แม้ว่าพลังของทักษะ 'คำราม' จะอ่อนลงไปมากเมื่อะโลงไปข้างล่าง แต่มันก็มากเกินพอสำหรับม้าธรรมดาๆ ทั้งสี่ตัว ม้าสีดำทั้งสี่ตัวถูกเสียงตวาดของซุนเฟยทำให้ปั่นป่วนจนร้องออกมาอย่างหวาดกลัว จากนั้นกีบเท้าของพวกมันก็เหมือนอ่อนแรง คุกเข่าลงกับพื้น เพราะถูกเสียงนั่นทำใมันจึงปัสสาวะราด
อัศวินเกราะดำทั้งสามนายรีบะโลงจากหลังม้าแทบไม่ทัน
“ไอ้ม้าสมควรตาย!”
แส้หนังกระหน่ำฟาดไปที่ม้าสีดำราวกับห่าฝนที่เทกระหน่ำลงมา
แต่ไม่ว่าพวกเขาจะฟาดพวกมันไปมากแค่ไหน ม้าศึกที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีนั้นเหมือนถูกสาปแช่ง เอาแต่คุกเข่ากับพื้น ร้องคร่ำครวญไม่หยุด ไม่ว่าจะทำอย่างไรพวกมันก็ไม่ลุกขึ้น
“โอ๊ะโอ ดูสิ ม้าคงกลัวจนฉี่ราด ฮ่าๆๆ”
“ไอ้พวกลูกหมา ไสหัวไปซะ! ไปหยิบดาบหรือหอกออกมาสู้กันซะ!”
“อยากให้พวกข้ายอมจำนน? ฝันไปเถอะ มาลองชิมรสขวานของปู่เ้านี่!”
“เมืองแซมบอร์ดไม่ใช้สิ่งที่พวกหนอนแมลงสกปรกอย่างพวกเ้าจะได้มันไป พวกข้าจะสั่งสอนพวกเ้าให้จำไปจนตาย...”
“ฮ่าๆ กลัวหรือเปล่า? ไปเรียกแม่เ้ามาช่วยสิ!”
“...”
เห็นฉากที่ได้ระบายความโกรธเช่นนี้ ทหารและเหล่าชาวบ้านบนกำแพงก็พลันหัวเราะออกมาเสียงดัง ทหารกล้าบางคนก็หัวเราะเยาะใส่ แม้กระทั้งบางคนควัก...ออกมา แล้วฉี่ลงไปด้านล่าง...
ตึง ตึง ตึง!
เหล่าทหารเคาะอาวุธในมือตัวเองจนเกิดเสียงกระทบกันของโลหะที่ทรงพลัง เป็ฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจและสอดคล้องกับการกระทำของแลมพาร์ดและซุนเฟยเมื่อครู่นี้ ทำให้ความกลัวในใจทุกคนค่อยๆ สลายไปทันที แม้แต่ทหารที่ขี้ขลาดตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฮึกเหิมจนแทบจะอดใจรอไม่ไหว อยากจะให้าเริ่มขึ้นเดี๋ยวนี้ อยากจะสังหารข้าศึกสักคนสองคนด้วยมือตัวเอง
……
ริมชายฝั่งแม่น้ำจู่ลี่ฝั่งตรงข้าม
ชายหน้ากากเงินมองเห็นฉากนี้จากไกลๆ ท่าทางชิลๆ มาตลอดตอนนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปจนโกรธจนหน้าเขียวไปในทันที
เดิมทีเขาอยากจะยืมความขัดแย้งระหว่างประชาชนและราชวงศ์ของเมืองแซมบอร์ดมาทำลายขวัญกำลังใจทหารของเมือง หากสามารถทำสำเร็จก็จะสามารถสร้างความขัดแย้งและความเคลือบแคลงระหว่างประชาชนและราชวงศ์ได้ แต่แม้ว่าสุดท้ายจะยุแยงไม่สำเร็จแต่ก็อาจจะสร้างความขัดแย้งภายในได้พลังการรบก็จะลดลง แบบนี้เมืองแซมบอร์ดก็จะตกอยู่ในกำมือของตัวเองได้เร็ว
แต่...
คาดไม่ถึงว่าเหตุการณ์จะเปลี่ยนไปเป็แบบนี้
นั่นเป็เพราะการกระทำงี่เง่าของไอ้โง่ 'หมายเลข 1' ที่ดันทำลายประเพณีการเจรจาา ทำให้ฝ่ายตรงข้ามหาเหตุผลลงมือจู่โจมได้อย่างชอบธรรม ไม่เพียงตัวเองจะตาย ยังถูกอีกฝ่ายคว้าโอกาสนี้มาปลุกขวัญกำลังใจทหารฝ่ายตัวเองขึ้นมาได้ ในขณะเดียวกันก็ทำลายขวัญกำลังใจฝ่ายทหารเกราะดำ
“สมควรตาย...”
ชายหน้ากากเงินอดไม่ได้ที่จะด่าออกมา ไม่รู้เพราะอะไรเขาถึงรู้สึกว่าการโจมตีเมืองแซมบอร์ดครั้งนี้ดูท่าจะไม่ง่ายดายเหมือนที่ตัวเองคาดคิดไว้
“นายท่าน ให้ข้าไปสังหารนักรบสามดาวที่บ้าบิ่นคนนั้นเพื่อท่านเถอะ!”
แรนดุ๊ก นักรบระดับสามดาวรู้สึกว่านี่จะเป็โอกาสดีที่ตัวเองจะได้แสดงความสามารถ จึงรีบกระทุ้งม้ามาด้านหน้าเพื่อขอร้อง
อัศวินเกราะดำคนอื่นๆ ก็ทนไม่ไหวเช่นกัน
เห็นสหายถูกสังหาร เหล่าอัศวินเกราะดำต่างรู้สึกศักดิ์ศรีของตัวเองในฐานะที่เป็คนใกล้ชิดของชายหน้ากากเงินกำลังยั่วยุ จึงพากันร้องขอให้บุกเข้าโจมตีเมืองทันที ละเลงเืเมืองแซมบอร์ดซะเพื่อแก้แค้น
แต่
ชายหน้ากากเงินกำแส้ม้าในมือแน่น
ข้อต่อนิ้วมือของเขาก็ขาวซีดเพราะออกแรงกำแน่นเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาพยายามอย่างหนักเพื่อยับยั้งความโกรธของตัวเอง
หลังจากคิดวิเคราะห์ชั่วครู่ ในที่สุดเขาก็โบกมือให้ผู้ใต้บังคับบัญชาหยุด ทำให้ทุกคนพากันแปลกใจ เขากระซิบพูดว่า “ถ่ายทอดคำสั่งข้า ให้กองทัพเราไม่ต้องเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งสิ้น หลังอาหารเที่ยงค่อยเริ่มโจมตีเมือง!”
แรนดุ๊กและเหล่าอัศวินเกราะดำพากันตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะออกคำสั่งเช่นนี้
“พวกชาวนาชั้นต่ำเ่าั้ ตอนนี้ขวัญกำลังใจพวกมันกำลังลุกโชน เข้าโจมตีตอนนี้ก็เข้าแผนไอ้าาปัญญาอ่อนน่ะสิ...” ชายหน้ากากเงินสะบัดแส้ม้าไปทางเมืองแซมบอร์ดที่ตั้งอยู่ห่างไกล ก่อนจะพูดอย่างเ็าว่า “รอจนถึง่บ่าย ขวัญกำลังใจพวกมันคงลดลงและนั่นจะเป็โอกาสของพวกเรา เมื่อเวลานั้นมาถึงก็ให้รีบเข้าโจมตีเมือง นำบันไดยึดเมืองและอุปกรณ์ทั้งหมดเข้าสู่สนามรบ ข้าอยากยึดเมืองเล็กๆ นี่ภายในครึ่งชั่วโมงและละเลงเืไปสามวัน แก้แค้นให้กับนักรบของข้า”
พูดจบ ชายหน้ากากเงินก็ะโเสียงดังใช้แส้ฟาดม้าให้กลับค่าย
……
เมืองแซมบอร์ด
สามนาทีต่อมา
ซุนเฟยและบรู๊คมองหน้ากันและกัน
เดิมทีทุกคนบนกำแพงต่างคิดว่า หลังจากที่บรู๊คสังหารชายเกราะดำไป ข้าศึกจะบุกเข้าโจมตีด้วยความโกรธ เหล่าทหารก็เตรียมรบตั้งนานแล้ว...
แต่ใครจะรู้ว่าเวลาผ่านไปตั้งสามสี่นาทีแล้ว การโจมตีอย่างดุเดือดที่คาดไว้ก็ไม่มาสักที กองทัพชายชุดดำก็ยังคงอยู่ขบวนรบแบบเดิม ปักหลักอยู่ตรงสะพานไม่เข้ามา แต่ก็ไม่ถอยกลับ และยังอยู่นอกขอบเขตระยะการยิงธนูของพลธนูที่จ้องตะครุบเหยื่อดั่งพญาเสือ
“เวรเอ๊ย นี่มันเื่บ้าอะไรกัน?”
ซุนเฟยรู้สึกงงมาก เขารู้สึกว่าสมองของผู้บังคับบัญชาการฝ่ายศัตรูคงถูกลาเตะทิ้งจากหัวไปแล้ว หรือว่าจะเล่นลูกไม้อะไรอีก?
บรู๊คกลับก้มหน้าครุ่นคิด
เขารู้สึกว่าเจตนาของผู้บังคับบัญชาลึกลับของฝ่ายศัตรูช่างเข้าใจยากดีแท้ แม้แต่การโจมราวกับพายุคลั่งที่เขาคาดการณ์ไว้ก็ไม่มา แต่ในความเงียบสงบเหมือนกับว่าจะเกิดพายุที่น่ากลัวและทรงพลังยิ่งกว่าเดิมขึ้นมา
ได้รับการแต่งตั้งจากฝ่าาให้เป็ผู้บังคับบัญชาการทหารสูงสุดในาปกป้องเมืองแซมบอร์ด บรู๊ครู้สึกว่าตัวเองมีภาระหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ จำเป็ต้องวิเคราะห์เจตนาของฝ่ายศัตรูให้ออกโดยเร็ว
คิดสักพัก ดวงตาของบรู๊คก็มองไปทางยอดเขารอบๆ
เพื่อมั่นใจว่าข้าศึกจะไม่บุกเข้ามาโจมตีจากทางูเา บรู๊คได้สั่งให้ทหารที่มีไหวพริบสองสามคนไปตรวจดูยอดเขาสามลูกที่อยู่นอกเมืองแซมบอร์ด เพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูแอบส่งยอดฝีมือปีนขึ้นูเามาโจมตี
ผ่านไปอีกสิบนาที
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ บรรยากาศบนกำแพงเมืองเริ่มเปลี่ยนไป
ทันใดนั้นซุนเฟยก็พบว่าจิติญญาของเหล่าทหารเริ่มหย่อนยานลงมา ค่อยๆ คลายอาวุธในมือเล็กน้อย ดวงตาที่มองไปด้านนอกเมืองมีความหดหู่เล็กน้อย หากเป็เมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว สภาพจิติญญาและขวัญกำลังใจของเหล่าทหารที่เหมือนคันธนูที่ถูกง้างออกเป็รูปพระจันทร์เต็มดวงอย่างแข็งขัน แต่ตอนนี้ความแข็งขันก็เปลี่ยนไปเป็หย่อนหยาน
สถานการณ์ไม่ดี
ขวัญกำลังใจที่เขาเพียรพยายามปลุกเร้าขึ้นมากลับถูกการกระทำที่แปลกประหลาดของศัตรูทำลายลงในอีกไม่นาน ความรู้สึกคงเหมือนกับใช้พลังงานทั้งร่างอย่างหนักหน่วงเพื่อชกออกไปแต่กลับต่อยไม่ถูกเป้าหมาย เหมือนชกอากาศคงรู้สึกอึดอัดมาก
ในหัวของซุนเฟยพลันนึกถึงบทเรียนหนึ่งในโลกเก่าขึ้นมาด้วยความบังเอิญ
การอภิปรายของเฉากุ้ย
ที่ว่าขวัญกำลังใจหากปล่อยไว้นานมันก็จะค่อยๆ ลดถดถอยลง!
“เป็ไปได้ว่าผู้บัญชาการลึกลับของฝ่ายศัตรูจะใช้กลยุทธ์เดียวกันกับความคิดของเฉากุ้ย? หากเป็อย่างนั้น...”
ซุนเฟยใจเต้น
ถ้าเป็อย่างที่พูด มันคงเป็เื่ที่ยุ่งยากแน่ๆ
เมื่อได้ค้นพบข้อมูลจำนวนมากซึ่งนี่เป็สิ่งที่แน่ชัดที่สุดแล้ว ผู้บัญชาการฝ่ายศัตรูฉลาดกว่าที่เขาคิดไว้มาก เขาไม่เพียงควบคุมตัวเองได้ แต่ยังเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์อีกด้วย หลายครั้งไม่ว่าขวัญกำลังใจจะมากหรือน้อย หากใช้ดีๆ จะเป็ประโยชน์อย่างมาก แม้กระทั่งสามารถตัดสินแพ้ชนะในการรบได้
จะทำอย่างไรดี?
เมื่อเดาเจตนาของฝ่ายศัตรูได้ ซุนเฟยกลับไม่สามารถหาวิธีจัดการได้
เห็นได้ชัดว่า แม้ว่าอุบายที่ผู้บัญชาการฝ่ายตรงข้ามใช้จะถูกซุนเฟยมองออก ด้วยสถานการณ์ในเมืองแซมบอร์ดตอนนี้ที่มีทหารจำนวนจำกัด เมื่อแรงจูงใจในการโจมตีตอนแรกได้ชะงักลง คงยากที่จะฟื้นฟูขวัญกำลังใจทหารขึ้นมาใหม่ แต่จะให้ละทิ้งความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์และเป็ฝ่ายโจมตีก่อน มันจะต่างอะไรกับเดินไปหาความตาย
แต่ถ้าให้รอต่อไปแบบนี้คงจะทำให้จิติญญาทหารทุกคนจะตึงเครียดมากยิ่งขึ้น ไม่ช้าก็เร็วก็จะถูกแรงกดดันมหาศาลกดดันจนจิติญญาสูญสลายไป
ซุนเฟยคิดไปคิดมา สุดท้ายก็เรียกบรู๊คมาข้างๆ จัดการดำเนินการอย่างรอบคอบโดยการแบ่งทหารป้องกันเมืองเป็สองฝ่าย ภายใต้สถานการณ์ที่ศัตรูยังไม่เข้ามาโจมตี ให้ฝ่ายหนึ่งไปพักผ่อนอีกฝ่ายหนึ่งเฝ้าระวังต่อไป เปลี่ยนกะทุกๆ ยี่สิบนาที เพื่อให้แน่ใจว่าสภาพจิตใจและพละกำลังของเหล่าทหารเป็ปกติ...
นี่เป็วิธีที่ดีที่สุดที่ซุนเฟยคิดได้ในเวลานี้
ผ่านไปประมาณยี่สิบกว่านาที พระอาทิตย์ก็ค่อยๆ ขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตอนนี้แสงอาทิตย์ก็เปลี่ยนเป็ร้อนระอุขึ้นมา อาวุธและหมวกเกราะที่หนัก รวมทั้งแรงกดดันทางจิตใจมหาศาลที่กองทัพศัตรูนำกำลังมาแบบมืดฟ้ามัวดิน ทำให้เหล่าทหารบนกำแพงเมืองแซมบอร์ดเริ่มเหงื่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ซุนเฟยยืนอยู่บนกำแพงเฝ้าสังเกตการณ์อย่างระมัดระวัง เมื่อเห็นว่าฝ่ายศัตรูยังคงไม่มีทีท่าจะบุกเข้ามาสักนิด
เขาคิดแล้วคิดอีก
ตัดสินใจที่จะไม่รออย่างโง่ๆ อีกต่อไป
เวลาทุกนาทีทุกวินาทีสำหรับซุนเฟยมีค่า เขาจำเป็ต้องคว้าโอกาสเข้าไปในโลก Diablo เพื่อฝึกฝนและอัพความแข็งแกร่ง ซึ่งมันดีกว่าจะมานั่งรอแบบนี้มากนัก
ซุนเฟยหมุนตัวกลับไปที่หอสังเกตการณ์ ให้เพียร์ซที่สะพาย 'กระบี่าา' ไว้ด้านหลังเฝ้าระวังอยู่ด้านนอก ซุนเฟยนั่งบนก้อนหินแล้วหลับตาลง รวบรวมพลังจิตสื่อสารกับเสียงลึกลับในหัว
ไม่นานก็ได้รับการตอบรับ
“พลังจิตเพียงพอ...สแกนจิติญญา...จิติญญาถูกต้อง...นับถอยหลังเข้าสู่โลก Diablo ใน สาม...สอง...หนึ่ง...ดิ๊งด๊อง เข้าสู่โลก Diablo!”
……
กลับเข้าสู่โลก Diablo ซุนเฟยอยู่ในตัวละคนคนเถื่อนที่ตัวเองเลือกอยู่
เขาปรากฏตัวขึ้นในสุสานของ 'โคลด์เพลส'
ศพของ 'บลัด เรเว่น' ยังคงนอนอยู่ตรงหน้า มีไอเทมเปล่งแสงสีเหลืองและเหรียญทองสีส่องประกายกองบนพื้น แต่เขาไม่ได้มีเวลาที่จะหยิบมันขึ้นมา เพราะเมื่อเขาเข้าเล่นเกมอีกครั้ง มอนสเตอร์รอบๆ สุสานก็ได้พากันเกิดใหม่ มอนสเตอร์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็ 'ชาแมน' หรือ 'โร้กมืด' ที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนเมื่อพวกมันเห็นมนุษย์ปรากฏตัวออกมา ก็พลันกรีดร้องแล้วพุ่งเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
และการต่อสู้ได้เริ่มขึ้น
ใช้เวลาจัดการไม่นาน ซุนเฟยก็ล้างบางเหล่ามอนสเตอร์รอบๆ สุสานอีกครั้ง
ตอนนี้กำลังเริ่มเก็บเหรียญทองและไอเทมที่ตกออกมา
หลังจากนับแล้ว ซุนเฟยก็พบว่ารางวัลของตัวเองครั้งนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร
แรร์ไอเทมสามกล่อง อันหนึ่งเป็โล่ที่ตรงขอบของมันจะมีเหล็กแหลมคมยื่นออกมา อีกอันเป็กระบี่สั้นรูปร่างแปลกๆ ส่วนอีกอันจะเป็ถุงมือสีบรอนซ์คู่หนึ่ง
แต่ไอเทมทั้งสามกล่องนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบดู จึงไม่รู้ว่ามันมีพลังอำนาจอะไร
นอกจากแรร์ไอเทมแล้ว ยังมีไอเทมเมจิคระดับ 1 อีกสามกล่อง ซุนเฟยหยิบมันใส่กระเป๋าหลัง คิดว่าคงขายได้ราคาไม่น้อย
ส่วนเหรียญทองที่ได้จากมอนสเตอร์มีทั้งหมดหกเหรียญทอง ซุนเฟยเก็บพวกมันขึ้นมาทั้งหมด
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อย ก็เปิดหน้าจอสเตตัสขึ้นมา
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้