“ฮึ” เมิ่งเต๋อหลางร้องเสียงเย็นขึ้นครั้งหนึ่ง “เด็กอายุห้าขวบสามารถถอนพิษของท่านอ๋องได้ ท่านอ๋องคงไม่ได้กำลังล้อเล่นกับตาแก่หรอกกระมัง?”
กู้จวิ้นเฉินไม่ได้ใส่ใจกับท่าทางไม่สบอารมณ์ของเขา ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเริ่มต้นขึ้นเมื่อกู้จวิ้นเฉินต้องพิษ เป็เวลาหกปีเต็มๆ เมิ่งเต๋อหลางนั้นแข็งกร้าวเ็าเพียงภายนอก แต่ในใจที่จริงแล้วเป็คนใจอ่อน “หมอเทวดาเมิ่งฟังดูสักหน่อยจะเป็ไรเล่า”
“ข้าถอนพิษสู้ท่านหมอเทวดาเมิ่งไม่ได้ ความเข้าใจต่อฤทธิ์ของยาก็สู้ท่านหมอเทวดาเมิ่งไม่ได้ แต่ข้าถอนพิษของท่านอ๋องได้ นี่คือความจริง” หลี่ลั่วตอบ “ท่านหมอเทวดาเมิ่งนั้นเป็ถึงหมอเทวดา ไม่ใช่คนที่พ่ายแพ้ไม่ได้ ข้าถอนพิษได้หรือไม่ แค่ดูก็รู้แล้ว”
“เช่นนั้นตาแก่เช่นข้าจะคอยดูก็แล้วกัน”
“แต่พิษของท่านอ๋องไม่ใช่จะถอนได้ภายในระยะเวลาวันสองวัน ดูเหมือนท่านหมอเทวดาเมิ่งจะไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา ดังนั้นข้าจึงมีวิธีหนึ่ง” หลี่ลั่วตอบ
“วิธีการอันใด?” เมิ่งเต๋อหลางถาม นี่มันเ้าตัวน้อยที่ทำตัวแปลกประหลาดชัดๆ
“พิษของปลาปักเป้า ท่านหมอเทวดาน่าจะรู้อยู่แล้วใช่หรือไม่?”
“ฮ่าๆๆ...” เมิ่งเต๋อหลางหัวเราะเสียงดัง ในเสียงหัวเราะนั้นเต็มไปด้วยพลังถึงสิบส่วน “เด็กน้อยเอ๋ย ท่านหมอมือใหม่ทุกคนต่างก็รู้ทั้งนั้น”
“แต่พิษของปลาปักเป้าถอนพิษในกระแสเืของท่านอ๋องได้” คำพูดประ
โยคนี้ของหลี่ลั่วต่างหากเล่าที่เป็เหมือนลูกะเิ
“เ้าพูดอันใดกัน?” เมิ่งเต๋อหลางก้าวขึ้นหน้ามาก้าวหนึ่ง
“พิษของปลาปักเป้าถือเป็พิษทางชีวภาพ อาจเรียกว่าพิษธรรมชาติก็ได้เช่นกัน พิษในกระแสเืของท่านอ๋องนั้นเรียกว่า ตะกั่ว พิษทั้งสองชนิดนี้สามารถเกิดการััและรวมตัวกันได้ สิ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันนั้นไม่มีพิษ และสามารถระบายออกมาจากภายในร่างกายของคนได้ อีกทั้งพิษธรรมชาตินั้นต่อต้านพิษตะกั่วที่ทำให้ร่างกายของท่านอ๋องได้รับความเสียหาย” หลี่ลั่ววิเคราะห์ให้ฟัง
“อันใดคือพิษทางชีวภาพ พิษตะกั่ว ข้าฟังไม่เข้าใจ” เมิ่งเต๋อหลางขมวดคิ้วแน่น
“ตะกั่วคือชื่อของพิษในร่างกายของท่านอ๋อง ท่านถอนพิษไม่ได้ ย่อมไม่เข้าใจในพิษชนิดนี้ พิษทางชีวภาพคือพิษที่มาจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิด (สัตว์, ต้นไม้) อันทำให้เกิดเป็สิ่งของซึ่งเป็พิษ พิษธรรมชาติหมายถึงพิษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมันเอง พิษเหล่านี้แม้ตัวมันจะเป็พิษ แต่ก็มีสรรพคุณในทางยาอยู่” หลี่ลั่วอธิบาย
พิษของปลาปักเป้ามีสรรพคุณทางยาหรือ?
เพราะพิษของปลาปักเป้านั้นรุนแรงมาก ดังนั้นแพทย์จึงไม่นำมันมาทำการศึกษา แต่ทฤษฎีของหลี่ลั่วนั้นเมิ่งเต๋อหลางเพิ่งจะได้ยินเป็ครั้งแรก “แม้ว่าตาแก่เช่นข้าจะไม่เข้าใจที่เ้าพูด แต่ที่เ้าบอกว่าพิษของปลาปักเป้ามีสรรพคุณทางยานั้นข้าเห็นด้วย พิษและยาในใต้หล้านี้ความจริงแล้วมันเป็ของแขนงเดียวกัน เพียงแต่มีพิษบางชนิดยังไม่ได้ถูกค้นพบว่ามันมีสรรพคุณทางยา”
“ท่านหมอเทวดาเมิ่ง ส่วนที่มีพิษของปลาปักเป้าคือ รังไข่ ตับ ต่อมาก็คือ ไต เื ดวงตา เหงือก และิั แต่ว่าบางส่วนเมื่อนำมาต้มนั้นยุ่งยากยิ่ง อย่างเช่น เรานำเืของปลาปักเป้าให้ท่านอ๋องดื่ม มีท่านหมอเทวดาเมิ่งอยู่ ต่อให้ท่านอ๋องต้องพิษของปลาปักเป้า ขอเพียงรับไปในปริมาณที่ไม่ถึงแก่ชีวิตย่อมไม่เกิดเื่อันใด ถูกต้องหรือไม่?” ก่อนหน้านี้หลี่ลั่วไม่กล้าใช้เืของปลาปักเป้าบนตัวของสัตว์ปีกทดลอง เพราะสัตว์ปีกเ่าั้ต้านทานพิษในเืของปลาปักเป้าไม่ไหว
“แน่นอน” ความมั่นใจในเื่นี้เมิ่งเต๋อหลางมีอยู่
“เช่นนั้น พวกเรามาพนันกัน ข้าขอพนันว่าหลังจากที่ท่านอ๋องดื่มเืปลาปักเป้าแล้วจะไม่เกิดอาการต้องพิษ หากไม่ถูกพิษ ก็แสดงว่าวิธีการถอนพิษที่ข้าเสนอนั้นสำเร็จ” ขณะที่หลี่ลั่วพูดถึงความรู้เื่สรรพคุณทางยานั้น บนร่างของเขาก็มีแสงสว่างส่องประกายออกมาจนทำให้คนตาพร่ามัว ไม่เหมือนกับความมั่นใจในตนเองของเขาก่อนหน้านี้ที่แสดงออกมา แสงสว่างประเภทนี้เป็ออร่าชนิดหนึ่ง ช่างดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก
“แต่ถ้าหากว่าท่านอ๋องต้องพิษเล่า?” เมิ่งเต๋อหลางย้อนถาม
เสียงหัวเราะของหลี่ลั่วนั้นซุกซนนัก “ข้าเป็เพียงเด็กอายุห้าขวบคนหนึ่ง”
“เ้า...” เมิ่งเต๋อหลางถูกประโยคนี้ของเขาทำให้โมโหแทบตาย เขามองไปที่กู้จวิ้นเฉิน “เื่นี้ท่านอ๋องเห็นว่าเป็เช่นใดพ่ะย่ะค่ะ?”
“ลองดูก็ไม่เป็ไร” กู้จวิ้นเฉินไม่แม้แต่จะลังเล สั่งการให้พ่อบ้านไปซื้อปลาปักเป้าในทันที
ปลาปักเป้าเป็สิ่งมีพิษจึงหาซื้อในท้องตลาดไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่ว่าจ้างให้ชาวประมงออกไปจับปลาบัดเดี๋ยวนั้น เมื่อเป็เช่นนี้ย่อม้าเวลา และใน่เวลาที่รอคอยอยู่นี้ หลี่ลั่วก็ฟุบลงบนพรมนอนหลับไป ยามที่เขานอนหลับนั้นขาทั้งสี่ชี้ขึ้นฟ้า ดูแล้วไม่มีเล่ห์เหลี่ยมอันใด
กู้จวิ้นเฉินเห็นเข้าจึงถอดเสื้อคลุมชั้นนอกของตนมาห่มบนร่างของหลี่ลั่ว “หมอเทวดาเมิ่ง วันนี้ต้องมาทะเลาะกับเด็กเสียแล้ว” กู้จวิ้นเฉินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปรับให้เบาลง
“ไม่ใช่คำสั่งของท่านอ๋องหรอกหรือ” เมิ่งเต๋อหลางต้องมาทะเลาะกับเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่จริงแล้วเขารู้สึกขัดเขินยิ่งนัก แม้ว่าเขาจะเป็คนอารมณ์ร้าย แต่ด้วยเหตุที่ตนเองไม่มีบุตรหลาน ทั้งยังชมชอบเด็กเล็กยิ่งนัก เด็กที่มีหน่วยก้านชาญฉลาดเช่นหลี่ลั่วทั้งยังชอบเรียนวิชาแพทย์อีกด้วย เขายิ่งรู้สึกว่าหาได้ยากยิ่งนัก แต่วันนี้ที่เขาปฏิบัติต่อหลี่ลั่วอย่างโหดร้าย มิใช่ว่ามาจากคำสั่งของท่านอ๋องท่านนี้หรอกหรือ “กลับทำให้ท่านอ๋องเกลียดขี้หน้าตาแก่ที่ดุร้ายเกินไปเสียแล้ว”
“หมอเทวดาเมิ่งมีความเห็นเช่นใดบ้าง?” กู้จวิ้นเฉินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ราวกับตัวเขาให้เมิ่งเต๋อหลางเป็ผู้ลองใจเด็กน้อยคนนี้
ปัญหานี้ทำให้เมิ่งเต๋อหลางเงียบขรึมลง “เขา...พูดลำบากนัก”
พูดลำบาก เป็ความคิดที่ถูกต้องแท้จริงในใจของกู้จวิ้นเฉิน เป็เด็กชายตัวน้อยอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น ยังอยู่ในวัยที่สมควรจะเล่นดินเล่นทราย ที่จริงแล้วเด็กน้อยในวัยขนาดนี้เพิ่งจะปูพื้นฐาน รู้จักตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว แต่หลี่ลั่วกลับอ่านหนังสือแพทย์เองเสียแล้ว และเมื่อสักครู่ที่วิเคราะห์เื่พิษของปลาปักเป้านั้นดูมีความรู้ความชำนาญในคำพูดยิ่งนัก ทำให้ผู้คนคิดว่าเขาเป็ท่านหมอมีความรู้ทางการแพทย์อย่างลึกซึ้ง
แต่ทว่าในความเป็จริงแล้ว เขาเป็เพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเด็กน้อยผู้นี้ให้ตนช่วยหาผู้ชาย...ที่หน้าตาดี รูปร่างดี และดีกับเขาแล้ว กู้จวิ้นเฉินก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที
เมื่อถึงยามเซินเจิ้ง[1] หลี่ลั่วก็ยังคงหลับไม่ตื่น และภายในห้องหนังสือเหลือเพียงกู้จวิ้นเฉินและหลี่ลั่ว เมิ่งเต๋อหลางออกไปตั้งนานแล้ว กู้จวิ้นเฉินวางหนังสือลง เขาลุกขึ้นมาบริหารร่างกายและกระดูกของตน สายตาของเขามองไปที่หลี่ลั่ว จากนั้นจึงหัวเราะออกมาพรืดหนึ่งด้วยความรู้สึกอดใจไม่ไหวอยู่บ้าง
แต่ทว่ากู้จวิ้นเฉินก็พลันเก็บงำรอยยิ้มของตนอย่างรวดเร็ว
หลี่ลั่วยังคงนอนท่าเดิม แต่น้ำลายของหลี่ลั่วไหลเยิ้มออกมาจากมุมปากของเขา ท่าทางเช่นนั้นสิจึงจะเหมือนเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง
กู้จวิ้นเฉินเดินเข้าไปใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำลายของเขาจนแห้ง แล้วกลับยัดผ้าเช็ดหน้าใส่ไว้ในมือของหลี่ลั่ว น้ำลายนั้นเช็ดให้แห้งได้ แต่หลักฐานนั้นห้ามทำลาย จากนั้นจึงตบไปที่ใบหน้าของเขา “ตื่นๆ...”
หลี่ลั่วพลิกตัว หันก้นให้กู้จวิ้นเฉิน แล้วนอนต่อ
กู้จวิ้นเฉินครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ตบเข้าไปที่ก้นของหลี่ลั่วเต็มๆ ฝ่ามือ “ตื่นเร็วเข้า”
“ทำอันใดน่ะ...ผู้ใดลูบก้นของข้า” หลี่ลั่วลุกพรวดขึ้น จากนั้นมองไปรอบๆ อย่างเหลอหลาอยู่บ้าง เมื่อเห็นกู้จวิ้นเฉินเข้าก็พูดขึ้น “ท่าน...ไฉนท่านจึงลูบก้นข้า”
ก้นของเกย์นั้นจะมาลูบซี้ซั้วไม่ได้นะ
“ตื่นได้แล้ว ลุกขึ้นมาล้างหน้าล้างตาแล้วนั่งพักก่อน อีกประเดี๋ยวจะกินอาหารเย็น” กู้จวิ้นเฉินชี้ไปที่มือของเขา “บนผ้าเช็ดหน้าล้วนเป็น้ำลายของเ้าทั้งสิ้น”
เ้าโรคจิต
นี่เป็เพียงความคิดเดียวที่หลี่ลั่วมีต่อกู้จวิ้นเฉิน
อาหารเย็นนั้นย่อมต้องกินที่จวนฉีอ๋อง แต่เมื่อกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว บ่าวไพร่ที่ไปหาซื้อปลาปักเป้ายังคงไม่กลับมา ดังนั้นหลี่ลั่วจึงเอ่ยว่า “ท่านพี่ฉีอ๋อง คืนนี้ให้ข้าอยู่ที่นี่เถิด”
กู้จวิ้นเฉินชะงักไปนิดเดียวเท่านั้น แต่กลับรีบกล่าวทันทีว่า “ได้”
หลี่ลั่วต้องพักอาศัยอยู่ที่จวนฉีอ๋อง แต่ในจวนฉีอ๋องไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ให้เขาผลัดเปลี่ยน ดังนั้นหลี่ฉางเฉิงจึงขี่ม้ากลับไปที่จวนโหวเพื่อนำอาภรณ์มา
เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งถึงยามซวี[2] บ่าวรับใช้จึงหิ้วปลาปักเป้ากลับมาหนึ่งถัง บ่าวรับใช้ของเมิ่งเต๋อหลางนำปลาตัวหนึ่งไปจัดการทำความสะอาด จากนั้นกู้จวิ้นเฉินก็ดื่มเืปลาปักเป้าในปริมาณที่เหมาะสมลงไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยท่ามกลางสายตาที่จับจ้องอยู่ของหลี่ลั่วและเมิ่งเต๋อหลาง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เมิ่งเต๋อหลางตรวจร่างกายของกู้จวิ้นเฉิน จากนั้นเมิ่งเต๋อหลางพลันสะดุ้งใ สายตาของเขาเคลื่อนย้ายจากร่างของกู้จวิ้นเฉินไปหยุดอยู่บนร่างของหลี่ลั่วอย่างคาดไม่ถึง
“เป็อันใดไป?” กู้จวิ้นเฉินเลิกคิ้ว
เมิ่งเต๋อหลางทำท่าจะพูดแล้วหยุดชะงัก สุดท้ายหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งเฮือก “ในร่างกายของท่านอ๋อง ไม่มีพิษของปลาปักเป้าจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้น...” จังหวะการเต้นของหัวใจกู้จวิ้นเฉินรัวเร็วขึ้นในทันใด แม้ว่าเขาจะพยายามควบคุมสีหน้าตื่นเต้นบนใบหน้าเอาไว้ แต่ในน้ำเสียงยังคงเผยให้เห็นถึงอารมณ์ภายในใจ อย่างไรเขาก็มีอายุเพียงสิบสามปี ยังคงเป็หนุ่มน้อยที่ยังเป็ผู้ใหญ่เพียงครึ่งเดียว
“ดังนั้น...บางที...กล่าวได้ว่าวิธีการถอนพิษของเด็กน้อยนั้นถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
คนทั้งสอง ดวงตาสี่ดวง ต่างมองไปที่หลี่ลั่ว หัวใจนั้นไม่เชื่อฟังตนเองแล้ว หลี่ลั่วถูกพวกเขาจ้องมองจนรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด “ค่าถอนพิษเป็เงินจำนวนสองหมื่นตำลึง ห้ามมาเล่นตลกนะพ่ะย่ะค่ะ”
กู้จวิ้นเฉินมองเขา มองตลอดเวลา...ราวกับว่าหากเขาเคลื่อนย้ายสายตา เด็กน้อยคนนี้ก็จะหายสาบสูญไปจากโลกของเขา “ลั่ว...”
หลี่ลั่วกะพริบตาปริบๆ ไฉนจึงมาเรียกเขาอย่างสนิทชิดเชื้อกะทันหันเช่นนี้เล่า ที่จริงแล้วกู้จวิ้นเฉินอยากจะเรียก ลั่วเกอเอ๋อร์ แต่เมื่อออกเสียงมาถึงปากแล้ว กลับส่งเสียงออกมาได้เพียงคำว่า ลั่ว จิตใจของเขาสับสนยิ่งนัก
“เป็ตาแก่เช่นข้าที่ความรู้ตื้นเขิน” เมิ่งเต๋อหลางหันไปยกมือคารวะหลี่ลั่ว “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เรียนรู้วิชาแพทย์ที่ลึกซึ้งเช่นนี้จากเด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่ง ข้าขอถามอย่างหน้าไม่อายอีกครั้งว่า วิชาแพทย์ของเ้าเด็กน้อยอย่างเ้าเรียนมาจากที่ใดกัน?”
คำถามนี้ เป็คำตอบที่หลี่ลั่วตอบไม่ได้จริงๆ “ยังคงต้องขอให้ท่านหมอเทวดาเข้าใจข้าด้วย ลั่วเอ๋อร์รับปากอาจารย์ไว้แล้วว่าจะไม่เปิดเผยเื่ที่เกี่ยวข้องกับเขา”
ผู้ที่หลบลี้ซ่อนตัวจากโลกภายนอกล้วนมีนิสัยเฉพาะอยู่หลายส่วน เมิ่งเต๋อหลางเข้าใจ แต่หลังจากวันนี้แล้ว เมิ่งเต๋อหลางเองไม่อาจมีหน้าเรียกตนเองว่าหมอเทวดาได้อีกต่อไป
หลี่ลั่วดูออกว่าเมิ่งเต๋อหลางผิดหวังเล็กน้อย เกรงว่าจะมีความประหลาดใจอย่างมากต่ออาจารย์ที่ตนได้เอ่ยอ้างถึง คิดจะทำความรู้จักและแลกเปลี่ยนความรู้ด้วยสักหน่อย
“ข้าเข้าใจ” เมิ่งเต๋อหลางคลายความสงสัยอย่างรวดเร็ว
“แต่ถึงแม้ว่าพิษของปลาปักเป้าจะจับพิษของท่านอ๋องได้ ทว่า้าเวลายาวนานมาก ดังนั้นท่านอ๋องห้ามใจร้อนนะพ่ะย่ะค่ะ” หลี่ลั่วย้ำเตือน
“เปิ่นหวางรอมาแล้วหกปี ไม่กลัวที่จะต้องรออีกหกปี”
หกปีที่ผ่านไป ระยะเวลาหกปี กู้จวิ้นเฉินรอมาแล้วหกปีครั้งหนึ่ง ั้แ่ในวัยที่เขาอ่อนแอที่สุด รอมาจนถึงบัดนี้ร่างทั้งร่างเย็นเฉียบไปหมดแล้ว จิตใจนั้นก็แข็งกระด้างเช่นกัน
หลี่ลั่วมองไปที่กู้จวิ้นเฉิน บนร่างของหนุ่มน้อยในวัยเพียงสิบสามปีผู้นี้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เหมาะสมกับวัยของเขาอยู่ นั่นก็คือสิ่งที่ศึกนองเืเมื่อหกปีก่อนได้เหลือไว้ให้เขาในความทรงจำ
เมื่อรับรู้ได้ถึงการจดจ้องตนจากหลี่ลั่ว กู้จวิ้นเฉินจึงลุกขึ้นเดินไปถึงข้างกายเขา “ง่วงหรือไม่?”
หลี่ลั่วส่ายหน้า “ยามบ่ายนอนไปเยอะมากพ่ะย่ะค่ะ”
“ในจวนอ๋องมีบ่อน้ำพุร้อนอยู่แห่งหนึ่ง อยากไปอาบน้ำพุร้อนหรือไม่?”
ดวงตาของหลี่ลั่วเป็ประกาย “อยาก”
กู้จวิ้นเฉินยกมุมปากโค้งขึ้น หัวเราะออกมาอย่างหาได้ยากยิ่ง เพียงแต่เขาเพิ่งจะเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าวก็พบว่าหลี่ลั่วยังตามมาไม่ทัน เขาจึงหยุดชะงักฝีเท้า รอจนกระทั่งหลี่ลั่วเดินตามมาทันตนเอง จากนั้นเขาจึงผ่อนฝีเท้าเดินช้าลง กลับพบว่าขาของหลี่ลั่วนั้นสั้นเกินไปจริงๆ ดังนั้นเขาจึงโน้มตัวลงตรงเข้าไปอุ้มหลี่ลั่วขึ้นมา
กลิ่นหอมอันบางเบานั้นนำพามาซึ่งความรู้สึกเ็าชนิดหนึ่ง ในจมูกของหลี่ลั่วรับรู้ได้ถึงกลิ่นของมัน ไม่รู้ว่าเป็กลิ่นหอมของดอกไม้ทั้งสองข้างทางหรือว่ากลิ่นหอมบนร่างกายของกู้จวิ้นเฉินกันแน่ หลี่ลั่วโอบมือไปกอดลำคอของกู้จวิ้นเฉินเอาไว้แล้วแนบใบหน้าลงไป “ความรู้สึกเย็นๆ ช่างสบายยิ่งนัก”
ปลายเดือนห้า หากนับตามปฏิทินจันทรคติ[3]ก็เข้าสู่เดือนเจ็ดแล้ว จะไม่ร้อนได้อย่างไรเล่า
ร่างกายของกู้จวิ้นเฉินพลันแข็งค้าง
[1] เซินเจิ้ง (申正) คือเวลา 16.00 นาฬิกา
[2] ยามซวี (戌初) คือการนับ่เวลาในสมัยจีนโบราณ เป็่เวลาั้แ่ 19.00-20.59 น.
[3] ปฏิทินจันทรคติ ใช้เรียกรูปแบบการใช้ปฏิทินรูปแบบหนึ่ง โดยใช้ดิถีของดวงจันทร์เพื่อบอกข้างขึ้นข้างแรมบอกเดือน ซึ่งในปัจจุบันระบบปฏิทินที่ใช้รูปแบบนี้ได้เปลี่ยนมาใช้ในรูปแบบปฏิทินสุริยจันทรคติแทนที่ โดยส่วนของจันทรคติจะใช้งานเฉพาะอ้างอิงวันสำคัญทางศาสนา หรืองานเทศกาลฉลองตามประเพณีดั้งเดิม เช่น ปฏิทินจีน ปฏิทินฮิบรู ปฏิทินฮินดู