การที่คนที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิบคนนั้นยังไปไม่ถึงขั้นที่เก้าสิบ ทำให้คนมากมายที่มองอยู่จากเชิงเขารู้สึกสิ้นหวัง ท่าทางของพวกเขาแสดงถึงความหวาดกลัว ความกังวล ความตึงเครียด และความกรุ่นโกรธที่อยู่ภายในใจ
ทันใดนั้นผู้คนที่อยู่ตรงเชิงเขาก็ส่งเสียงวุ่นวาย
“พวกเขามันไม่ได้เื่!”
“คนพวกนั้นกล้าปกปิดตัวตนด้วยหมอก และบอกว่าตัวเองมั่นใจว่าถ้าขุนพลเทพอสูรกำเนิดขึ้น พวกเขาจะสังหารขุนพลเทพอสูรเอง แต่ตอนนี้กลับไม่เห็นทำอะไรสักอย่าง ช่างน่าตลกเสียจริง ข้าเอียนจะตายแล้ว ตัวเองไปไม่ถึงขั้นที่เก้าสิบด้วยซ้ำยังจะทำวางท่าอยู่ได้”
“เหล่าอัจฉริยะทั้งหลาย สู้ๆ!”
“ไม่ใช่ว่าพวกเ้าเคยดูถูก ‘ผู้มีัอยู่ในเป้า’ หรือ ไม่ใช่ว่าพวกเ้าเคยบอกว่าจะแสดงฝีมือหรือ ไม่ใช่ว่าพวกเ้าเคยบอกว่าการขึ้นเขาแห่งคุกอนธการเป็เื่ง่ายหรือ รีบขึ้นไปสิ พวกเขาจะคอยให้กำลังใจพวกเ้า”
“ถ้าพวกเ้ามีความสามารถจริงก็รีบขึ้นไปสิ”
เสียงะโมากมายดังขึ้น
บางประโยคก็กล่าวดี แต่บางประโยคก็เป็คำด่า
บางคนท่าทางดูหยาบคายอยู่แล้ว แต่คำพูดที่เปล่งออกมากลับหยาบคายยิ่งกว่า
อารมณ์กรุ่นโกรธเ่าั้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว
ตอนแรกกลุ่มคนที่ด่าเป็เพียงกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น แต่ตอนนี้คนอื่นๆ ที่ได้ยินพวกเขาด่าต่างก็เริ่มหมดหวังขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มร่วมด่ากลุ่มคนที่กำลังก้าวขึ้นบันไดไปด้วยเช่นกัน
หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะประหลาดใจเมื่อเขาเห็นสถานการณ์เช่นนั้น
“หากเ้าปรากฏตัวขึ้นตอนนี้ คนพวกนั้นคงจะสนใจเ้ามากแน่ๆ” ผีเสื้อแห่งรักพูดกับหลัวเลี่ย
เย่เิหลงกล่าวเสริมว่า “ไม่ใช่แค่สนใจ แต่คนพวกนั้นยังสาปแช่งเฟ้ยเชียนอยู่ และพวกเขาเชื่อว่าเ้าตายไปแล้ว พวกเขาอุตส่าห์รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์ที่เ้าทำเป็เสียสละ แต่ความหวังที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปก็ดูเลือนรางอีกครั้ง หากเ้าปรากฏกายขึ้นต่อหน้าพวกเขา พวกเขาคงจะเป็บ้าไปเลยแน่ๆ”
หลัวเลี่ยมองเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างเฉยเมย
แม้ว่าเขาจะไม่อยากให้คนมากมายต้องเสียชีวิต แต่เมื่อเขานึกย้อนกลับไปในยามที่เขาตกอยู่ในอันตราย คนพวกนั้นกลับไม่ช่วยเหลือเขาเลยสักนิด ดังนั้นเขาจึงยังไม่รีบร้อนออกไปปรากฏตัว แต่เลือกที่จะยืนดูสถานการณ์อยู่ห่างๆ แทน
โดยเฉพาะกลุ่มคนอัจฉริยะที่อวดดีซึ่งปกปิดตัวตนด้วยหมอกอยู่นั้น หลัวเลี่ยกำลังดูว่าพวกเขาจะฝ่าไปได้หรือไม่
อันที่จริงในหมู่ชายเหล่านี้มีอัจฉริยะที่แท้จริงซ่อนอยู่
ในกลุ่มอัจฉริยะที่ถูกกล่าวว่าพันปีจะถือกำเนิดขึ้นนั้น มีคนสองคนที่สามารถฝ่าขึ้นไปบนยอดเขาแห่งคุกอนธการได้สูงที่สุด คนหนึ่งไปถึงขั้นที่แปดสิบเก้า และอีกคนไปถึงขั้นที่แปดสิบแปด คนที่ไปถึงขั้นที่แปดสิบแปดนั้นแทบจะไม่สามารถก้าวขาขึ้นไปถึงขั้นที่แปดสิบเก้าได้แม้แต่ข้างเดียว และในกลุ่มคนที่ร่วมฝ่าไปพร้อมกันนั้น ยังมีคนที่สามารถไปถึงขั้นที่แปดสิบเจ็ดได้อีกสามคน แสดงให้เห็นว่าพวกเขาล้วนมีพลังที่ไม่ธรรมดา แต่น่าเสียดายที่สำหรับหลัวเลี่ยแล้ว พวกเขายังนับว่าอ่อนแอจนเขาไม่อยากจะต่อสู้ด้วย
“ทุกท่าน ข้ามีสมบัติที่อาจช่วยทำให้พวกเราไปถึงยอดเขาได้”
ซ่านเหวินห้าวจากตระกูลซ่านแห่งอาณาจักรโจวพูดขึ้น
พวกอัจฉริยะที่กำลังพยายามก้าวขาขึ้นบันไดต่อไปต่างตกตะลึง และหันมามองทางซ่านเหวินห้าวทีละคน
ซ่านเหวินห้าวที่ตอนนี้ยืนอยู่บนบันไดขั้นที่แปดสิบหกหยิบเชือกที่เปล่งแสงออกมาเส้นหนึ่งอย่างนุ่มนวล
“เชือกผสานใจ!”
คนที่รู้จักเชือกล้ำค่านี้ต่างโพล่งชื่อของมันออกมา
“ใช่แล้ว มันคือเชือกผสานใจ” ซ่านเหวินห้าวพูด “ข้าคิดว่าทุกท่านคงจะพอทราบอยู่แล้วว่า เวทมนตร์ของเชือกผสานใจนี้้าเพียงให้คนที่ถือมันอยู่ร่วมแรงร่วมใจกันเพื่อเป้าหมายเดียวกัน และข้าเชื่อว่ามันจะทำให้พวกเราสามารถขึ้นไปถึงยอดเขาแห่งคุกอนธการได้”
เหวินหงต๋าแห่งอาณาจักรโจวกล่าวว่า “พี่ซ่านพูดถูก หากพวกเรารวมใจเป็หนึ่งและรวมพลังกัน พวกเราก็อาจไปถึงยอดเขาแห่งคุกอนธการได้”
มีอีกหลายคนที่เห็นด้วย
ซ่านเหวินห้าวกล่าวว่า “เชือกผสานใจนี้สามารถใช้ร่วมกันได้เพียงสี่คนเท่านั้น ไม่ทราบว่าทั้งสามท่านเต็มใจร่วมเดินทางกับข้าหรือไม่”
สามคนที่เขากล่าวถึงเป็สามอัจฉริยะที่มีที่มาลึกลับซึ่งกำลังปิดบังตัวตนอยู่ในหมอก ยืนอยู่ในขั้นที่แปดสิบเจ็ด
“ขออภัยด้วย แต่ข้าไม่ชอบร่วมมือกับผู้อื่น” คนที่อยู่ทางด้านซ้ายของขั้นที่แปดสิบเจ็ดพูดขึ้น
ส่วนคนทางขวาก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “เชือกผสานใจจำเป็ต้องร่วมใจกันเป็หนึ่ง แต่ข้าชินกับการท่องยุทธภพเพียงคนเดียวแล้ว จึงเข้ากับคนอื่นไม่เก่ง”
และชายที่อยู่ตรงกลางพูดว่า “ข้าพึ่งพาตัวเองเท่านั้น!”
คนทั้งสามปฏิเสธ
เชือกผสานใจมีกฎหนึ่งข้อที่สำคัญมาก กฎข้อนั้นก็คือ มันจำเป็ต้องใช้ความเชื่อใจกันอย่างแท้จริง ความเชื่อใจซึ่งกันและกันนั้นอาจดูเหมือนง่าย แต่ว่าคนเราจะเชื่อใจคนแปลกหน้าได้อย่างหมดจดเชียวหรือ
ซ่านเหวินห้าวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเลือกคนอื่นต่อไป
ครั้งนี้เขามุ่งเป้าไปที่อัจฉริยะลึกลับหลายคนที่อยู่บนขั้นที่แปดสิบหกเช่นเดียวกันกับเขา
แต่คนเหล่านี้ก็ปฏิเสธเช่นกัน
สถานการณ์ที่คนปฏิเสธการร่วมมือกันเช่นนี้ ทำให้ผู้คนมากมายที่อยู่บริเวณเชิงเขาแห่งคุกอนธการเริ่มออกปากด่าว่าอีกครั้ง และประโยคที่พวกเขาพูดออกมาก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าคนที่ปฏิเสธเหล่านี้ช่างโหดร้ายและเห็นแก่ตัว
แต่คนมากมายที่กำลังด่าพวกเขาอยู่นั้นก็ไม่เคยคิดหาหนทางที่จะช่วยพวกเขา และยังไม่ได้ขึ้นมาฝ่าฟันแรงกดดันบนบันไดร่วมกับพวกเขาอีกด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่เื่เกินจริงเลยที่จะบอกว่า กลุ่มคนที่อยู่บริเวณเชิงเขานั้นช่างเืเย็น เพราะคนกลุ่มนั้นเอาแต่ด่าคนอื่น
หลัวเลี่ยที่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเมื่อเห็นเช่นนี้
หลังจากที่ซ่านเหวินห้าวเจรจาอยู่นาน ในที่สุดเขาก็ได้คนมาร่วมมือด้วยแล้ว ทั้งสามคนที่เหลือนั้นได้แก่ เหวินหงต๋า เติ้งจื่อเฉิน และซูฟั่งจู๋
เหตุการณ์นี้ทำให้หลัวเลี่ยอดไม่ได้ที่จะมองเติ้งจื่อเฉินและซูฟั่งจู๋ใหม่อีกครั้ง
ทั้งสองคนเป็คนที่มั่นใจในตัวเองอย่างมาก และเนื่องจากอาจารย์ของพวกเขาไม่ค่อยลงรอยกันเท่าไรนัก จึงทำให้พวกเขาทะเลาะกันทุกครั้งเมื่อได้พบกัน แต่ในเวลานี้พวกเขากลับร่วมมือกันเพื่องานใหญ่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเขาจิตใจดีกว่าคนที่เคยปฏิเสธการใช้เชือกผสานใจพวกนั้น
สิ่งที่พวกเขาต้องทำเมื่อได้เข้ามาถือเชือกผสานใจคือต้องเชื่อใจซึ่งกันและกัน ต้องปล่อยกาย ปล่อยใจ และให้ความร่วมมือกันอย่างเต็มที่
พวกเขาทั้งสี่ลองผิดลองถูกเป็เวลาทั้งหมดหนึ่งชั่วยามครึ่ง ในเวลานั้นเชือกผสานใจแทบจะไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองออกมา บางครั้งก็เกิดปัญหาติดขัดซึ่งทำให้พวกเขาไม่เชื่อใจซึ่งกันและกัน
หลังจากผ่านไปสองชั่วยามครึ่ง คนทั้งสี่ก็เริ่มจับทางได้
พวกเขาก้าวขึ้นบันไดไปพร้อมกัน
ในบรรดาคนทั้งสี่ ซ่านเหวินห้าวคือคนที่แข็งแกร่งที่สุด โดยเขาอยู่บนบันไดขั้นที่แปดสิบหก รองลงมาคือเหวินหงต๋า อยู่ขั้นที่แปดสิบห้า และสุดท้ายคือเติ้งจื่อเฉินและซูฟั่งจู๋ที่มีพลังวรยุทธ์ต่ำกว่าเล็กน้อย พวกเขาทั้งสองอยู่ที่ขั้นแปดสิบสี่ ไม่ใช่ว่าพวกเขาอ่อนแอ แต่เป็เพราะพวกเขายังมีพลังวรยุทธ์ไม่ถึงจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนระดับที่สิบ ดังนั้นจึงเกิดเป็ช่องว่างทางระดับพลัง หากพวกเขามีพลังวรยุทธ์เท่ากันกับซ่านเหวินห้าวและเหวินหงต๋า คาดว่าพวกเขาคงจะสามารถขึ้นไปได้ถึงขั้นที่แปดสิบแปดหรือแปดสิบเก้า
ดังนั้นเมื่อพวกเขาทั้งสี่ร่วมมือกัน จึงเกิดเป็พลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก
ทันใดนั้นเชือกผสานใจก็แสดงพลังของตัวเองออกมา มันเปล่งแสงจางๆ แสดงให้เห็นถึงพลังลึกลับที่เกิดจากการร่วมมือกันของบุคคลทั้งสี่
พวกเขาทั้งสี่คนเริ่มก้าวขึ้นไป
และเพียงพริบตาพวกเขาก็ไปถึงขั้นที่เก้าสิบแล้ว
เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนมากมายที่จ้องมองอยู่จากตีนเขาส่งเสียงให้กำลังใจ
มีเพียงอัจฉริยะผู้ปิดบังตัวตนที่อยู่ตามขั้นบันไดต่างๆ เท่านั้นที่มีท่าทีเรียบนิ่ง บางคนถึงขั้นหัวเราะและกระซิบว่า “ขั้นที่เก้าสิบห้าถือเป็กำแพงสูงใหญ่ พวกเขาต้องก้าวขึ้นไปไม่ได้แน่ๆ”
มีคนเห็นด้วยกับคำพูดนี้ไม่น้อย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนที่เห็นด้วยเหล่านี้ล้วนรู้ความลับของขั้นบันไดหยก เพราะสุดท้ายขั้นที่เก้าสิบห้าขึ้นไปนั้นจะน่ากลัว และมีความยากเป็พิเศษยิ่งกว่าขั้นที่ผ่านๆ มาหลายเท่า และส่วนมากก็จะมีเพียงศิษย์ที่มาจากสำนักประลองเท่านั้นที่จะรู้เื่นี้
ซ่านเหวินห้าวและอีกสามคนร่วมใจกันเพื่อก้าวขึ้นบันไดขั้นต่อไป
ขั้นที่เก้าสิบเอ็ด!
ขั้นที่เก้าสิบสอง!
ขั้นที่เก้าสิบสาม!
เมื่อพวกเขามาถึงขั้นที่เก้าสิบสาม การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็ค่อยๆ ช้าลง นอกจากนี้การร่วมใจกันของพวกเขาทั้งสี่ก็ไม่ค่อยสอดคล้องกันเล็กน้อย ทำให้แสงที่เปล่งออกมาจากเชือกผสานใจเกือบจะจางลง เมื่อเห็นเช่นนั้นซ่านเหวินห้าวก็รีบเตือนพวกเขาให้ยืนบนขั้นที่เก้าสิบสามต่อไปอย่างมั่นคง
พวกเขาทั้งสี่คนลุ้นจนแทบจะกลั้นหายใจ
“ไปต่อ!”
ตอนนี้พวกเขาดูเหมือนจะเข้าใจกันมากขึ้นแล้ว พวกเขาพูดขึ้นพร้อมกัน และก้าวไปข้างหน้าอีกครั้ง
พรึ่บ!
ขั้นที่เก้าสิบสี่!
ทันทีที่ทั้งสี่คนขึ้นมาบนขั้นที่เก้าสิบสี่ พวกเขาก็ทรงตัวไม่อยู่จนร่างกายโอนเอนอีกครั้ง แต่ทั้งหมดก็รีบบังคับตัวเองให้ทรงตัวให้ได้เพื่อกลับมายืนตรงดั่งเดิม ทว่าร่างกายของพวกเขาที่กำลังอดกลั้นอย่างเต็มกำลังกลับสั่นสะท้าน ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่สามารถทนต่อแรงกดดันที่มองไม่เห็นในขั้นนี้ได้
ทั้งสี่คนต่างก็เป็คนที่แข็งแกร่ง และพวกเขาจะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ดังนั้นทั้งหมดจึงมีความกดดันมาก เพราะหากพวกเขาไม่ร่วมแรงร่วมใจและเชื่อใจกัน เชือกผสานใจก็จะไม่แสดงพลังของตัวเองออกมา
ขั้นที่เก้าสิบห้า!
พวกเขาก้าวขึ้นไปบนบันไดได้อีกครั้ง โดยครั้งนี้ทั้งเติ้งจื่อเฉินและซูฟั่งจู๋ที่พลังยังไปไม่ถึงจุดสูงสุดของผู้ฝึกตนก็อาเจียนออกมาเป็เื และแทบจะทรงตัวไม่ได้
แสงที่เปล่งออกมาจากเชือกผสานใจกะพริบเล็กน้อย จากนั้นมันก็ดับลงอย่างสมบูรณ์
เมื่อเชือกผสานใจสูญเสียพลังที่ใช้พยุงพวกเขาให้สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในตอนแรกไปแล้ว พวกเขาทั้งสี่ก็ได้รับแรงกดดันที่มองไม่เห็นเต็มรูปแบบ จนทำให้พวกเขาร่วงหล่นลงมาจากขั้นที่เก้าสิบห้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้