เขาซือคงเสวียนเป็ใคร เย่เฟิงชนะหวงเหยียนิ แต่อยากเทียบชั้นกับเขาอย่างนั้นหรือ?
เสียงพูดคุยของผู้คนดูเหมือนจะยั่วโมโหซือคงเสวียน ซึ่งการประลองถัดมา ซือคงเสวียนต่อสู้ถึงสองครั้งติดต่อกัน และเขาสามารถเอาชนะทั่วป๋าเจียงและหวงเหยียนิในหนึ่งกระบวนท่า ทำให้ผู้คนต่างได้รู้ซึ้งถึงความแข็งแกร่งของเขา ส่วนทั่วป๋าเจียงและหวงเหยียนิเป็เพียงตัวเสริมที่ขับเคลื่อนให้เขาโดดเด่นขึ้นก็เท่านั้น
คนที่น่าเศร้าสลดที่สุดก็คงจะเป็หวงเหยียนิ เมื่อครู่เขาเพิ่งถูกเย่เฟิงเหยียดหยาม มิหนำซ้ำยังพ่ายแพ้ให้กับซือคงเสวียนอีก สำหรับเขาแล้วนี่ถือว่าเป็การโจมตีที่มีผลต่อชีวิตเลยก็ว่าได้ ซึ่งมีความเป็ไปได้สูงมากที่จะสั่นคลอนและส่งผลกระทบร้ายแรงต่อการก้าวไปสู่ความสำเร็จในเส้นทางแห่งการบำเพ็ญในอนาคตของเขา
“พวกสวะ ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก!” ซือคงเสวียนกล่าวพลางยืนตระหง่านอย่างโอหัง หลังจากเอาชนะทั่วป๋าเจียงและหวงเหยียนิ เขาก็สะบัดชายเสื้อคลุมก่อนจะเดินไปยังด้านข้างเวทีประลอง
“ซือคงเสวียนเก่งกาจมาก เอาชนะหวงเหยียนิและทั่วป๋าเจียงในหนึ่งกระบวนท่า ทั้งยังดูผ่อนคลายมากด้วย อย่างน้อยตอนนี้ซือคงเสวียนก็ไม่ใช่คนอย่างเย่เฟิงจะเทียบเคียงได้!” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งกล่าวเช่นนั้น ขณะมองซือคงเสวียนด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา
เย่เฟิงเอาชนะหวงเหยียนิข้ามระดับหกขั้น ซือคงเสวียนก็ใช้วิธีที่โหดกว่าตอบโต้กลับไปเช่นกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งในที่แห่งนี้
“ซือคงเสวียนชนะทั่วป๋าเจียงและหวงเหยียนิ หากเขาชนะเย่เฟิงได้อีก เขาก็จะมีคะแนนสี่แต้มและกลายเป็คนเดียวที่เก็บคะแนนสี่แต้มได้ในบรรดาห้าคน เวลานั้นเขาจะกลายเป็ราชบุตรเขย!” อีกคนกล่าวขึ้น คำพูดของเขาราวกับกำลังเตือนผู้คน จึงทำให้แววตาของคนส่วนมากสั่นไหวเล็กน้อย
“ใช่ ซือคงเสวียนชนะสามครั้งแล้ว เพราะฉะนั้นเขาเอาชนะเย่เฟิงได้ไม่มีปัญหาแน่นอน ตำแหน่งราชบุตรเขยไม่ต้องเป็กังวลเลย ข้าเดาว่าคงไม่มีผู้ใดแข่งขันกับซือคงเสวียนได้แล้ว” ผู้คนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา คิดว่าซือคงเสวียนสามารถเอาชนะเย่เฟิงและคว้าชัยชนะทั้งสี่ครั้งมาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็จะกลายเป็ราชบุตรเขย แต่งกับองค์หญิงซินอี๋
“ต่อไป เว่ยเจิ้นเทียนสู้กับเย่เฟิง!”
ขณะนั้นเสียงของขุนนางผู้ดำเนินการดังขึ้นอีกครั้ง ทุกคนในที่แห่งนั้นนิ่งงันไปชั่วขณะ ส่วนเว่ยเจิ้นเทียนได้ยินเสียงนี้ก็ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน พร้อมเผยแสงเฉียบคมเป็ประกายออกจากดวงตาราวกับคมมีดที่สามารถตัดขาดทุกสิ่ง
“สวะ จุดจบของเ้ามาถึงแล้ว!” เว่ยเจิ้นเทียนกล่าวขณะมองเย่เฟิงด้วยสายตาคมกริบ เมื่อกล่าวจบเขาก็เดินออกมาที่กลางเวทีประลองทันที พร้อมกับมีแสงสีทองรายล้อมร่างเขา
“ยังไม่ทันได้ประลองฝีมือกัน เ้าก็มั่นใจขนาดนี้เชียวหรือ?” เย่เฟิงกล่าวพลางแสยะยิ้ม จากนั้นเดินไปยังใจกลางเวทีประลองโดยไร้ซึ่งท่าทีหวาดกลัวใด ๆ
“สู้กับเว่ยเจิ้นเทียน เย่เฟิงผู้นี้จะใช่คู่ต่อสู้ของเขางั้นหรือ?” ผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่งเห็นฉากนี้ก็กล่าวด้วยความสงสัย
“ฝีมือของเว่ยเจิ้นเทียนเกือบทัดเทียมกับซือคงเสวียน หากเว่ยเจิ้นเทียนสู้กับหวงเหยียนิ คงเอาชนะอีกฝ่ายได้ง่าย ๆ แน่ เช่นนั้นเย่เฟิงจะเป็คู่ต่อสู้ของเว่ยเจิ้นเทียนได้อย่างไร?”
“ใช่ ถ้าเย่เฟิงได้อันดับที่ 3 ในการประลองยุทธ์เลือกคู่ครั้งนี้ก็ค่อนข้างเก่งมากแล้ว” คนผู้หนึ่งเห็นเว่ยเจิ้นเทียนและเย่เฟิงยืนประจันหน้ากันก็ออกความคิดเห็นเช่นนั้น ซึ่งไม่ใช่ว่าพวกเขาดูถูกเย่เฟิง แต่ตบะของเย่เฟิงต่ำต้อยจริง ๆ หากเย่เฟิงอยู่ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดเหมือนกันก็คงไม่มีผู้ใดคิดว่าเว่ยเจิ้นเทียนจะเป็ฝ่ายชนะ
“น้องหญิงไม่ต้องดูแล้ว หากเย่เฟิงผู้นั้นรอดจากเงื้อมมือของเว่ยเจิ้นเทียนได้ก็ถือว่าไม่เลว เ้าไม่ต้องหวังหรอกว่าเขาจะรอดได้อีก” จ้าวหยางกล่าวกับจ้าวซินอี๋ ด้วยคำพูดที่แฝงความดูถูกอยู่เล็กน้อย หลังจากเย่เฟิงชนะหวงเหยียนิ จ้าวหยางก็ยิ่งตระหนักได้ถึงภัยคุกคามจากเย่เฟิง ดังนั้นในใจเขาจึงหวังว่าเว่ยเจิ้นเทียนจะจัดการกับเย่เฟิงได้
“การต่อสู้ยังไม่เริ่ม เสด็จพี่อย่าด่วนตัดสินจะดีกว่า!” จ้าวซินอี๋กล่าวพลางขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยท่าทีไม่พอใจเป็อย่างมาก ใน่เวลาตึงเครียดเช่นนี้ จ้าวซินอี๋เกลียดคำพูดคำจาของจ้าวหยางมากที่มองเย่เฟิงในแง่ลบเช่นนั้น
“เอาชนะขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 อย่างเ้า มันจะสิ้นเปลืองกำลังสักแค่ไหนกันเชียว?”
บนเวทีประลอง เว่ยเจิ้นเทียนยืนตระหง่านพลางเชิดหน้ามองเย่เฟิง “ข้าจะทำให้เ้าต้องเสียใจกับการกระทำของตัวเอง!”
น้ำเสียงของเว่ยเจิ้นเทียนเ็า แต่ในระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น พลังปราณก็พวยพุ่งออกจากร่างเขา พร้อมกลิ่นอายแห่งารายล้อมร่าง เมื่อผสานกับแสงสีทองนั้นก็ทำให้ห้วงอากาศรอบกายเขาหยุดนิ่งเล็กน้อย
“วูบ!” เสียงหนึ่งพลันดังขึ้น จู่ ๆ เว่ยเจิ้นเทียนหายตัวไปจากที่เดิม ก่อนจะปรากฏตัวที่เบื้องหน้าเย่เฟิงในนาทีต่อมา พร้อมกับวาดฝ่ามือที่อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้างโจมตีเย่เฟิงทันที ราบกับการโจมตีนี้สามารถทำลายได้ทุกสิ่ง
“ตายซะเถอะ!” เว่ยเจิ้นเทียนแผดเสียงะโด้วยโทสะ เมื่อพลังฝ่ามือใกล้ถึง ห้วงอากาศพลันสั่นไหว ราวกับมีพลังทำลายล้างไร้ลักษณ์ห่อหุ้มร่างเย่เฟิง ทำเย่เฟิงนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ เว่ยเจิ้นเทียนสมกับเป็หัวหน้าสี่อัจฉริยบุรุษแห่งแดนชิงอวิ๋น เพียงแค่ความเร็วที่ปลดปล่อยการโจมตีก็ไม่ใช่สิ่งที่หวงเหยียนิจะเทียบเคียง อาจกล่าวได้ว่าฝีมือของทั้งสองนั้นอยู่คนละชั้นกัน
“ฝ่ามือภูผาพิฆาต!”
เมื่อฝ่ามือของเว่ยเจิ้นเทียนกำลังเข้าใกล้ร่างเย่เฟิง จู่ ๆ เย่เฟิงก็วาดฝ่ามือโจมตีเช่นกัน พร้อมเสียงของพลังภูผาพิฆาตกู่ร้องดังสนั่น และยังผสานไปด้วยพลังหอกอันน่าสะพรึงกลัว
“ตูม!!!” เสียงะเิดังกึกก้องทั่วฟ้าดิน พร้อมกับคลื่นทำลายล้างเข้าปกคลุมไปทั่วพื้นที่ ฝุ่นทรายคละคลุ้งไปทั่วทั้งเวทีประลอง จากการปะทะครั้งนี้ทำเวทีประลองสั่นะเืจนมีเศษหินแตกหักร่วงกราวลงมา
ภายใต้พลังสะท้อนกลับที่ทรงอานุภาพนั้น ทำเย่เฟิงและเว่ยเจิ้นเทียนเซถอยหลังคนละหนึ่งก้าว พร้อมกับแขนสั่นเทาเล็กน้อย
เว่ยเจิ้นเทียนนิ่งงันไปครู่หนึ่ง เขามองไปที่เย่เฟิงก่อนกล่าวว่า “มิน่าเ้าถึงเอาชนะหวงเหยียนิกับเหลียงปู่ผั่วได้ พลังกายแค่นี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสองคนจะต้านทาน แต่เ้าก็อย่าคิดว่าพึ่งพาพลังกายนี้แล้วจะสู้กับข้าได้ ข้าจะบอกเ้าให้ ระหว่างเ้ากับข้ายังห่างชั้นกันอีกเยอะ!”
ระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น เว่ยเจิ้นเทียนเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง เห็นเขาร่ายสองฝ่ามือไปมา ก่อนจะมีลูกบอลแสงทำลายล้างรวมตัวที่ด้านหน้าเขา ก่อนจะปล่อยออกไปโจมตีเย่เฟิง
“หึ!” เย่เฟิงแค่นเสียงเ็าเมื่อเห็นเว่ยเจิ้นเทียนปล่อยพลังที่น่าสะพรึงกลัวโจมตีอีกครั้ง จากนั้นเขาใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อหลบหนีลูกบอลแสงทำลายล้างนั่น
“หอกดุจั!”
ขณะเดียวกันหอกัเงินประกายปรากฏในมือของเย่เฟิง ทันใดนั้นรังสีหอกพุ่งเข้าหาเว่ยเจิ้นเทียนทันที
“ไปให้พ้น!”
ดวงตาของเว่ยเจิ้นเทียนส่องประกายเยือกเย็น จากนั้นเขาวาดฝ่ามือโจมตีเช่นกัน แต่จู่ ๆ ฝ่ามือแปรเปลี่ยนเป็เงาสิงโตที่น่าเกรงขาม ก่อนจะเข้าปะทะกับรังสีหอกของเย่เฟิง ตามมาด้วยเสียงะเิดังสนั่น การโจมตีทั้งสองเข้าปะทะกันอีกครั้ง พร้อมคลื่นทำลายกวาดล้างไปทั่วฟ้าดิน ทำพื้นเวทีประลองเกิดรอยร้าวราวกับว่าจะพังทลายลงได้ทุกเมื่อ
“ตาย!”
เว่ยเจิ้นเทียนเป็ฝ่ายรุกอย่างเห็นได้ชัด หลังจากปะทะกับเย่เฟิง เว่ยเจิ้นเทียนก็ควบแน่นพลังโจมตีอีกครั้ง ฝ่ามือก็ยังผสานด้วยพลังอันบ้าคลั่งจนปิดล้อมพื้นที่รอบกายเย่เฟิง โดยไม่ปล่อยให้เย่เฟิงได้มีโอกาสพักหายใจ
“พลังโจมตีของเว่ยเจิ้นเทียนบ้าคลั่งมาก หากพูดถึงเื่พลังโจมตี การโจมตีของเว่ยเจิ้นเทียนไม่อ่อนด้อยไปกว่าซือคงเสวียน และไม่ใช่คนที่เย่เฟิงจะต่อกรด้วยได้”
ผู้คนเห็นเว่ยเจิ้นเทียนกระหน่ำโจมตีด้วยพลังอันน่าทึ่งไม่ยั้งต่างก็ตกตะลึง คนส่วนใหญ่คิดว่าเย่เฟิงคงจะอดทนได้ไม่นานภายใต้การโจมตีที่บ้าคลั่งของเว่ยเจิ้นเทียน
ด้านซือคงเสวียน เขาสังเกตการณ์อยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ สีหน้าของเขาก็ยังคงเฉยเมยราวกับว่าเื่ทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับเขา
“สวะ ข้าอยากเห็นนักว่าเ้าจะทนได้สักกี่น้ำ!” เว่ยเจิ้นเทียนแสยะยิ้มอย่างเ็า ในเื่ของพลังโจมตีเขามั่นใจเป็อย่างมากว่าจะกำราบเย่เฟิงได้
ขณะนั้นภายใต้การโจมตีอันบ้าคลั่งของเว่ยเจิ้นเทียน เย่เฟิงก็ถูกซัดถอยไปข้างหลังและค่อย ๆ อ่อนแรงลง
“สู้กับเ้า ข้าไม่ต้องยืนหยัดหรอก” เย่เฟิงยิ้มจาง ๆ แม้เขาร่นถอยหลัง แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉยเช่นเดิม คล้ายมีพลังที่ยังไม่ได้ปลดปล่อยออกมา
“คุยโวโอ้อวด!”
เว่ยเจิ้นเทียนเห็นเย่เฟิงยังคงปากแข็งก็พูดขึ้นว่า “ภายใน 10 กระบวนท่า ข้าจะเอาชีวิตของเ้ามาให้จงได้!”
“ฝ่ามือ์คลั่ง!”
กล่าวยังไม่ทันจบดี เว่ยเจิ้นเทียนก็วาดฝ่ามือโจมตีเย่เฟิงสามครั้งต่อเนื่อง ซึ่งฝ่ามือยังผสานด้วยพลังอันบ้าคลั่ง และอัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างไร้ที่สิ้นสุด อีกอย่างยังมีอำนาจขั้นผันแปร่ปลายไหลเวียนอยู่ด้วย
เย่เฟิงใช้ย่างก้าวดาวตกผีเสื้อ แต่ดูเหมือนจะหลบหลีกสามฝ่ามือของเว่ยเจิ้นเทียนได้อย่างยากลำบาก จากนั้นได้ยินเสียงคำรามของสิงโต ก่อนจะปรากฏิญญาาสิงโตเกล็ดทองขั้นครามที่ด้านหลังของเว่ยเจิ้นเทียน มันพุ่งเข้าหาเย่เฟิงด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาดและพร้อมที่จะกลืนกินร่างเย่เฟิง
ในห้วงอากาศเต็มไปด้วยพลังอสูรที่น่ากลัวจนแพร่กระจายไปยังผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีประลอง ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงแรงกดดัน
“หอกมรณะ!” เย่เฟิงแผดเสียงะโด้วยโทสะ พลันตัวหอกัเงินประกายเปล่งแสงจ้า ก่อนจะแทงออกไปหาศัตรู รังสีหอกที่โคจรด้วยพลังมรณะนั้นเข้าโจมตีิญญาาสิงโตเกล็ดทองของเว่ยเจิ้นเทียนจนมันล่าถอยไปข้างหลัง ทั้งยังส่งเสียงเ็ปทุกข์ทรมาน
“แข็งแกร่งมาก!”
ผู้คนเห็นฉากนี้ต่างก็ตกตะลึง พวกเขาส่วนใหญ่รู้ดีว่าพลังของิญญาาสิงโตเกล็ดทองเป็อย่างไร ซึ่งพลังของมันน่าหวาดกลัวและแทบจะหาคำใดมาอธิบายไม่ได้ ทว่ากลับถูกหนึ่งหอกของเย่เฟิงซัดถอยหลัง เห็นชัดว่าพลังหอกนี้ของเย่เฟิงแข็งแกร่งมากเพียงใด
“พลังหอกนี้ของเย่เฟิงทรงอานุภาพกว่าการโจมตีที่เขาสำแดงในการต่อสู้ก่อนหน้านี้มาก เหมือนว่าข้าจะััได้ถึงพลังแห่งอำนาจในหอกนี้ ทั้งยังอยู่เหนือกว่าขั้นผันแปร่ปลายด้วย หรือว่าอำนาจหอกของเย่เฟิงจะบรรลุขั้นกายาแล้ว?”
“เป็ไปได้ยังไง? เย่เฟิงยังอายุไม่ถึง 17 ปี ตบะก็เพิ่งจะบรรลุถึงขั้นยุทธ์แท้ที่ 3 เท่านั้น แล้วจะเป็ไปได้อย่างไรที่พลังแห่งอำนาจจะบรรลุขั้นกายา เ้าดูผิดแล้วล่ะ”
ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา แต่ในความเป็จริง คนที่กล่าวเมื่อครู่พูดถูก ในหอกของเย่เฟิงผสานด้วยอำนาจหอกขั้นกายา่ต้น นี่จึงทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝีมือสูงส่งััถึงมันได้ การจะจัดการกับผู้ฝึกยุทธ์อย่างเว่ยเจิ้นเทียน หากเย่เฟิงใช้อำนาจขั้นผันแปรก็ย่อมเป็ฝ่ายเสียเปรียบ ดังนั้นเขาจำเป็ต้องทำเช่นนี้ ถึงอย่างไรเขาเย่เฟิงก็ไม่ได้ปลดปล่อยพลังแห่งอำนาจที่ตนเองควบคุมออกมาทั้งหมด หาไม่แล้วจะน่าใมากเกินไปและอาจตกเป็เป้าของผู้คนได้
“คิดไม่ถึงว่าจะซัดิญญาาเกล็ดทองของข้ากระเด็นได้ ข้าจำต้องยอมรับเลยว่าเ้าเป็ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งสุดในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ที่ต่ำกว่าขั้นยุทธ์แท้ที่ 5 ที่ข้าเคยพบเจอมา แต่ข้าว่าทุกอย่างควรถึงเวลาจบได้แล้ว!” เว่ยเจิ้นเทียนเห็นหอกของเย่เฟิงซัดิญญาาของเขาะเืจนล่าถอยได้ จึงกล่าวเช่นนั้นด้วยเสียงเย็นเยียบ จากนั้นพลังปราณที่แกร่งกว่าเดิมพวยพุ่งออกจากร่างเขา พร้อมแสงแห่งาเปล่งประกายอย่างเจิดจ้า ทำให้ร่างเว่ยเจิ้นเทียนดูสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม
เพียงชั่วพริบตา พลังปราณของเว่ยเจิ้นเทียนก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง จนพลังปราณที่วนเวียนอยู่ในห้วงอากาศปะทุถึงขีดสุด
“นี่มัน...”
ผู้คนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นต่างก็ใ นาทีนี้เว่ยเจิ้นเทียนราวกับเปลี่ยนไปเป็คนละคน ทรงพลังและแข็งแกร่งขึ้นยิ่งกว่าเดิม พลังปราณก็เพิ่มพูนอย่างมหาศาลจนมิอาจใช้คำว่าน่าสะพรึงกลัวมาอธิบายได้
“คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเว่ยเจิ้นเทียนจะมีพลังโจมตีเช่นนี้ ถึงกับปลดปล่อยศักยภาพที่อยู่ในร่างกายของเขาออกมาได้อย่างเต็มที่ ทำให้พลังต่อสู้ของตนบรรลุถึงระดับใหม่ อีกอย่างในการต่อสู้ของเว่ยเจิ้นเทียนกับซือคงเสวียน เขายังไม่ทันใช้พลังนี้แต่ก็พ่ายแพ้ให้กับซือคงเสวียนแล้ว ทว่าพอดูไปแล้ว บัดนี้เขาก็ค่อนข้างเสียเปรียบอยู่ไม่น้อยทีเดียว” ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นยุทธ์แท้สูงสุดคนหนึ่งกล่าวขึ้น
คนส่วนใหญ่เพิ่งตระหนักได้ว่าตอนที่เว่ยเจิ้นเทียนสู้กับซือคงเสวียน เขายังไม่มีโอกาสได้ปลดปล่อยพลังที่ทรงอานุภาพที่สุดออกมา
ขณะที่เย่เฟิงมองพลังปราณของเว่ยเจิ้นเทียนที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างมหาศาลก็อดตะลึงเล็กน้อยไม่ได้ แต่ตอนนี้เขาเห็นเว่ยเจิ้นเทียนกำลังยิ้มหยันดูถูกเขา จากนั้นมีฝ่ามือมหึมาพุ่งลงมาจากฟากฟ้าราวกับปกคลุมทั่วทั้งเวทีประลอง ทำให้เย่เฟิงไร้ทางหนีทีไล่
“ตายซะเถอะ!” เว่ยเจิ้นเทียนเหยียดยิ้มอย่างเ็า สีหน้าเย็นเยียบของเขานั้นแฝงไว้ด้วยความอาฆาตแค้น ราวกับว่าเขาจะสังหารเย่เฟิงในการโจมตีนี้
“การโจมตีจะทรงพลังมากเกินไปแล้ว เย่เฟิงเขาจะรับมือไหวหรือ? คงไม่ใช่ว่าถูกฆ่าตายหรอกนะ!” ผู้คนเห็นฝ่ามือมหึมาของเว่ยเจิ้นเทียนต่างก็คิดในใจเช่นนี้ พวกเขาคิดว่าเย่เฟิงไม่มีทางรอดชีวิตจากการโจมตีที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ได้
“ฟึ่บ!”
แต่เย่เฟิงกลับเคลื่อนไหวในตอนที่ฝ่ามือมหึมาของเว่ยเจิ้นเทียนใกล้เข้ามา เขาก้าวออกมาพร้อมกับแสงดาวปกคลุมร่าง โดยที่เขาไม่สนใจภัยคุกคามจากฝ่ามือมหึมานั้นแม้แต่นิดเดียว
เย่เฟิงเคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ตอนที่เย่เฟิงปรากฏตัวอีกครั้งก็มาถึงตัวเว่ยเจิ้นเทียนแล้ว พร้อมกับอำนาจฟ้าดินพวยพุ่งออกจากร่าง นั่นคืออำนาจฟ้าดินขั้นกายาที่ทรงอานุภาพกว่าอำนาจขั้นผันแปรไม่รู้กี่เท่า
