ตอนเย็นซย่านีลงมือทำอาหารหลายอย่าง จานแรกคือไก่ผัดซินเจียงแบบรสชาติไม่เผ็ด จานที่สองคือไข่ผัดต้นทูนจีน จานต่อมาคือกวางตุ้งผัดกุ้งแห้งและจานสุดท้ายคือมันเส้นผัดเปรี้ยวเผ็ด ซย่านีมีฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว อาหารแต่ละจานเต็มไปด้วยสีสันน่ากินและกลิ่นหอมกรุ่นทำให้คนรออยากอาหารยิ่งนัก
“ทำไมเธอถึงทำอาหารเยอะขนาดนี้?” เซี่ยงเหมยถาม “พวกเรามีกันแค่สามคนเองรวมกับพวกเด็กๆ ก็แค่สองคนเท่านั้น หากกินไม่หมดจะไม่สิ้นเปลืองแย่หรือ?”
ซย่านีตอบ “จะต้องกินหมดกันแน่ๆ อาหารแค่สี่จานเอง ฉันปรุงอาหารแต่ละจานในปริมาณไม่ได้เยอะมากนัก ยกเว้นแค่ไก่ตัวนี้นี่แหละ”
เรียกได้ว่าไก่ผัดซินเจียงจานนี้เป็อาหารที่เซี่ยงเหมยชอบเลยก็ว่าได้ ถึงขั้นที่เธอขอสูตรอาหารจากซย่านีเสียด้วยซ้ำ “ไก่จานนี้ปรุงยังไงหรือ? มันอร่อยมากเลย”
ซย่านีเรียนวิธีการทำอาหารจานนี้มาจากพี่สาวที่เปิดห้องอาหารส่วนตัวเมื่อครั้งยังมีชีวิตอยู่ในชาติที่แล้ว ไก่ผัดซินเจียงจานนี้มีสีเหลืองทอง เนื้อไก่นุ่มละลายในปาก อีกทั้งรสชาติยังไม่เผ็ดโดด มีรสเค็มผสมเล็กน้อยสามารถให้เด็กและผู้สูงอายุทานได้ ซย่านีบอกสูตรการทำอาหารจากนี้ให้แก่เซี่ยงเหมยอย่างกระตือรือร้น เซี่ยงเหมยเองก็ฟังไปพร้อมกับพยักหน้าตาม
“เมนูทำไม่ยากเลย แต่ค่อนข้างใช้วัตถุดิบมากหน่อยเท่านั้น”
ซย่านีกล่าว “ใช่แล้ว อาหารอร่อยก็ต้องมีส่วนผสมเยอะหน่อย”
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จ เซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งก็ไม่ได้รั้งอยู่ที่บ้านของซย่านีต่อ เมื่อกินเสร็จทั้งสองคนก็จะกลับบ้านทันที
เซี่ยงเหมยกล่าว “ฉันต้องรีบกลับไปทำยางรัดผมก่อนนะ ตอนนี้เพิ่งหกโมงครึ่ง ถ้าทำถึงเที่ยงคืนน่าจะยังทำได้สักสี่ห้าร้อยชิ้น”
ซย่านีส่งเซี่ยงเหมยกับเฝิงหย่งที่หน้าประตูบ้านพลางกล่าวว่า “เช่นนั้นฉันก็จะรีบกลับไปทำยางรัดผมเหมือนกัน พี่สะใภ้พรุ่งนี้พี่ยังจะออกไปขายยางรัดผมอีกไหมคะ?”
เซี่ยงเหมยตอบ “ฉันไม่ไปแล้ว ฉันว่าจะอยู่ทำยางรัดผมที่บ้าน ฉันอยากทำเพิ่มให้มากขึ้นอีกหน่อยกลัวว่าเดี๋ยวจะไม่พอขายทีหลัง”
ซย่านีพยักหน้า “ได้ค่ะๆ พี่เฝิงหย่ง พรุ่งนี้พี่จะออกเดินทางกี่โมง? ฉันจะได้เอายางรัดผมที่ทำเสร็จแล้วไปให้พี่ที่บ้าน”
เฝิงหย่งตอบ “พรุ่งนี้พวกเธอน่าจะทำสินค้ากันได้ไม่มากนัก ดังนั้นฉันเลยวางแผนไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปขายของที่เมืองหลางที่อยู่ใกล้ๆ นี้ ฉันไปดูเที่ยวรถที่จะไปเมืองหลวงมาแล้ว รอบเช้าสุดคือตอนหกโมงยี่สิบเพราะงั้นฉันน่าจะออกเดินทางจากบ้านประมาณตีห้าครึ่ง แล้วน่าจะมาถึงบ้านของเธอประมาณตีห้าสี่สิบห้า”
ซย่านีกล่าวกับเฝิงหย่ง “ตกลงค่ะ งั้นฉันจะเอาสินค้ามารอพี่ที่หน้าประตูบ้านตอนตีห้าสี่สิบห้านะ...พี่เฝิงหย่ง พี่สะใภ้เซี่ยงเหมย เดินทางดีๆ นะคะ!”
หลังจากโบกมือลาคนทั้งสองแล้ว ซย่านีก็หันหลังกลับไปอุ้มซิงซิงเข้าบ้านทันที เธอตบหลังซิงซิงที่อยู่ในอ้อมแขนพลางกล่าวว่า “ลูกรัก ลูกจะนอนตอนไหนกันหนอ ถ้าหนูหลับแล้วแม่จะได้ตั้งใจทำงานสักที”
แต่ซิงซิงเป็เด็กร่าเริงมาก เขามีตารางชีวิตของตัวเองแน่นอน ปกติแล้วพอถึงเวลาสองทุ่ม เขาก็ถึงจะยอมนอนหลับไป
หลังจากซย่านีกล่อมซิงซิงอยู่พักหนึ่ง ซ่งวั่งซูก็เดินเข้ามาหาเธอ “แม่คะ ให้หนูช่วยดูแลน้องดีกว่า แม่จะได้ทำงาน”
ซย่านีถามลูกสาว “ลูกทำการบ้านเสร็จแล้วหรือ?”
“เสร็จแล้วค่ะ” ซ่งวั่งซูจับฝ่ามือของซิงซิงเพื่อเล่นกับเขาทำให้ซิงซิงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากขึ้นมา
ซย่านีถามอีกครั้ง “แล้วน้องชายของลูกเล่า? ลูกไม่เล่นเป็เพื่อนน้องชายหรือ?”
ซ่งวั่งซูแฉซ่งตงซวี่โดยไม่สนความรักฉันท์พี่น้อง “วันนี้ถึงตาเขาสอนภาษาจีนแม่ เขากำลังเตรียมตัวอยู่ในห้องค่ะ เขาอยากสอนบทกวีให้แม่แต่เขายังท่องไม่ได้ก็เลยกลัวว่าแม่จะหัวเราะเขาล่ะมั้ง”
ซย่านีพยักหน้าอย่างพอใจแต่สายตาฉายแววขบขัน “บทกวีหรือ ดีจริงๆ แม่ยังไม่เคยเรียนบทกวีเลย”
ดูเหมือนว่าความคิดที่จะให้เด็กๆ มาเป็คุณครูตัวน้อยให้เธอนั้น เริ่มเห็นผลขึ้นมาบ้างแล้วแต่ก่อนตอนซ่งตงซวี่อยู่บ้านเขาเคยเริ่มอ่านหนังสือเองสักครั้งบ้างไหม? แค่เขาทำการบ้านเสร็จก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
เมื่อมีลูกสาวมาช่วยดูแลซิงซิง ซย่านีก็ไปทำงานได้อย่างสบายใจ ก่อนหน้านี้เซี่ยงเหมยได้ตัดผ้าไว้เป็ชั้นๆ ให้เธอแล้ว ทำให้ซย่านีสามารถหยิบมาใช้ได้อย่างสะดวก ภายใต้ระยะเวลาที่จำกัดเธอจะต้องทำยางรัดผมออกมาให้ได้มากที่สุด
ตอนนี้เป็เวลาเกือบจะสองทุ่ม ซย่านีคาดว่าซิงซิงน่าจะใกล้เข้านอนแล้ว เธอจึงหยุดงานในมือลงก่อนแล้วไปชงนมให้ซิงซิงตัวน้อย หลังจากป้อนนมให้ซิงซิงเรียบร้อย เธอก็กอดลูกชายของตนแล้วเริ่มกล่อมให้เขานอน
ท่ามกลางความมืด ซย่านีหาวหวอดอย่างง่วงนอน
“แม่ แม่ครับ?”
จู่ๆ ซย่านีก็ได้ยินเสียงของซ่งตงซวี่
“มีอะไรหรือ?” ซย่านีถามเสียงเบา เธอก้มหน้ามองซิงซิงที่อยู่ในอ้อมแขน ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะหลับแล้ว ซย่านีลองเขย่าตัวเขาดูแต่ซิงซิงก็ไม่ตื่น เด็กน้อยยังคงหลับสนิท ซย่านีจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ซย่านีเดินนำซ่งตงซวี่มายังห้องปีกตะวันตก แล้วเอ่ยถามลูกชาย “คุณครูตัวน้อยพร้อมแล้วหรือ? ไหนว่ามาสิ วันนี้จะสอนอะไรแม่บ้าง?”
คืนนี้ซย่านีทำงานจนถึงตีหนึ่ง เมื่อรวมยางรัดผมสองร้อยกว่าชิ้นที่ทำเสร็จเมื่อตอนกลางวันแล้ว ตอนนี้ก็มียางรัดผมทั้งหมดหกร้อยกว่าชิ้นแล้ว เธอทำต่อไม่ไหวก็เลยตัดสินใจเข้านอน ก่อนนอนเธอก็ไม่ลืมตั้งนาฬิกาปลุกตนเองไว้ด้วย
ประมาณตีห้าครึ่ง ซย่านีก็ลุกจากเตียงขึ้นมาแต่งตัว เธอเอายางรัดผมทั้งหมดใส่ลงถุงกระสอบ จากนั้นก็รอให้เฝิงหย่งมาที่บ้าน ทันทีที่ได้ยินเสียงเคาะประตู เธอก็เดินออกไปเปิดประตูพร้อมถือถุงกระสอบที่บรรจุยางรัดผมไปด้วย
“ในนี้มีอยู่หกร้อยกว่าเส้นนะคะ” ซย่านีบอกเฝิงหย่ง
เฝิงหย่งยกนิ้วให้ซย่านีพลางกล่าวว่า “เธอกับเซี่ยงเหมยนี่ก็นะ เพื่อเงินแล้วแม้แต่ชีวิตพวกเธอก็ไม่้าสินะ”
ซย่านียิ้มอย่างเก้อเขิน “นอนดึกบ้างเป็ครั้งคราวก็ไม่เป็ไรหรอกค่ะ...แล้วพี่สะใภ้เซี่ยงเหมยทำถึงกี่โมงหรือ?”
เฝิงหย่งตอบ “เธอทำจนถึงตีสองนู้น! ตอนแรกฉันก็อยู่เป็เพื่อนเธอนี่แหละ แต่ต่อมาฉันก็ทนไม่ไหวเลยหลับไปก่อน พอตื่นเช้ามาเธอก็บอกฉันว่าเมื่อคืนเธอทำยางรัดผมได้ห้าร้อยกว่าชิ้นเชียว!” เฝิงหย่งส่ายหน้า เขายิ้มอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า “เอาล่ะ ไม่พูดกับเธอแล้ว ฉันยังต้องรีบไปขึ้นรถอีก ไปล่ะ”
หลังจากเฝิงหย่งจากไปแล้ว ซย่านีก็กลับไปงีบต่อสักพัก จากนั้นเธอก็ตื่นขึ้นมาป้อนนมซิงซิงแล้วทำอาหารให้ลูกชายกับลูกสาวคนโตกิน
พอเด็กทั้งสองไปโรงเรียนแล้ว ซย่านีก็ไม่ได้อยู่บ้านเฉยๆ เธออุ้มซิงซิงไว้ในอ้อมแขนและเดินทางออกไปข้างนอก
จุดหมายปลายทางของเธอวันนี้ก็คือที่ทำการไปรษณีย์ เธอว่าจะไปโทรหาน้องสาวที่บ้านเกิดเสียหน่อย
ที่ทำการไปรษณีย์เปิดตอนแปดโมงเช้า ตอนที่ซย่านีมาถึงก็มีคนต่อแถวรออยู่ที่หน้าประตูแล้ว คนเหล่านี้ต่างก็มารอโทรศัพท์ทางไกลกันทั้งนั้น
ใน่ต้นทศวรรษ 1980 ต่อให้เป็ในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งก็ยังไม่มีโทรศัพท์แพร่หลายมากนัก คนปกติทำได้เพียงเดินทางไปยังที่ทำการไปรษณีย์เพื่อโทรศัพท์ทางไกลเท่านั้น อีกทั้งโทรศัพท์ทางไกลก็ยังไม่เหมือนในศตวรรษที่ 21 ที่คุณอยากโทรหาใครก็แค่จำเบอร์โทรของคนๆ นั้นก็ได้แล้ว แต่ในยุคนี้การจะโทรศัพท์แต่ละครั้งจำเป็ต้องโทรหาพนักงานเพื่อต่อสายโทรศัพท์ก่อน หลังจากนั้นก็พนักงานที่โต๊ะก็จะโอนสายโทรศัพท์ของคุณไปยังบุคคลที่คุณ้า นอกจากนี้ การโทรศัพท์คุยกันยังไม่เป็ส่วนตัวอีกด้วย เพราะตลอดการโทรนั้นทางพนักงานต่อสายโทรศัพท์จะได้ยินหมดว่าพวกคุณกำลังคุยอะไรกันบ้าง
ซย่านีต่อแถวอยู่ด้านหลังสุด เธอยื่นคอมองไปด้านหน้าแล้วนับจำนวนคน ก็พบว่าข้างหน้ามีคนต่อแถวอยู่ประมาณสิบกว่าคน
“ไม่ต้องนับหรอกจ้ะ ถ้ารวมฉันด้วยข้างหน้าคุณก็มีทั้งหมดสิบหกคน”
คนที่ต่อแถวอยู่ตรงหน้าซย่านีเป็สหายหญิงดูอ่อนเยาว์คนหนึ่ง เธอสวมเครื่องแบบพลเรือนสีเขียว[1] ผมสั้นเท่าติ่งหู ดูเป็หญิงสาวเรียบร้อย พอเธอเห็นว่าซย่านีอุ้มลูกอยู่ก็เลยเอ่ยเตือนอย่างใจดี
ซย่านีกล่าวอย่างใ “สิบหกคนเชียวหรือ คนมาเข้าแถวกันั้แ่กี่โมงคะเนี่ย?”
สหายหญิงตอบซย่านี “เช้าที่สุด ก็สักประมาณเจ็ดโมงครึ่งก็มีคนมารออยู่ที่นี่แล้ว คุณยังไม่ถือว่ามาสายหรอก หากวันนี้คุณมาที่นี่หลังแปดโมงครึ่งไปแล้วล่ะก็ อย่าหวังเลยว่า่เช้าคุณจะได้คุยโทรศัพท์”
[1] เครื่องแบบพลเรือน 绿军装 คือ เครื่องแบบมาตรฐานกองทัพซึ่งชาวจีนใน่ทศวรรษ 1960 และ 1970 รวมถึงคนงาน ชาวนา ครู ผู้ปฏิบัติงานและยุวปัญญาชนจำนวนมากมักสวมชุดกองทัพเพราะถือว่าเป็ชุดที่ทันสมัย เนื่องจากใน่การปฏิรูปและเปิดประเทศจีนใหม่ๆ ชุดทหารสีเขียวเป็ที่นิยมมาก
