ฤดูใบไม้ร่วง ทำให้ไม้แห้ง จึงทำให้จุดไฟติดง่าย พริบตาเดียว ไฟก็ลุกโชนขึ้นมา ชาวบ้านก็จะโยนฟืนเข้ากองไฟเป็ระยะ บางคนก็เอาเสื้อของตัวเองมาพัดให้ไฟลุกเร็วขึ้น ควันกลุ่มใหญ่ค่อยๆ ลอยเข้าไปในถ้ำ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ มีคนทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “เ้านั่นคงไม่ได้สำลักควันตายไปแล้วกระมัง?”
“หากสำลักควันตายไปจริง ก็ดีสิ พวกเราจะได้ไม่ต้องเปลืองแรง” คนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้นมา
ในตอนนี้เอง กลับได้ยินเสียงแปลกๆ ดังขึ้นมา เงาดำเงาหนึ่งวิ่งออกมาจากถ้ำอย่างรวดเร็วเหมือนเสือดาว ชาวบ้านรู้สึกใไปชั่วขณะ หานอี้รีบะโขึ้นว่า “อย่าแตกตื่น อย่าให้มันหนีไปได้”
เงาดำะโข้ามกองไฟ พุ่งตรงมาอย่างรวดเร็ว ชาวบ้านคนหนึ่งเห็นเงาดำกำลังพุ่งมาที่ตัวเขา ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงถูกชนเข้าอย่างแรง “โอ๊ย” ยังดีที่ชาวบ้านมีการเตรียมการเอาไว้แล้วอย่างดี ยกไม้ขึ้นมาแล้วตีไปที่เงาดำอย่างแรง
ไม้ตีโดนหัวไหล่ของเงาดำนั้น เงาดำก็ไม่ได้ร้องแต่อย่างใด แต่มองซ้ายทีขวาที เหมือนกำลังจะหาทางฝ่าวงล้อมออกไป แต่คนล้อมมันเอาไว้หมดแล้ว ไม้หลายอันถูกตัวของเงาดำ หยางหนิงยืนอยู่ด้านหลังมองเห็นชัดเจน ทั่วร่างของเขาเต็มไปด้วยขนสีดำ แต่มันไม่ได้เงางามแต่อย่างใดมันเป็ขนที่ดูหยาบยิ่งนัก ก็เหมือนที่ชายชราผู้นั้นที่พูดเอาไว้ว่า สัตว์ป่าตัวนี้มันยืนด้วยสองขา
ไม้สิบกว่าอันทุบลงไปที่มัน เ้าเงาดำเห็นไม่มีทางออก ก็นอนกองลงไปกับพื้น ยอมให้ทุกคนทุบตี ไม่หลบไม่สู้แต่อย่างใด
เมื่อเห็นชาวบ้านกำลังจะทุบที่หัวของมัน หยางหนิงก็รีบะโขึ้นมาว่า “หยุดเดี๋ยวนี้!”
เสียงของเขาจู่ๆ ก็ดังมา ทำให้ทุกคนใ แล้วหันมองไปที่เขา หยางหนิงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า “อย่าตีอีกเลย เขามิใช่สัตว์ป่า พวกเ้ายังมองไม่ออกอีกรึ?”
หลังจากที่เ้าเงาดำออกมา ทั้งตัวของเขาเป็ขนสีดำ มันเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว หลบซ้ายทีขาวที ชาวบ้านรู้สึกตื่นกลัว กลัวว่ามันจะหนีไปได้อีก จึงคิดจะฆ่ามันทิ้งเสีย โดยไม่สนใจว่ามันจะเป็ตัวอะไร ตีให้ตายก่อนค่อยว่ากัน แต่ในตอนนี้ ได้ยินหยางหนิงพูดแบบนี้แล้ว หานอี้ก็หันไปมองดีๆ จากนั้นก็ดึงไม้จากชาวบ้านมาหนึ่งอัน แล้วเดินเข้าไปดู
“เขาเป็คน” หยางหนิงถอนหายใจ “หากพวกเ้าตีเขาจนตาย พวกเ้าก็จะต้องติดคุก”
ทุกคนต่างใ เห็นเงาดำตัวสั่นไปทั้งตัว ทุกคนเริ่มดูออก แล้วพูดว่า “บนตัวเขาไม่ใช่ขน แต่เป็... เป็เสื้อคลุม”
ตอนนี้หานอี้เห็นชัดแล้ว ด้านนอกนั้นเป็เสื้อคลุม คิดว่าน่าจะเป็เสื้อคลุมของบ้านเศรษฐี
เสื้อคลุมก็มีแบ่งเป็สี่ฤดูกาล ฤดูร้อนก็ใช้เสื้อคลุมบางๆ จะได้เย็นๆ ส่วนฤดูหนาวก็จะใช้เป็เสื้อคลุมใหญ่และหนาเพื่อให้อบอุ่น หากการเงินดีก็จะเอาขนสัตว์มาทำเป็เสื้อคลุม อย่างขนหมีหรือขนเสือก็เป็ที่นิยมของพวกชนชั้นสูง เสื้อคลุมของเ้าเงาดำเป็เสื้อคลุมใหญ่ และทำจากหนังสัตว์
คบเพลิงหลายต่อหลายอันจ่อรวมกัน ตอนนี้พวกเขาเห็นกันชัดแล้ว เป็คนที่อยู่ภายใต้เสื้อขนสัตว์ตัวนี้ เขาตัวสั่นไปทั้งตัว ก้มหน้าไม่กล้าสบตากับผู้ใด ผมของเขากลมกลืนไปกับเสื้อขนสัตว์ ในตอนกลางคืนแบบนี้แยกได้ยากยิ่งนัก ไม่แปลกที่จะถูกเข้าใจผิดว่าเป็ปีศาจูเา
หยางหนิงคิดว่าตัวเขาจะได้เห็นปีศาจหายากบนเขาเสียอีก ไม่คิดว่าจะเป็คนที่สวมเสื้อคลุมขนสัตว์เช่นนี้ จึงรู้สึกผิดหวังนัก แต่ในใจกลับสงสัยว่า เสื้อขนสัตว์ตัวนี้ราคาไม่ถูกเลย ไม่น่าจะใช่ของคนขอทานจนๆ จะได้มีได้ใช้ได้ แม้แต่ในชานเมือง บ้านเศรษฐีตระกูลใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีเสื้อขนสัตว์ราคาแพงเช่นนี้ได้
แต่ว่าคนผู้นี้กลับมีของที่ไม่น่าจะมีอยู่ในที่เช่นนี้ได้ ตามหลักแล้วก็น่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา ถึงจะไม่ใช่ขุนนางตระกูลใหญ่ ก็น่าจะเป็คนที่มีอันจะกิน แต่คนคนนี้กลับมาหลบอยู่บนเขาเหมือนกับสัตว์ป่า แล้วแอบขโมยไก่ของชาวบ้านมาเป็อาหารด้วย ซึ่งมันประหลาดยิ่งนัก
หยางหนิงเดินเข้าไป แล้วโค้งตัวลง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เ้าไม่ต้องกลัว ข้าอยู่ที่นี่ ไม่มีใครทำร้ายเ้าได้”
คนที่กำลังตัวสั่น เมื่อได้ยินเสียงของหยางหนิง ก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา ท่ามกลางแสงสว่างของเปลวไฟ มีคนเห็นหน้าของเขาชัด ก็ร้องออกมาด้วยความใ
ไม่เพียงแค่ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ เท่านั้น หยางหนิงเห็นหน้าคนผู้นั้น ก็ยังใเช่นกัน
เขาผมเผ้าดูยุ่งเหยิง หนวดเครารกรุงรัง สีหน้าสกปรกโสมม ใบหน้าด้านขวามีแผลขรุขระเต็มไปหมด เหมือนถูกไฟครอกมา แผลของเขานั้นดูเหวอะหวะ ทำให้ทั่วทั้งใบหน้านั้นน่ากลัวยิ่งนัก
แต่สายตาของเขายังคงชัดเจน ดวงตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เห็นหยางหนิงยืนอยู่ด้านหน้า คนผู้นั้นก็ส่งสายตาอันไม่เป็มิตรออกมา จากนั้นก็ทำเสียงขู่ออกมาด้วยความหวาดกลัว
“ข้ารู้ว่าเ้ากลัว แต่ว่าคนที่นี่จะไม่ทำร้ายเ้า” คนผู้นี้ถึงหน้าตาจะน่าเกลียด แต่ก็น่าสงสาร หยางหนิงพูดด้วยความอ่อนโยน “เ้าหิวใช่หรือไม่? บ้านของเ้าอยู่ไหนรึ?”
ระหว่างที่เขาพูด ก็เดินเข้าไปสองก้าว เหมือนจะไม่มีอะไร แต่ก็ต้องระวังตัวให้มาก เห็นความเร็วของคนผู้นี้เมื่อครู่ คิดว่าก็น่าจะไม่ธรรมดา น่าจะมีวิชาอยู่บ้าง หยางหนิงเห็นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่เป็มิตร ก็กลัวว่าเขาจะพุ่งเข้าใส่
“หิว... หิว...!” คนผู้นั้นพูดออกมาแต่ไม่รู้เื่สักเท่าไหร่ “ของกิน... หิว... ของกิน...!”
หยางหนิงเห็นคนผู้นี้พูดจาไม่ค่อยรู้เื่ แล้วก็พูดซ้ำอยู่อย่างนั้น ในใจก็ยิ่งแปลกใจ จากนั้นก็ถามว่า “เ้าไม่ต้องรีบร้อน เ้าตอบคำถามข้ามาก่อน เดี๋ยวข้าจะหาของมาให้เ้ากิน เ้าบอกข้ามา ว่าเ้าเป็ใคร? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
คนผู้นั้นเห็นหยางหนิงอ่อนโยน เหมือนจะไม่ได้คิดร้ายกับตน สายตาก็ค่อยๆ ลดความเป็ศัตรูลง แต่ยังคงมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง เห็นหยางหนิงเข้ามาใกล้ ก็หดตัวลงโดยไม่รู้ตัว ในใจก็ยังคงพูดคำเดิมว่า “หิว....ของกิน...หิว...!”
หานอี้เดินเข้ามาข้างๆ หยางหนิง แล้วพูดเบาๆ ว่า “น้องชาย คนผู้นี้...เหมือนเขาจะไม่ปกตินะ เขาเหมือน...ไม่เข้าใจที่เ้าพูด”
“ท่านว่าเขาน่าจะอายุเท่าไหร่?” จริงๆ หยางหนิงก็ดูออกว่าเขาไม่ปกติ ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างคนทั่วไป คนคนนี้ห่อหุ้มตัวเองด้วยเสื้อขนสัตว์สีดำ เปิดหน้า หนวดเครารกรุงรัง ดูผิวเผินก็เหมือนขอทาน
หานอี้มองแล้วส่ายหัวพูดขึ้นว่า “ข้าก็ดูไม่ออก แต่ว่าสามสิบสี่สิบปีก็น่าจะได้อยู่”
“ก็น่าจะเป็คนเร่ร่อนที่ตกยากมา” หยางหนิงพูดว่า “เขาไปขโมยไก่ในหมู่บ้าน ก็น่าจะเป็เพราะเขาหิว”
หานอี้พูดเสียงเบาว่า “เสื้อบนตัวของเขาทำมาจากหนังสัตว์ เหมือนจะเป็...เป็หนังหมี เขาขโมยมาหรือไม่?”
“เสื้อคลุมขนหมี ราคาสูงมากในตลาด ไม่ใช่ของราคาถูกๆ ต่อให้มีเงินในมือ ก็ใช่ว่าจะหาซื้อกันได้ง่ายๆ” หยางหนิงมองไปที่คนที่อยู่รอบๆ “อย่าว่าแต่คนทั่วไปเลย ต่อให้เป็ตระกูลใหญ่ ก็ไม่แน่ใจว่าจะมีเสื้อคลุมเช่นนี้ บ้านใครมีเสื้อเช่นนี้ ถือเป็ของล้ำค่าที่จะเก็บรักษาไว้เป็อย่างดี จะให้ใครมาขโมยง่ายๆ เช่นนี้ได้อย่างไร?”
หานอี้พยักหน้า เห็นหยางหนิงพูดจามีเหตุผล จากนั้นก็พูดเบาๆ ว่า “น้องชายหมายความว่า เ้าของเสื้อคลุมตัวนี้คือเ้านี่หรือ? แต่หากเป็อย่างที่เ้าว่า เสื้อคลุมตัวนี้มีค่ามาก คนธรรมดาไม่อาจมีไว้ใช้ได้ แล้วเหตุใด...เหตุใดเขาถึงได้มีเสื้อคลุมเช่นนี้ได้เล่า? เขาเป็ใครกันแน่?”
“ข้าเองก็ไม่รู้” หยางหนิงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เราคงไม่มีทางรู้ได้ในเวลาชั่วครู่ชั่วยามแน่ๆ” คิดๆ ดูแล้ว ก็พูดต่ออีกว่า “เอาอย่างนี้ เราพาเขาลงเขาไปก่อน ไม่ว่าอย่างไร ก็จะให้เขาอยู่บนเขาเช่นนี้ไม่ได้ จากนั้นพวกท่านค่อยไปแจ้งทางการ ให้ทางการมาตรวจสอบประวัติเขาดู หากเจอญาติของเขา ความเสียหายของหมู่บ้าน ก็น่าจะได้รับการชดใช้”
ในใจของเขาสงสัยว่าคนผู้นี้จะเป็คนในตระกูลใหญ่ที่หายตัวมาหรือไม่ เพราะว่าสติไม่ดี จึงเดินเร่ร่อนไปทั่ว หากเป็เช่นนั้นจริง ญาติของพวกเขาก็จะต้องมีการแจ้งทางการเอาไว้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเมื่อทางการได้รับการแจ้งไปว่าเจอตัวคน ก็น่าจะรีบตามหาบ้านแล้วส่งคืน
หานอี้กับชาวบ้านคิดว่าเป็สัตว์ป่ามาขโมยไก่ในหมู่บ้านมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็คนเสียได้ ก็ไม่มีทางทำให้คนผู้นี้ลำบาก ตอนนี้พวกเขาก็เลยทำตามที่หยางหนิงบอก
“ตอนนี้พวกเราไปหาของกินกันนะ” หยางหนิงยิ้มแล้วพูดกับคนผู้นั้น “เ้าจะไปหาของกินกับข้าหรือไม่? หิวแล้ว ก็ต้องไปหาอะไรกิน ข้ามีของกินนะ”
คนผู้นั้นมองหยางหนิง แต่ไม่พูดอะไร
หยางหนิงยิ้มแล้วหันหลังเดินไป เห็นคนผู้นั้นลุกขึ้นมา แล้วเดินตามหยางหนิงไป แล้วพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า “ของกิน...ของกิน...หิว...!”
หานอี้ยังคิดอยู่เลยว่าจะพาคนผู้นี้กลับหมู่บ้านได้อย่างไร คิดไม่ถึงเลยว่าหยางหนิงพูดแค่ไม่กี่คำก็สามารถพาเ้าอัปลักษณ์ตัวนี้ให้ตามเขาไปได้อย่างง่ายดาย เห็นหยางหนิงเดินนำลงเขา ชายอัปลักษณ์ก็ตามเขาเหมือนกลัวว่าหยางหนิงจะหายไป เดินตามไม่ห่าง แล้วก็พูดประโยคเดิมๆ ซ้ำๆ ชาวบ้านต่างมองหน้ากัน รู้สึกว่าเื่ที่เกิดขึ้นในคืนนี้มันแปลกยิ่งนัก แต่ก็ไม่ให้เสียเวลา จากนั้นก็ดับกองไฟ เพื่อไม่ให้มันลุกลามไปกลายเป็ไฟไหม้ป่า จากนั้นก็ลงเขาตามๆ กันไป
หยางหนิงหันมามองเป็ระยะ เห็นคนผู้นั้นลากเสื้อคลุมลากพื้นตลอดเวลาที่เดิน สองเท้าโผล่ออกมา เท้าของเขาไม่ได้สวมรองเท้า เขาเดินเท้าเปล่า บนเท้ามีรอยเปื้อนมากมาย ในใจก็แอบคิดว่าคนผู้นี้ต้องลำบากมาไม่น้อย
หยางหนิงเดินหน้าสุด ชายอัปลักษณ์เดินตามหลัง แต่ก็ยังคงเว้นระยะห่างเอาไว้อยู่ หานอี้เองก็เดินนำชาวบ้านอยู่ด้านหลังอีกที
เมื่อเข้าหมู่บ้านมา กู้ชิงฮั่นกับชายชราในหมู่บ้านก็ยืนรออยู่แล้ว เมื่อเห็นหยางหนิง ก็รีบเดินเข้าไปรับ ก้มหน้าพูดด้วยความโกรธว่า “เ้าเด็กคนนี้ คิดไว้แล้วเชียวออกจากบ้านมาจะต้องดื้อเช่นนี้ คำพูดของข้าเดี๋ยวนี้ไม่ฟังแล้วใช่หรือไม่? ใครบอกให้เ้าไป?” ถึงแม้คำพูดของนางจะเป็การตำหนิแต่มันแฝงไปด้วยความห่วงใย
หยางหนิงยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นกู้ชิงฮั่นใขึ้นมา มองไปที่ชายอัปลักษณ์ด้านหลังของหยางหนิง เมื่อเห็นหน้าตาอันอัปลักษณ์ของชายผู้นั้น แต่งกายก็ประหลาด กู้ชิงฮั่นก็ขมวดคิ้ว แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “นั่น...นั่นใครกันรึ?”
“มีสัตว์ประหลาด ทุกคนหนีเร็ว...!” หญิงคนหนึ่งเห็นชายอัปลักษณ์ ก็หวาดกลัวยิ่งนัก กรีดร้องออกมาอย่างแรง ชายชราและเด็กน้อยต่างตกอกใ หยางหนิงกลัวชาวบ้านจะแตกตื่น ก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องกลัว เขาไม่ใช่สัตว์ประหลาด เขาเป็คนตกยาก ทุกคนอย่าแตกตื่นไปเลย”