่าจะได้อยู่อย่างสงบสุข
“ไม่ได้! เื่นี้ห้ามเด็ดขาด”
หลิวฉีซื่อยังคงคิดที่จะเขมือบเงินก้อนนี้ไว้เอง ย่อมไม่อาจปล่อยให้คนนอกจับทางได้ หากสามีภรรยาคู่นี้เป็อะไรไป เกรงว่าจะก่อเกิดเป็ความสงสัยให้แก่คนในหมู่บ้าน
“หลันเอ๋อร์ ในอนาคตเ้าจะแต่งเข้าไปในตระกูลที่ร่ำรวย ไม่ควรทิ้งร่องรอยที่ไม่ดีเอาไว้ เื่นี้แม่มีแผนจัดการเอง”
หลิวฉีซื่อวางแผนไว้ดิบดี คำพูดของบุตรสาวนั้นพูดได้ไม่ผิด ของของจางกุ้ยฮัวก็คือของของหลิวซานกุ้ย
จางกุ้ยฮัวไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อยังไม่ตัดใจ หลังอาหารค่ำ ทั้งครอบครัวกำลังล้อมวงกันนั่งอ่านตำราและฝึกคัดอักษร ส่วนนางกำลังเย็บรองเท้าผ้าให้หลิวซานกุ้ย เมื่อเย็บเข็มสุดท้ายเสร็จก็เห็นว่าน้ำมันในตะเกียงเผาไหม้ไปกว่าครึ่ง จึงเอ่ย “ดึกมากแล้ว รีบเก็บของแล้วเข้านอนกันเถิด”
หลิวซานกุ้ยวางตำราลง แล้วเอื้อมมือออกไปลูบเบ้าตา จนรู้สึกว่าดวงตาสบายขึ้นจึงลืมตาขึ้นมา
จางกุ้ยฮัวเห็นว่าเขาคงไม่อ่านต่อแล้ว จึงเล่าเื่ที่ไปพบมารดาในวันนี้ให้ฟัง
“แผนของท่านแม่ไม่เลวทีเดียว ข้าว่าน้องชายของเ้าไม่แน่ว่าอาจจะไม่ได้กลับมาที่ตำบลของเราด้วยซ้ำ ท่านแม่ย้ายมาที่ตำบลนับว่าเป็เื่ดี ใกล้กันแค่นี้หากเกิดเื่อะไร เราก็จะได้ไปทัน”
หลิวเต้าเซียงเตือนว่า “ท่านพ่อ วันรุ่งขึ้นข้าจะไปพบคุณชายซูในตำบลพอดี หรือไม่ข้าจะไปถามนายหน้าที่ตำบลดูก่อน ว่าพอจะมีที่ดินรกร้างกับที่นาดีติดกันหรือไม่ หากว่าอยู่ติดกัน เวลาท่านยายไปจัดการดูแลก็จะได้ประหยัดเวลา”
จางกุ้ยฮัวยิ้มและเอื้อมมือไปััศีรษะเล็กๆ ของนาง “บนโลกนี้จะมีเื่ดีมากมายเช่นนั้นที่ไหนกัน หากมีบ้านเราคงใช้โอกาสจนหมดแล้วล่ะ”
หลิวซานกุ้ยเองก็เล่าในสิ่งที่เขาทำในวันนี้ “ก็ไม่แน่นะ เราลองถามหลายๆ แห่ง วันนี้ข้าหาคนมาครบแล้ว วันรุ่งขึ้นจะขึ้นเขาไปหามไม้ คนที่ทำเครื่องไม้ก็หาได้แล้ว เป็ช่างไม้ของตระกูลกัว แล้วยังมีลูกศิษย์สามคน ล้วนเป็ลูกชายของเขาทั้งหมด บ้านเขามีฝีมือถ่ายทอดกันรุ่นสู่รุ่น”
ในราชวงศ์โจวนั้น ทะเบียนบ้านมีห้าลำดับชั้น ชั้นหนึ่งคือชนชั้นสูงศักดิ์ โดยทั่วไปจะเป็ตระกูลใหญ่โตร่ำรวย ชั้นสองคือชนชั้นขุนนางและชนชั้นทหาร โดยทั่วไปคือขุนนางราชสำนักและแม่ทัพ ชั้นสามเป็ชนชั้นดี เช่นเดียวกับครอบครัวของหลิวเต้าเซียง ชั้นที่สี่คือชนชั้นพ่อค้าและชนชั้นอุตสาหกรรม โดยทั่วไปคือการสืบทอดรุ่นสู่รุ่น ในราชวงศ์โจว ชนชั้นพ่อค้ากับชนชั้นอุตสาหกรรมไม่อาจเข้าร่วมการสอบได้ นอกเสียจากหลุดพ้นจากสองชนชั้นนี้ ส่วนชั้นที่ห้าคือ ชนชั้นทาส เป็ทาสที่ถือสัญญาผูกขาด ส่วนชั้นที่หกคือชนชั้นต่ำ นักแสดงงิ้วและโสเภณีต่างๆ
เช่นเดียวกับหลิวฉีซื่อและชุ่ยหลิว เพราะว่าบรรพบุรุษเดิมทีเป็ชนชั้นต่ำ แม้ว่าจะเข้าไปเป็ทาสในจวนตระกูลหวง แต่ทะเบียนบ้านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง ยังคงถูกจัดอยู่ในชนชั้นต่ำ
ดังนั้นชนชั้นต่ำจึงเป็ปมในใจของหลิวฉีซื่อมาโดยตลอด นางจึงคิดหาหนทางทุกอย่างเพื่อไขว่คว้าชนชั้นขุนนาง และมียศถาบรรดาศักดิ์
คืนนี้ทุกคนตื่นเต้นมากเมื่อคิดว่าในอีกไม่กี่วันครอบครัวจะสามารถใช้เครื่องไม้ใหม่ ซึ่งเป็เหตุการณ์ที่มีความสุขสำหรับครอบครัวของหลิวซานกุ้ย
วันรุ่งขึ้นหลิวเต้าเซียงคลานลงจากเตียงพร้อมกับขอบตาที่ดำเป็วง
จนปัญญา เมื่อคืนหลิวชิวเซียงได้ยินว่าตนเองกำลังจะมีเตียงสวยๆ และมีห้องนอนกับตู้เสื้อผ้าเป็ของตนเอง ก็สุขใจจนชวนหลิวเต้าเซียงคุยทั้งคืน เดี๋ยวก็พูดถึงจะทำมุ้งฤดูร้อน เหมือนพวกคุณหนูบ้านคนรวย และจะปักลายดอกไม้บนมุ้ง จากนั้นก็คิดว่าจะปักลายดอกอะไรดี และคิดว่าตนเองยังปักได้ไม่ประณีต ต้องรีบไปฝึกกับป้าหลี่ให้มาก ต่อมาก็บอกว่าจะจัดวางเครื่องไม้อย่างไรดี จะวางแคร่ไม้ไผ่ฤดูร้อนไว้ตรงไหน เวลาอากาศร้อน จะได้นั่งเล่นบนแคร่ไม้ไผ่ตัวกว้างเพื่อรับลมเย็นอะไรประมาณนั้น
หลังจากพูดคุยไปมากมาย หลิวเต้าเซียงจำได้เพียงแค่ว่าจะปักดอกไม้บนมุ้ง แล้วก็ต้องเตือนท่านพ่อว่าให้ทำแคร่ไม้ไผ่ให้มากหน่อย เพราะท่านพี่ของนาง้าวางไว้ห้องละตัว
หลังจากลุกขึ้น นางก็ล้างหน้าอย่างงุนงง แล้วเดินไปนั่งลงที่โต๊ะอาหารอย่างสะลึมสะลือ
เมื่อมองแวบหนึ่ง เหตุใดวันนี้ถึงมีเพียงโจ๊กขาวและผักดอง?
นางกัดตะเกียบและเบิ่งตาคู่ที่มีประกาย หืม แม่แอบี้เี!
จางกุ้ยฮัวเองก็ขอบตาดำทั้งสองข้าง เื่ทำเครื่องใช้ในบ้าน สำหรับนางแล้วเป็เื่ที่วาดหวังมาโดยตลอด เมื่อนึกถึงก็ดีใจ ปรากฏว่าพลิกไปมาก็ยังนอนไม่หลับ จวบจนฟ้าใกล้สว่างถึงผล็อยหลับไป
ผลลัพธ์ที่ได้คือ การนำข้าวที่เหลือจากเมื่อวานมาต้มโจ๊ก แล้วเอาผักดองที่เหลือจากเมื่อวานมาอุ่น
เมื่อเผชิญหน้ากับแววตาจับผิดของหลิวเต้าเซียง จางกุ้ยฮัวแอบลูบจมูกอย่างเก้อเขิน
“กินเร็วๆ เ้าจะเข้าตำบลไม่ใช่หรือ เกวียนวัวของลุงหวังไม่รอใครนะ แล้วก็ ไปซื้อเครื่องในหมูมาหลายชุดหน่อย อาศัย่ที่อากาศไม่ร้อนนัก แม่จะได้ทำไส้อั่วเค็ม ถึงตอนนั้นแค่วางไว้ในหม้อข้าวเพื่ออุ่นร้อนก็พอ”
หลิวเต้าเซียงเพิ่งนึกได้ว่าวันนี้มีภารกิจที่ตำบล จึงรีบตอบรับ จากนั้นก็คิดว่าซื้อแค่ไส้หมูคงไม่พอ “ท่านแม่ เราจะซื้อเนื้อด้วยหรือไม่?”
หลิวชิวเซียงพูด “ไม่จําเป็ ยังมีเนื้อมากกว่าครึ่งที่ซื้อเมื่อวานนี้ เนื้อสี่ชั่งคงพอกินได้สามวันแล้ว”
คนที่มาช่วยงานเห็นว่ากับข้าวมีเนื้อทุกวัน ผัดผักก็มีน้ำมันเต็มที่ จึงดีอกดีใจกันยกใหญ่
“ตกลง ถึงเวลาข้าจะดูอีกที หากว่ามีตับหมู ปอดหมูมากหน่อย ข้าก็จะซื้อกลับมาด้วย เดี๋ยวผัดตับหมูกับเนื้อ แล้วหั่นพริกดองที่ท่านแม่ทำไว้ปีก่อนเข้าไป คงน่าอร่อย”
“ตับหมูแพงเกินไป ซื้อปอดหมูเถิด ดูไปแล้วได้ปริมาณกว่าเยอะ แล้วใส่พริกดองมากหน่อย รสชาติดี คนที่มาช่วยงานต่างก็ชอบกิน”
จางกุ้ยฮัวดูแลบ้านมาโดยตลอด ย่อมรู้ว่าอาหารใดบ้างที่คนเหล่านี้ชื่นชอบ
หลิวเต้าเซียงไม่สนใจ นางไม่จําเป็ต้องกินปลาหรือเนื้อสัตว์ทุกวัน ขอเพียงมีน้ำมันที่กินแล้วไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายและมีสุขภาพดี “ตกลง ข้าจะซื้อแค่นี้ ออ ใช่แล้ว น้ำมันหมูในบ้านยังมีพอหรือไม่?”
“ใช่สิ ท่านแม่ น้ำมันหมูบ้านเราไม่พอแล้ว อย่างมากก็ทำได้แค่อาหารเที่ยงวันนี้” เมื่อวานหลิวชิวเซียงเป็ลูกมือให้ป้าหลี่ จึงรู้ว่าน้ำมันหมูเหลือไม่มากแล้ว
“ท่านแม่ เช่นนั้นก็ซื้อไขมันหมูมาเจียวน้ำมัน ถึงอย่างไรกากหมูก็อร่อยเช่นกัน”
-----
