การแข่งขันจัดอันดับผ่านไปแล้วแต่ควันหลงของการแข่งยังอยู่ บรรดาศิษย์นอกต่างพูดถึงเื่นี้ให้ว่อนการแข่งขันครั้งนี้ทำให้ในใจของศิษย์ธรรมดาทั้งหลายเกิดความรู้สึกเดียวกัน
พวกเขาล้วนคาดหวังว่าวันหนึ่งตัวเองจะสามารถแตกฉานวิชาเช่นเดียวกับเสวียนเทียน พลังวัตรพัฒนาพุ่งพรวด เอาชนะทุกด่านคว้าอันดับหนึ่งของการแข่งขันจัดอันดับ
ดังนั้น หลังการแข่งขันจัดอันดับจบลงสำนักนอกของสำนักกระบี่์ยังคงคึกคักเป็ที่สุดไม่เลิกราเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังอึงคะนึง
หลังการแข่งขันจบลงศิษย์ชั้นหัวแถวไม่น้อยทยอยกันมาแสดงความยินดีชักชวนเสวียนเทียนให้ออกไปเก็บประสบการณ์ล่าสังหารสัตว์อสูรด้วยกัน ศิษย์ชั้นสูงพลังวัตรขั้นเจ็ดแปด เก้า ยิ่งคิดอยากจะเข้าเป็พรรคพวกของเสวียนเทียน ติดตามเสวียนเทียนให้เสวียนเทียนเป็ที่พึ่งของพวกเขา แต่ใกล้สิ้นปีในใจเสวียนเทียนรีบร้อนจะกลับบ้าน ไม่สนใจสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย ปฏิเสธทุกคนแล้วกลับไปยังห้องพักพร้อมกับหวงสือและหลินตง
หลินตงกับหวงสือคุยโม้ด้วยความดีใจอยู่พักหนึ่งหลินตงก็กลับไปยังที่พักของตน ในห้องเหลือเพียงเสวียนเทียนกับหวงสือสองคนเท่านั้น
หวงสือถามขึ้น “พี่เทียน พี่จะกลับไปอำเภอเป่ยโม่เมื่อไร?”
เสวียนเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตอบว่า “คงเร็วที่สุดพรุ่งนี้พี่จะไปหอวิชายุทธ์สักรอบ หลังจากนั้นก็ไปตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าซื้อโอสถทิพย์รักษาอาการาเ็นิดหน่อย วันมะรืนก็จะกลับอำเภอเป่ยโม่ใช้เวลาไม่กี่วันก็ถึงบ้านแล้ว”
เพลงกระบี่ดับเงานั้นเสวียนเทียนบรรลุหกกระบวนท่าพื้นฐานจนชำนาญแล้วแต่กระบวนท่าที่เจ็ดดับเทวะกลับยังไม่มีเงื่อนงำเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เขามีสิทธ์เข้าหอวิชายุทธ์ได้อีกครั้งจึงเตรียมจะไปอ่านอีกสักครั้งอาจจะบรรลุอะไรบ้าง
อีกอย่าง แม้ว่ากระบวนท่าทั้งหกเสวียนเทียนจะใช้ได้แล้วแต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ ต่อให้ไม่สามารถบรรลุกระบวนท่าที่เจ็ดได้บรรลุกระบวนท่าทั้งหกให้ลึกซึ้งขึ้นอีกนิด ความสามารถก็ย่อมเพิ่มขึ้นมาก
เพลงกระบี่ดับเงาเป็ไพ่ตายที่แข็งแกร่งที่สุดของเสวียนเทียนเป็เพลงกระบี่ชั้นนิลร้ายกาจเพลงหนึ่ง เพียงพอใช้ต่อกรกับยอดฝีมือชั้นเบิกนภา
วันต่อมา เมื่อถึงเวลาเปิดหอวิชายุทธ์เสวียนเทียนก็มายังหอวิชายุทธ์ ก่อนอื่นเขาไปดูวิชาตัวเบาชั้นทองขั้นสูงวิชาหนึ่งก่อนก้าวย่างันั่นเอง
ตอนนี้เสวียนเทียนมีเวลาเหลือพอฝึกวิทยายุทธ์ชนิดอื่นก้าวย่างัเป็ขั้นกว่าของวิชาก้าวย่างอสรพิษ นอกจากจุดที่ลึกซึ้งบางจุดแล้วโดยทั่วไปแล้วเหมือนกัน เหมาะที่เสวียนเทียนจะฝึกฝน
เมื่ออ่านวิชาก้าวย่างัจดจำไว้ในสมองส่วนลึกได้แล้วต่อมาเสวียนเทียนก็มาถึงที่เก็บคัมภีร์เพลงกระบี่ดับเงา เขาหยิบขึ้นมาอ่าน
เสวียนเทียนมีเพลงกระบี่ ‘ถลาลมเก้ากระบี่’ และ ‘เพลงหมัดกระทิงดุ’ เป็วิชาติดตัวผสานกับพลังภายใน เมื่อใช้ออกมาแข็งแกร่งทรงพลังไม่เป็รองวิชาหมัดชั้นทองขั้นสูงเลย
เมื่อจำวิชาก้าวย่างัได้แล้วเสวียนเทียนก็ปล่อยวางเื่ทุกอย่าง ดำดิ่งเข้าไปในห้วงภาวะจิตของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ เข้าไปทำความเข้าใจ ัักับความลึกล้ำของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’
เวลานี้เสวียนเทียนเป็ศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักนอกสำนักกระบี่์แล้วเป็คนดังที่สุดไม่มีใครไม่รู้จัก ไม่มีใครไม่เคยได้ยินข่าวที่ว่าเสวียนเทียนฝึกฝน ‘ปราณเบิกนภา’ ก็แพร่กระจายจากหนึ่งไปสิบจากสิบไปร้อยแล้ว
ครั้งนี้ เมื่อเสวียนเทียนมาอ่าน ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ศิษย์รอบด้านไม่มีใครสักคนยิ้มหยันอีกแล้ว มีแค่เพียงแสดงความประหลาดใจตกตะลึงและนับถือ
ครั้งก่อนที่อ่าน ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ เสวียนเทียนมึนงง อ่านไม่รู้เื่สักนิดบังเอิญเหมือนจะรู้สึกได้ถึงภาพของกระบี่เล่มหนึ่งมาจากนอกขอบฟ้าแล้วลับไปจากนอกขอบฟ้าทว่าภาพปรากฏขึ้นมาชั่วครู่ก็หายไป จับไว้ไม่ได้ ไม่ทันได้เข้าใจ
ครั้งนี้มาอ่าน สถานภาพไม่เหมือนเดิมแล้วเสวียนเทียนบรรลุภาวะจิตของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ เข้าใจแล้วกว่าครึ่งนอกจากกระบวนท่าที่เจ็ดที่ไร้เงื่อนงำ หกกระบวนท่าสามารถใช้ออกมาได้ตลอดเวลาแต่ละท่าล้วนเป็ท่าพิฆาตสังหารได้ในคราเดียว
ดังนั้นเมื่อมาอ่านครั้งนี้ความรู้สึกจึงแตกต่างไปจากเดิมมาก คัมภีร์ที่อยู่ตรงหน้าเสวียนเทียนในสายตาของเขาราวกับกลายเป็โลกใบหนึ่ง สิ่งทั้งหมดรอบด้านล้วนสลายหายไปตรงหน้าเสวียนเทียนมีเพียงเงาร่างของคนผู้หนึ่ง ในมือมีแสงกระบี่กวัดไกวใช้เพลงกระบี่ที่เร็วเหนือสิ่งอื่นใดออกมา
หกกระบวนท่าแรกของเสวียนเทียนที่ยังขาดหลายสิ่งหลายอย่างไปค่อยๆ ต่อเติมจนสมบูรณ์ในสมองของเขา เขาบรรลุ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ สูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งแล้ว
จนถึงครั้งนี้ เสวียนเทียนถึงเพิ่งค้นพบว่าที่แท้คัมภีร์เพลงกระบี่ดับเงายังมีขอบขั้นเช่นนี้อยู่ด้วย? ต้องใช้สติปัญญาที่สูงส่งเกินธรรมดาถึงจะเข้าใจได้อย่างแท้จริงไม่เช่นนั้นต่อให้พร์สูงส่งเพียงไร เมื่อมองกระบวนท่าธรรมดาในคัมภีร์เล่มนี้ก็ไม่มีวันเรียนแก่นของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ได้
ทั้งตัวและหัวใจของเสวียนเทียนค่อยๆ จมดิ่งเข้าไปในโลกของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ราวกับว่าเขายืนอยู่ที่โลกว่างเปล่าขาวโพลนแห่งหนึ่ง รอบด้านไม่มีสิ่งใดมีเพียงเงาคนผู้หนึ่งตรงหน้า ใช้เพลงกระบี่แสนรวดเร็วอยู่ แต่ละกระบี่ราวกับสายฟ้าแลบเร็วจนไร้เงา หนึ่งการโจมตีสังหาร แต่ละท่าถึงชีวิต
ตึงๆๆๆ...!
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าค่อนข้างหนักดังรัวมาจากบันไดขึ้นชั้นสองเพราะดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบสงบของหอวิชายุทธ์จึงกังวานเป็พิเศษ ศิษย์นอกที่อยู่ชั้นหนึ่งนอกจากเสวียนเทียนอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาไปมองที่บันได
ชั้นสองเป็ที่เก็บคัมภีร์ชั้นนิล มีแค่ผู้ที่มีฐานะศิษย์ในขึ้นไปของสำนักถึงจะมีคุณสมบัติเข้าไปได้สำหรับศิษย์นอกแล้ว ต่อให้เป็อันดับหนึ่งของศิษย์นอกศักดิ์ศรีก็ยังมีหน้ามีตาไม่เท่ากับฐานะศิษย์ใน
ศิษย์ในทุกคนเป็ยอดฝีมือที่พลังวัตรก้าวสู่ชั้นเบิกนภาก่อนอายุยี่สิบปีเป็กำลังหลักของสำนัก สำนักกระบี่์มีศิษย์นอกห้าหกพันคนส่วนศิษย์ในแค่หนึ่งในสิบก็ยังไม่ถึง มีเพียงสามสี่ร้อยคน แต่ความสามารถโดยรวมแล้วสำนักในเหนือกว่าสำนักนอกสิบเท่า
ยอดฝีมือชั้นเบิกนภาสำหรับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นผู้ฝึกยุทธ์แล้วเป็บุคคลที่แทบจะใช้หนึ่งต้านร้อยหรือแม้กระทั้งใช้หนึ่งต้านพันได้ความสามารถต่างชั้นกันโดยสิ้นเชิง พรรคเล็กๆ ในยุทธภพขนาดร้อยคนขอเพียงไม่มียอดฝีมือชั้นเบิกนภาเป็คนคุมศิษย์ในคนหนึ่งก็สามารถทำให้ชื่อของพรรคเล็กพรรคหนึ่งหายไปจากยุทธภพได้
ผู้ที่ลงมาจากชั้นสองมีสองคน หนึ่งชายหนึ่งหญิงอายุราวสิบห้าสิบหกปี
ผู้ชายอายุราวสิบห้า หน้าตามีเค้าสง่างามแต่ดวงตาคมกริบ ดวงตาทั้งคู่ค่อนข้างทะมึน ทำให้คนมองแล้วไม่รู้สึกถึงความงามมีเพียงความแหลมคม
ผู้หญิงอายุราวสิบหกปี ใส่ชุดสีขาวผิวขาวราวกับหยก ใบหน้างดงาม โดยเฉพาะทรวงอกใหญ่โตทั้งสองลูกโดดเด่นสะดุดตาเป็อย่างมากทำให้คนเห็นแล้วอดมองไปทางทรวงอกอิ่มขาวทั้งสองนั้นไม่ได้
ชายหญิงคู่นี้ไม่ใช่ใครอื่นฝ่ายชายคือฉู่เฟิงศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักในฝ่ายหญิงคือไป๋หลิงศิษย์ผู้โดดเด่นของสำนักใน เสวียนเทียนพบกับทั้งสองพร้อมกับหลิงซิงเยว่และเติ้งเฟยครั้งหนึ่งในเขตลึกของเทือกเขาเร้นลม
ฉู่เฟิงเป็ศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักในไป๋หลิงเป็หนึ่งในสาวงามแห่งสำนักกระบี่์ทั้งคู่ต่างก็เป็บุคคลที่ชื่อเสียงโด่งดังศิษย์ชั้นสูงของสำนักนอกไม่น้อยโดยส่วนใหญ่ก็รู้จักทั้งสองคน
“ศิษย์พี่ฉู่เฟิง ศิษย์พี่ไป๋หลิง...!”
“ศิษย์พี่ฉู่เฟิงศิษย์พี่ไป๋หลิง...!”
.........
.........
เมื่อฉู่เฟิงกับไป๋หลิงลงมาศิษย์นอกที่หอวิชายุทธ์ชั้นหนึ่งก็หลบไปสองฟากเปิดทางให้ทั้งสองคนเส้นทางทอดต่อยาวจนมาหยุดที่เสวียนเทียน
เสวียนเทียนอ่าน ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ กำลังถึงจุดสำคัญ เขาเหมือนจมลงไปข้างในดวงตาจับจ้องอยู่ที่คัมภีร์ตรงหน้า จริงๆ เขาดำดิ่งลงไปในโลกภายในจิตใจแล้วภาพหรือเสียงทั้งหมดตรงหน้า เสวียนเทียนล้วนแต่ไม่รับรู้ทั้งสิ้น
ในตาของเขาเหลือเพียงเงาร่างที่กำลังแสดง ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ตรงหน้า ทุกรอบที่เฝ้ามอง เสวียนเทียนก็เข้าใจ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ลึกซึ้งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
ฉู่เฟิงกับไป๋หลิงมองข้ามศิษย์นอกทุกคนเดินตรงเข้ามาหาเสวียนเทียน
ศิษย์นอกทั้งหมดแหวกออกสองข้างมีเพียงเสวียนเทียนที่ไม่ขยับ ดูไปแล้วราวกับเสวียนเทียนขวางด้านหน้าทางเดินไว้พอดี
“ศิษย์พี่หวง ศิษย์พี่หวง....”ศิษย์ชั้นสูงคนหนึ่งด้านข้าง เรียกขึ้นมาเบาๆ สองครั้ง
เสวียนเทียนไม่ได้ยิน ยังคงจับจ้องอ่านคัมภีร์วิชายุทธ์ในมือราวกับสติดำดิ่งลงไป
ศิษย์ด้านข้างคิดจะเรียกอีกที ฉู่เฟิงกับไป๋หลิงก็เดินมาถึงตรงหน้าเสวียนเทียนแล้ว
ฉู่เฟิงมองเสวียนเทียน ดวงตามีความโกรธแล่นผ่านศิษย์นอกทั้งชั้นหนึ่งล้วนแต่ยำเกรงเขาถ้วนหน้ามีแต่เสวียนเทียนคนเดียวกลับทำไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาต่อหน้าผู้คนมากมาย
ขนาดไป๋หลิงที่อยู่ด้านข้างยังขมวดคิ้วตำหนิในใจว่าเสวียนเทียนทำตัวไม่สมควร
เื่นี้ทั้งสองเข้าใจเสวียนเทียนผิดความจริงแล้วเสวียนเทียนจดจ่อเกินไป ไม่ทันรู้สึกว่าสองคนมาถึงไม่อย่างนั้นเขาที่เป็ศิษย์นอก เมื่อเห็นศิษย์ในย่อมไม่ทำเป็มองไม่เห็นเช่นนี้
“ศิษย์น้องหวงเ้าอ่านได้จดจ่อยิ่ง” เมื่อเห็นเสวียนเทียนที่อยู่ตรงหน้ายังไม่มีทีท่าตอบสนองไป๋หลิงจึงเปิดปากขึ้นมาก่อน
เงาร่างตรงหน้าของเสวียนเทียนแสดงกระบวนท่าทั้งหกจนไม่อาจนับรอบได้ทันใดนั้นกระบวนท่ากระบี่ก็เปลี่ยน กระบวนท่าที่ใช้ออกมากลายเป็กระบวนท่ากระบี่บางอย่างที่ลึกล้ำยากเข้าใจจิตใจของเสวียนเทียนพลันตื่นตะลึงขึ้นมา
นี่เป็ไปได้อย่างยิ่งที่จะเป็กระบวนท่าที่เจ็ดของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ สมาธิของเสวียนเทียนยิ่งจดจ่อกับคัมภีร์ คำพูดที่ไป๋หลิงพูดตรงหน้าเสวียนเทียนไม่ได้ยิน
“ฮึ!”
ใบหน้าของฉู่เฟิงทะมึนลงส่งเสียงแค่นจมูกด้วยความโมโห พูดเสียงเย็นขึ้นมาว่า “ศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักนอกคนเก่งข้ากับศิษย์น้องไป๋หลิง เ้าล้วนไม่เห็นในสายตาแล้ว ขาดคนสั่งสอนสินะ”
ระหว่างที่พูด มือของฉู่เฟิงก็ราวกับสายฟ้ามือซ้ายพุ่งกรงเล็บออกไป คว้าคัมภีร์ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ในมือของเสวียนเทียน มือขวากางฝ่ามือ ฟาดไปข้างหน้าฟาดตรงเข้าที่หน้าอกของเสวียนเทียน
ฉู่เฟิงพูดว่าจะลงมือก็ลงมือไม่มีชักช้าแม้สักนิด ขนาดในหอวิชายุทธ์ที่ห้ามแม้กระทั่งพูดเสียงดังฉู่เฟิงก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย
ฐานะระหว่างศิษย์นอกกับศิษย์ในก็เหมือนกับฟ้ากับดิน
สำนักก็เหมือนกับกองทหารกองหนึ่งศิษย์ธรรมดาเป็ทหารเข้าใหม่ ศิษย์นอกชั้นสูงเป็ทหารเก่า ส่วนศิษย์ในเป็หัวหน้า
ความขัดแย้งระหว่างทหารเมื่อเกิดขึ้น เบื้องบนของหน่วยต้องเข้ามาจัดการแต่ความขัดแย้งระหว่างนายทหารกับหัวหน้าทหารเมื่อเกิดขึ้นเก็บทหารตัวกระจ้อยคนหนึ่ง เก็บได้ก็คือเก็บนอกเสียจากว่านายทหารกระจอกคนนั้นจะมีคนหนุนที่ใหญ่กว่า มีเื้ั ไม่อย่างนั้นอย่าได้คิดว่าหน่วยจะออกหน้าให้
ฉู่เฟิงเป็ศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักในบิดาเป็ผู้าุโสำนักในคนหนึ่งของสำนักกระบี่์พลังวัตรเป็รองเพียงเ้าสำนัก พูดถึงฐานะ พูดถึงคนหนุนหลัง พูดถึงเื้ัฉู่เฟิงชนะเสวียนเทียนทั้งสิ้น เสวียนเทียนเป็เพียงศิษย์นอกคนหนึ่งที่สำนักนอกรับเข้ามาเท่านั้นในสำนักกระบี่์ไม่มีคนหนุนหลัง หรือเื้ัแม้สักนิด
สำหรับฉู่เฟิงแล้ว ต่อให้ระหว่างศิษย์ด้วยกันเองห้ามลงไม้ลงมือโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหอวิชายุทธ์ที่เป็สถานที่พิเศษ การต่อสู้ยิ่งห้ามเด็ดขาดแต่ตัวเขาฉู่เฟิงต่อให้จะสั่งสอนเสวียนเทียนที่หอวิชายุทธ์สักรอบ สำนักก็ไม่ตำหนิต่อให้ตำหนิลงมาก็มีบิดาของเขาคอยช่วยอยู่ข้างบน
“ข้าเป็อัจฉริยะข้าเป็ผู้ทรงอำนาจรุ่นต่อไป ข้ายังต้องกลัวใครอีกเล่า?” ฉู่เฟิงหัวเราะเย้ยหยันขึ้นในใจลงมือราวกับสายฟ้า
เสวียนเทียนกำลังอ่าน ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ถึงจุดสำคัญ กำลังััได้ถึงภาวะจิตเร็วของ ‘เพลงกระบี่ดับเงา’ ได้ถึงขั้นที่ลึกซึ้งอย่างที่สุด
ทันใดนั้นก็มีคนลงมือเล่นงานเขา เสวียนเทียนหดมือหลบตามสัญชาตญาณที่ตอบสนองล้วนๆหลบกรงเล็กที่เร็วราวสายฟ้าของฉู่เฟิงไปได้ พร้อมกันนั้น เท้าก็ขยับก้าวร่างพุ่งถอยไปสามก้าว ฝ่ามือที่ฟาดลงมาของฉู่เฟิงก็พลาดเป้า
ศิษย์นอกทั้งหมดในชั้นหนึ่งของหอวิชายุทธ์ล้วนเบิกตากว้าง“เป็ไปได้อย่างไร?ศิษย์พี่ฉู่เฟิง ศิษย์อันดับหนึ่งแห่งสำนักในลงมือศิษย์พี่หวงทั้งที่ไม่รู้สึกตัวก็ยังหลบพ้นไปได้?”