กระทั่งกลางดึกวันที่สอง เก๋อจือกับลาถีเท่อที่ชะเง้อคอรอก็ยังมิได้พบกับใบหน้าที่คุ้นเคย
สำหรับพวกเขาแล้ว ความมืดมิดในยามค่ำคืนช่างยาวนานเหลือเกิน แต่ละนาทีล้วนแต่เคี่ยวกรำจิตใจ
“เ้านอนก่อนเถิด ข้าจะรอเอง” ลาถีเท่อตบเรียกเก๋อจือที่ง่วงจนลืมตามิขึ้นเบาๆ “โม่เจ๋อเอ่อร์กลับมาข้าจะบอกเ้าทันที”
เก๋อจือส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น ดวงตาหนึ่งคู่ยังคงจดจ้องนอกหน้าต่าง ลาถีเท่อถอนหายใจพลางโอบเก๋อจือมาเอนพิงบนกายตน
แท้จริงแล้วในใจของลาถีเท่อนึกเสียใจภายหลังอยู่บ้าง
ในระหว่างที่ได้คบค้ากับโม่จ้าน ตนแทบมิเคยเห็นอีกฝ่ายเผยสีหน้าลำบากใจออกมา คล้ายกับมิว่าอีกฝ่ายจะเผชิญหน้ากับเื่ใดล้วนแต่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทำให้ตนกับเก๋อจือยอมให้เขาใช้การอย่างเต็มใจ ทว่ามีเพียงยามไหว้วานเื่นี้เท่านั้นที่โม่จ้านเผยสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ยามนั้นตนน่าจะคิดหาหนทางอื่น มิใช่ปฏิเสธความรับผิดชอบจนบีบบังคับและละเลยไป
ในที่สุดเก๋อจือผู้อ่อนล้าก็มิอาจต้านทานความง่วงที่เข้าครอบงำและพิงลาถีเท่อหลับไปเสียแล้ว ลาถีเท่อยิ้มเจื่อนๆ วางเก๋อจือลงบนเตียงอย่างแ่เบาก่อนจะแอบออกไปจากห้อง ที่นี่คือหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งใกล้กับเมืองแห่งนักดาบพเนจร โม่จ้านเป็ผู้สั่งให้เก๋อจือกับลาถีเท่อไปอาศัยในครอบครัวชาวนาเพื่อมิให้เปิดเผยร่องรอย
พระจันทร์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าทั้งใหญ่และกลม ทอแสงสีเงินอาบไล้คันนาและถนนหนทาง เพียงแต่ลาถีเท่อมิมีเวลามาชื่นชมทิวทัศน์ หันกายเดินออกจากหมู่บ้านท่ามกลางถนนเงียบสงัดเพียงลำพัง
ยามนี้คือกลางฤดูร้อน ยามกลางวันร้อนจนอยู่มิเป็สุข ทว่านอกเมืองในยามกลางคืนกลับมีสายลมเย็น พัดผ่านเสียจนลาถีเท่อขนลุกขนชันไปทั้งตัว เด็กหนุ่มเผ่าหมานกำมือทั้งสองข้างไว้แน่นและมิแยแสต่อสิ่งเหล่านี้ ครั้นเห็นว่ารอบข้างมิมีผู้คนจึงเริ่มสาวเท้าอย่างรวดเร็วมุ่งหน้าไปทางนอกเมือง
ปีนั้นเ้าเมืองของเมืองแห่งนักดาบพเนจรทำเพื่อตกแต่งรอบเมืองที่ผ่านการถูกทำลายจึงปลูกต้นไม้สองข้างทางตรงหน้าประตูเมือง ยามเด็กลาถีเท่อเคยมาร่วมรดน้ำต้นกล้ากับบรรดาผู้ใหญ่ ตนรับรู้การเจริญเติบโตของต้นไม้แต่ละต้นอย่างชัดเจน
“น่าจะต้นนี้...”
ลาถีเท่อเอ่ยกับตนเองพร้อมกับคว้ากิ่งไม้ปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ทว่าด้วยแสงสว่างมิเพียงพอ ลาถีเท่อพยายามคลำตามกิ่งไม้หนาอย่างมีน้ำอดน้ำทน
บนมือพลันปรากฏััเย็นของโลหะส่งผ่านมา ลาถีเท่อกลืนน้ำลาย ตื่นเต้นจนหัวใจเต้นระส่ำ ดึงศรที่ปักทะลุกิ่งไม้นั้นออกมาอย่างระมัดระวัง หลังเห็นขนอินทรีสายฟ้าที่ติดแน่นกับปลายลูกศร ลาถีเท่อแทบจะหลุดเสียงร้องออกมา เขาะโลงจากต้นไม้และวิ่งด้วยความเร็วหนึ่งร้อยหมี่กลับหมู่บ้านอีกครั้ง
ขนหางอินทรีสายฟ้าที่ครบถ้วนสมบูรณ์สื่อว่า “ปลอดภัย”
แท้จริงแล้วโม่จ้านยังทิ้งเบาะแสอีกอย่างไว้ให้ลาถีเท่อ หากตนมิอาจกลับมาตามเวลาเป็การชั่วคราวและมิได้เป็อันตรายถึงแก่ชีวิตก็จะพยายามติดต่อพ่อบ้านหวาเอ่อร์ผ่านช่องทาง แม้กระทั่งตัวพ่อบ้านหวาเอ่อร์เองยังถูกจับตามอง ทว่าการแอบจ้างคนเพื่อทำภารกิจเล็กๆ นั้นยังมิใช่เื่ยาก แม้อีกฝ่ายจะนึกสงสัย ก็มิมีทางรู้ว่าสัญลักษณ์ที่หวาเอ่อร์กับโม่จ้านตกลงกันเอาไว้คือสิ่งใด
ลาถีเท่ออารมณ์ดีอย่างมาก คล้ายกับตลอดทางแทบจะลอยกลับเข้าไปในห้อง ตนมิอาจนึกภาพแม้แต่น้อยว่าถ้าหากสัญลักษณ์ที่พบคือขนนกถูกตัดที่หมายความว่า “ตาย” ตนควรทำอย่างไรจึงจะชดเชยให้ท่านนักรบลึกลับผู้นั้นที่พยายามช่วยเหลือตนกับเก๋อจืออย่างสุดกำลังแรงใจ ทว่าท้ายที่สุดกลับต้องไปตายต่างแดน อย่างน้อยยามนี้พวกเขาสองคนก็สามารถหาที่หลบซ่อนตัวอย่างวางใจเพื่อรอให้โม่จ้านที่พ้นภัยติดต่อหวาเอ่อร์อีกครา
อีกทางด้านหนึ่ง โม่จ้านอารมณ์ดีมิน้อยทีเดียว เพียงแต่โดยส่วนใหญ่ยังคงเป็ความประหลาดใจในการปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงของเจียนั่ว ยามพ่อบ้านหวาเอ่อร์ได้รับสัญญาณจากตน มิเพียงแต่แจ้งลาถีเท่อเท่านั้น ทว่ายังสั่งให้คนไปประกาศ “ตามหาขนหางอินทรีสายฟ้าที่หัก” ในกิลด์นักรบ เช้าวันถัดมายามที่ตนสั่งให้ฉิวอินไปค้นภารกิจที่กิลด์ นึกมิถึงว่าเวลาการออกประกาศจะเป็ก่อนหน้านี้หนึ่งคืน
หรือก็หมายความว่า เจียนั่วใช้เวลาเพียงมิกี่ชั่วยามในการส่งข่าว
“จิ๊ๆ ประสิทธิภาพเช่นนี้ เรียกได้ว่าโอ่อ่าผ่าเผยเสียจริง...” โม่จ้านอุทาน มินึกตระหนี่คำชมในความสามารถของเจียนั่ว
หลังได้ใกล้ชิดกันเป็เวลาหนึ่งวันกว่า ปาอินกับฉิวอินััได้ว่าถึงแม้โม่จ้านจะเป็เผ่าปีศาจชั้นสูง ทว่านิสัยใจคอมิได้วิตถารจึงค่อยๆ พากันวางใจ
“เดินทีอัศวินเวทก็เก่งกาจ นอกจากนั้นเ้าหมอนั่นยังมีความสามารถในการทำงานที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้น เป็เพียงหัวหน้าอัศวินรักษาการณ์ของเ้าเมืองคงจะน่าเสียดายเกินไป”
ฉิวอินหวนนึกถึงกลิ่นอาย “สิ่งมีชีวิตห้ามเข้าใกล้” ทั่วทั้งกายของอัศวินผู้นั้นแล้วถึงกับสั่นสะท้าน โม่จ้านกลับมิสนใจและพลิกเปิดตำราภายในมือต่อไป
“เขาเป็ถึงผู้ที่ท่านเ้าเมืองขนานนามว่า ‘ผู้มีพร์’ หากจะเก่งกาจก็นับว่าสมควร”
“พร์ในระดับนี้ เกรงว่าทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่คงจะมีอยู่เพียงผู้เดียว” สีหน้าของฉิวอินค่อนข้างเคร่งขรึม “ข้าััได้ถึงระดับความแข็งแกร่งของพลังเวทที่เขาปล่อยออกมา คล้ายจะมิเหนือหรือด้อยกว่าระดับหัวหน้ากองพล... ถึงขั้นสามารถเหนือกว่านั้นหนึ่งขั้น”
โม่จ้านมือสั่นทันใด เกือบจะฉีกตำราออกเป็สองส่วนเสียแล้ว
“....หัวหน้ากองพล? เ้ามิได้ล้อเล่นใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นฉิวอินพยักหน้าอย่างมิได้แสร้งทำ โม่จ้านถึงกับรู้สึกชาปลายนิ้ว
ภายใต้ความแตกต่างของระดับศักยภาพ อีกฝ่ายพยายามมาหาเื่ชวนทะเลาะครั้งแล้วครั้งเล่า มิแน่ว่าอาจเพียงแค่อยากอัดตนสักยกเพื่อระบายอารมณ์ มิใช่เื่ง่ายกว่าตนจะหลบพ้นหลายต่อหลายครั้ง ท้ายที่สุดกลับพาตนเองไปส่งถึงหน้าประตู
“รอกระทั่งท่านโม่เจ๋อเอ่อร์ฟื้นคืนพลังเวท จะต้องเก่งกาจกว่าเ้าคนเ็านั่นแน่นอนเ้าค่ะ!”
ปาอินมองสีหน้าขมขื่นของโม่จ้านแล้วเริ่มให้กำลังใจ โม่จ้านพยักหน้าทั้งน้ำตาคลอแสดงความขอบคุณ กระนั้นกลับรู้สึกหดหู่ยิ่งกว่าเดิมเสียแล้ว
เพียงแต่จะท้อใจก็ส่วนท้อใจ มิว่าอย่างไรก็ยังต้องใช้ชีวิตต่อไป โม่จ้านบีบสันจมูกก่อนนำขนนกคั่นไว้ในตำราที่เพิ่งอ่านได้เพียงครึ่งเดียว เตรียมตัวลุกขึ้นไปอาบน้ำ
“ท่านโม่เจ๋อเอ่อร์ นั่นคือสิ่งใดเ้าคะ? งดงามยิ่งนัก!”
ปาอินเห็นขนนกลายจุดสีดำจึงเอ่ยถามด้วยความสนใจ
“ขนหางอินทรีสายฟ้า ข้างมือมิมีสิ่งอื่นจึงนำมันมาคั่นตำรา”
ขณะมองปาอินที่มิอาจต้านทานขนนกงดงามประณีต ทันใดนั้นโม่จ้านพลันเกิดความคิดจะหยอกเย้านาง ดังนั้นโม่จ้านจึงกระแอมไอเสียงเบา เดินไปตรงหน้าปาอินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จงใจกดเสียงให้ทุ้มต่ำ
“นี่มิใช่ขนหางธรรมดา ทว่าเป็สัญลักษณ์ของคนสนิทที่ไว้ใจได้ จะมอบให้แก่ผู้ที่ข้าสามารถเชื่อได้อย่างสนิทใจเท่านั้น”
ปาอินได้ยินเช่นนั้นจึงรีบลุกขึ้น ใบหน้าเล็กฉายแววจริงจัง “ข้ากับท่านพี่จะพยายามเพื่อเป็ผู้ที่ท่านไว้ใจ และนำมันมาให้ได้เ้าค่ะ!”
“พยายามเข้าล่ะ ข้าถือหางพวกเ้านัก”
โม่จ้านพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม กล้ามเนื้อบนใบหน้าแข็งเกร็งเพราะกลั้นยิ้ม ปาอินเด็กคนนี้คล้ายจะหลอกง่ายกว่าเก๋อจือเสียอีก
ทว่าโม่จ้านแสดงได้สมจริงยิ่งนัก นึกมิถึงว่าฉิวอินที่ยืนอยู่ด้านข้างก็พยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจังเช่นกัน จากนั้นมองไปยังขนนกที่สอดอยู่ในตำราด้วยแววตาแน่วแน่
ยามนี้กลับกลายเป็โม่จ้านที่มิอาจยอมเสียหน้าอธิบายเสียแล้ว เมื่อคิดดูแล้วก็มิมีสิ่งใดเสียหาย เช่นนั้นก็ปล่อยพวกเขาไปเถิด
ทว่ากระทั่งโม่จ้านเองก็ยังนึกมิถึงว่าหนึ่งประโยคหยอกล้อจะสามารถทำนายอนาคต เพียงแต่นั่นก็เป็เื่ที่ต้องถกกันในภายหลังเสียแล้ว
