“ไม่ใช่แบบนั้น เธอกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่? เธอจะ...”
“ชู่…” ซย่านีเอานิ้วชี้จ่อปากตัวเองพลางทำเสียงชู่ เธอเหลือบมองไปยังห้องด้านในก็พบว่าเธอห้ามคำพูดของเซี่ยงเหมยไว้ได้สำเร็จ
ซย่านีกล่าวเตือน “พวกเด็กๆ ยังอยู่ด้วยนะ”
ซย่านีเดินไปเปิดประตูห้องด้านใน “พวกลูกทำการบ้านเสร็จแล้วหรือยัง?”
ซ่งตงซวี่กับซ่งวั่งซูได้ยินการเคลื่อนไหวในห้องโถงหลักนานแล้ว เดิมทีพวกเขาคิดจะออกไปด้านนอก แต่พอได้ยินว่าพวกผู้ใหญ่กำลังคุยเื่ธุรกิจกันอยู่ พวกเขาก็เลยกลับมานั่งทำการบ้านที่โต๊ะอย่างรู้ความ
ซ่งตงซวี่ยกมือขึ้นพลางพูดว่า “ผมทำเสร็จนานแล้วฮะ!”
ซ่งวั่งซูเองก็กล่าวบ้าง “หนูยังเหลือการบ้านอีกสองแผ่นค่ะ”
ซย่านีหยิบการบ้านของซ่งตงซวี่มาดูแล้วก็ต้องขมวดคิ้ว “ใช้ไม่ได้เลย นี่ลูกเขียนเลอะเทอะมากเลยนะ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซ่งตงซวี่พลันหยุดชะงัก
ซย่านีวางสมุดการบ้านลงบนโต๊ะแล้วกางกระดาษออก ชี้ไปตรงตัวอักษรบนสมุดการบ้านพลางกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้แม่บอกลูกว่าอย่างไร ให้ลูกตั้งใจทำการบ้านใช่ไหม ลูกดูสิอักษรตัวนี้สิแทบจะเหินขึ้นมาอยู่แล้ว!” ั้แ่เริ่มเรียนรู้ตัวอักษร ซย่านีก็มีความสามารถมากพอที่จะตัดสินว่าตัวอักษรไหนเขียนได้ดีหรือไม่ดี ซ่งตงซวี่ไม่อาจตบตาเธอได้อีกแล้ว
ซ่งตงซวี่หยิบสมุดการบ้านมาทำอย่างไม่เต็มใจด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
ซย่านีไม่สนใจเขา เธอหันหน้าไปถามซ่งวั่งซู “ซิงซิงตื่นั้แ่เมื่อไหร่? แล้วน้องร้องไห้หรือเปล่า?”
ซ่งวั่งซูเงยใบหน้าเล็กๆ ขึ้นด้วย ‘ท่าทางขอคำชม’ จากนั้นจึงเอ่ยตอบมารดา “ตื่นมาสักพักแล้วค่ะ หนูเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ซิงซิงแล้ว”
ซย่านียิ้มพลางยื่นมือไปเขี่ยจมูกซ่งวั่งซูเพื่อบอกเป็นัยว่า ‘ต้องขอบคุณเสี่ยวเยวี่ยเอ๋อร์ตัวน้อยแล้ว’ แล้วเธอก็หยิบกุญแจพวงหนึ่งออกมาจากในกระเป๋า ก่อนจะวางลงบนมือของซ่งวั่งซู “นี่คือกุญแจบ้านหลังใหม่ของพวกเรา ลูกเก็บไว้ให้ดีเล่า หากลูกทำมันหายล่ะก็พวกเราจะเข้าบ้านไม่ได้นะ”
ซ่งวั่งซูดวงตาเบิกกว้าง เธอหยุดหายใจไปชั่วขณะมือน้อยๆ ประคองกุญแจในมือราวกับว่าหากเธอคลาดสายตาจากมันแล้วล่ะก็ กุญแจนั้นจะหายไปในพริบตา “บ้านใหม่หรือคะ?! แม่ แม่หาบ้านใหม่ได้แล้วหรือ?”
“บ้านใหม่หรือฮะ?” ซ่งตงซวี่ดวงตาเป็ประกาย เขาหยุดทำหน้าบูดบึ้งแล้วรีบปีนขึ้นไปนั่งข้างกายซย่านีพร้อมกับคว้าแขนผู้เป็มารดาไว้พลางกล่าวว่า “แม่ฮะ ผมเองก็อยากได้กุญแจเหมือนกัน ผมอยากกุญแจบ้านใหม่ด้วยฮะ!”
ซย่านีถามเขา “ถ้างั้นลูกยอมทำการบ้านใหม่ไหม?”
ซ่งตงซวี่พยักหน้ารัวท่าทางราวกับทนรอไม่ไหวแล้ว เขาพูดเสียงดัง “ผมยอมๆ”
ซย่านีอมยิ้มแล้วหยิบกุญแจอีกพวงออกมาจากในกระเป๋า “นี่จ้ะ แม่ให้ลูก”
ซ่งตงซวี่ถือกุญแจไว้ราวกับมันเป็สมบัติล้ำค่าและพูดว่า “แม่ฮะ ผมจะเอาเชือกมาร้อยกุญแจแล้วห้อยคอไว้เลย! ผมเคยเห็นเพื่อนร่วมชั้นก็ห้อยกุญแจแบบนี้เหมือนกัน!”
นี่เป็ครั้งแรกที่เด็กๆ มีกุญแจ ‘บ้าน’ แต่ก่อนตอนที่พวกเขาอยู่บ้านย่า แม้แต่ซย่านีเองก็ยังไม่คู่ควรที่จะมีกุญแจบ้านอย่างคนอื่นเขา
ซย่านีเห็นท่าทางมีความสุขของลูกๆ ก็พลันอิ่มเอิบใจยิ่งนัก จากนั้นครู่หนึ่ง เธอก็เอ่ยขึ้นว่า “นี่เป็แค่กุญแจประตูใหญ่กับกุญแจห้องของพวกลูกเท่านั้น ตอนนี้กุญแจปนกันไปหมด หลังจากเข้าบ้านใหม่ไปแล้วแม่จะลองไขดูก่อนว่ากุญแจดอกไหนเป็ดอกไหนแล้วค่อยเอาให้พวกลูก ถึงตอนนั้นแม่จะเอาพวงกุญแจให้ลูกทั้งสองคน พวกลูกจะได้เก็บกุญแจของใครของมันเอาไว้”
ราวกับว่าซ่งซิงเหอผู้เป็ลูกชายคนสุดท้องจะฟังคำพูดของมารดาเข้าใจ เขาคว้าเสื้อของซย่านีแล้วส่งเสียงร้องอ้อแอ้เหมือนกำลังถามซย่านีว่า ‘แล้วกุญแจของผมล่ะฮะ’
ซย่านียื่นมือไปเช็ดน้ำลายที่มุมปากให้ลูกชายคนเล็กและพูดด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะเด็กน้อยของแม่ เมื่อลูกโตขึ้นแม่ก็เก็บไว้ให้ลูกพวงหนึ่งเหมือนกันจ้ะ”
เซี่ยงเหมยเห็นท่าทางมีความสุขของครอบครัวนี้แล้ว เธอก็รู้สึกยินดีแทนพวกเขาก่อนเธอจะถามขึ้นว่า “บ้านเรียบร้อยแล้วหรือ? สรุปว่าเป็หลังไหนกัน?”
ซย่านีตอบ “บ้านหลังที่ใกล้กับโรงเรียนของพวกเด็กๆ มากที่สุดค่ะ หลังนั้นเป็เรือนของพ่อตาเพื่อนที่ทำงานของพี่เฝิงหย่งนี่เอง”
เซี่ยงเหมยพยักหน้า เธอรู้แล้วว่าเป็ที่ไหนเมื่อวานนี้เฝิงหย่งได้บอกเธอเกี่ยวกับคุณสมบัติของบ้านแต่ละหลังไว้แล้ว เธอกล่าวกับซย่านีต่อ “ฉันก็เดาไว้อยู่แล้วว่าเธอน่าจะเลือกบ้านหลังนั้น”
ซย่านีตอบ “อันที่จริงก็มีแค่บ้านหลังนั้นแหละ ที่ค่อนข้างเหมาะสมกว่าหลังอื่นๆ น่ะ”
ซ่งวั่งซูสงสัยขึ้นมาแล้ว เธอจึงเอ่ยถาม “มีชิงช้าไหมคะๆ?”
ซย่านีตอบ “ไม่มีชิงช้าจ้ะ แต่ว่ามีลานบ้าน แม่สามารถทำชิงช้าให้ลูกได้อยู่นะ”
ซ่งวั่งซูพอใจมากแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าได้เหมือนกัน
เซี่ยงเหมยยังคงถามซย่านีต่อไป “เธอวางแผนว่าจะย้ายเข้าบ้านใหม่เมื่อไหร่หรือ?”
ซย่านีตอบ “ว่าจะย้ายเข้าวันนี้เลยค่ะ”
เซี่ยงเหมยสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วร้องอุทานอย่างประหลาดใจ “วันนี้เลย?” พอพูดจบ จู่ๆ เธอก็ตระหนักได้ว่า วันนี้ซย่านีตัดขาดกับบ้านตระกูลซ่งไปแล้ว อันที่จริงมันก็ไม่เหมาะหากจะยังอยู่ที่บ้านตระกูลซ่งต่อไป “แต่ถ้าเธอย้ายเข้าวันนี้ มันจะไม่รีบร้อนไปหน่อยหรือ? ที่นั่นก็ไม่ได้มีของอะไรด้วย”
ซย่านีตอบ “ไม่มีก็ซื้อเอาใหม่ก็ได้ค่ะ ฉันมีเงินแล้วยังต้องกลัวว่าจะซื้ออะไรไม่ไหวอีกหรือ?”
เธอคิดดีแล้ว เธอจะไม่เอาของสิ่งใดไปจากบ้านตระกูลซ่งเลย เธอไม่นึกอาลัยผ้าปูเตียงเก่าๆ พวกนั้นหรอก เธอแค่จะกลับไปเก็บหนังสือกับเสื้อผ้าและรองเท้าของพวกลูกๆ ก็พอแล้ว ของไม่เยอะเท่าไหร่แค่กระเป๋าใบเดียวก็น่าจะจุสัมภาระได้หมด
ซย่านีกล่าวเสริม “เดี๋ยวฉันจะกลับไปเอาของของพวกเด็กๆ ที่บ้านตระกูลซ่งหน่อยพอเก็บเสร็จฉันก็จะไปห้างสรรพสินค้าต่อเลย”
เซี่ยงเหมยคิดไม่ถึงว่าซย่านีจะใจร้อนมากถึงเพียงนี้ พูดว่าจะทำก็ทำเลย เธอจึงถามอย่างเป็กังวล “เธอมีตั๋วไหม? ตอนนี้ของหลายอย่างต้องใช้ตั๋วในการซื้อนะ”
ซย่านีตอบ “มีค่ะ เมื่อหลายวันก่อนตอนที่ฉันไปขายยางรัดผม ฉันก็แลกตั๋วกับลูกค้ามาไม่น้อยเลยจึงมีตั๋วประเภทต่างๆ อยู่ในมือบ้างแล้ว”
เซี่ยงเหมยเองก็จนปัญญา “เธอวางแผนเื่นี้มานานแล้วสินะ”
ซย่านีเลิกคิ้ว “คงงั้นแหละค่ะ พี่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่รู้นี่นาว่าฉันเตรียมจะย้ายออกนานแล้ว”
ซย่านีลุกยืนขึ้น เธอแทบทนรอไม่ไหวที่จะไปเก็บของที่บ้านตระกูลซ่งแล้ว ซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่เองก็อยากตามไปด้วยแต่ถูกซย่านีหยุดไว้ก่อน “พวกลูกสองคนเก็บกระเป๋านักเรียนให้ดีแล้วรอแม่ที่หน้าประตูบ้านก็พอ แม่จะกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านย่าของพวกลูกก่อน ถ้าเก็บเสร็จแล้วแม่ค่อยพาพวกลูกไปบ้านใหม่พร้อมกัน”
เซี่ยงเหมยลุกขึ้นตามแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้น ฉันจะไปที่นั่นกับเธอ ถ้าเธอไปคนเดียวล่ะก็เธอรับมือกับแม่สามีของเธอไม่ไหวแน่”
ซย่านีตอบรับ “ได้ค่ะ พี่สะใภ้เซี่ยงเหมย อย่างไรวันนี้ก็ไม่ไปขายยางรัดผมแล้ว งั้นพี่ช่วยเอารถสามล้อมาให้ฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
เซี่ยงเหมยตอบตกลง “ได้สิ”
เพื่อนบ้านที่มารวมตัวกันที่หน้าบ้านตระกูลซ่งก่อนหน้านี้ยังคงอยู่ที่เดิม ไม่ได้แยกย้ายกันไปไหน ทว่าหวังซิ่วอิงกลับถูกซย่านีทำให้อับอายจนต้องกลับเข้าบ้านไปก่อนแล้ว
ซ่งเหม่ยอวิ๋นรู้ว่าหากตนเองกลับบ้านไปในเวลานี้จะต้องถูกหวังซิ่วอิงดุด่าเป็แน่ ดังนั้นเธอจึงลากหลี่เสวี่ยหรูย่องหนีออกไปอย่างเงียบๆ
ส่วนลูกๆ ของโจวเจี๋ยก็ติดตามมารดากลับบ้านพ่อตาแม่ยาย ส่วนซ่งซุนซานเองก็ตามไปพร้อมกัน
ทางด้านหัวหน้าครอบครัวอย่างซ่งเป่าเถียนก็นัดชายชราคนอื่นๆ ออกไปเตร็ดเตร่ที่สวนสาธารณะ เวลานี้ยังไม่ได้กลับบ้านดังนั้นในบ้านจึงเหลือแค่หวังซิ่วอิงเพียงคนเดียว
เมื่อซย่านีกลับมาถึงบ้านตระกูลซ่ง หวังซิ่วอิงก็ได้ยินเสียงคนมา เธอรีบวิ่งไปที่ลานบ้านทันที “หล่อนยังกล้ากลับมาเหยียบที่นี่อีกงั้นหรือ? ไม่ใช่บอกว่าจะหย่ากับซ่งหานเจียงและขอตัดความสัมพันธ์กับบ้านตระกูลซ่งของพวกเราหรอกหรือ? รีบไสหัวไปเลยนะ!”
เสียงะโดังลั่นของหวังซิ่วอิงพลันดึงดูดความสนใจจากเพื่อนบ้านที่อยู่นอกประตูอีกครั้ง
บางทีก็ไม่ใช่ว่าคนที่เสียงดังมากกว่าจะมีความมั่นใจมากกว่าคนที่ไม่ตอบโต้ ซย่านียิ้มพร้อมกล่าวว่า “ฉันกลับมาเก็บของค่ะ ไม่ต้องให้คุณไล่ฉันหรอก ฉันเก็บของเสร็จก็จะไปแล้ว”
