ในเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนพลังวัตรของเสวียนเทียนก็เลื่อนจากชั้นวิถียุทธ์ขั้นเก้าสู่ขั้นสิบสั้นกว่าเวลาที่เลื่อนจากขั้นแปดสู่ขั้นเก้าก่อนหน้านี้เสียอีก ‘หลินจือหยก’ ที่ได้มาจากอินจิ่วโฉวทำประโยชน์ให้ไม่น้อย
อีกทั้งเคล็ดหลอมปราณวิชาลับชั้นนิลที่เสวียนหงสอนเขาก็มีส่วนช่วยอย่างมากทำให้ปราณภายในของเสวียนเทียนหลอมจนยิ่งเป็ ‘ของแท้’ ขึ้นมา ยิ่งคุณสมบัติสูงขึ้นทำให้การฝึกฝนปราณเบิกนภาไม่มีอุปสรรคกลับกัน ยิ่งฝึกถึง่ท้าย ยิ่งมีแนวโน้มฝึกง่ายมากขึ้น
หลังก้าวสู่ชั้นวิถียุทธ์ขั้นสิบปราณเบิกนภาที่เสวียนเทียนฝึกฝนก็บรรลุถึงขั้นที่เจ็ดปราณภายในร่างกายจับต้องได้ยิ่งกว่าตอนขั้นเก้าเริ่มมีกลิ่นไอของปราณแท้ชั้นเบิกนภาออกมาเลือนราง นี่เป็เค้าลางที่ยามฝึก ‘ปราณเบิกนภา’ ได้ถึงขั้นบรรลุวิชาถึงจะปรากฏขึ้นมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อผ่านการฝึก ‘เคล็ดหลอมปราณ’ ปราณในร่างของเสวียนเทียนตอนนี้ ความรู้สึกจับต้องได้ชัดเจนอย่างมากเทียบกับปราณแท้ของชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งยังนับว่าเหนือกว่าด้วยซ้ำ
ั้แ่ชั้นวิถียุทธ์ขั้นเก้าปราณในร่างของเสวียนเทียนก็ไม่ได้ด้อยกว่าปราณแท้ของผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งตอนนี้เมื่อก้าวสู้ขั้นสิบ ความสามารถเพิ่มมากขึ้นต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสองก็ไม่แน่ว่าจะสู้กับเขาได้ ถึงความสามารถจะเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสองแต่ลึกเข้าไปในเทือกเขาดงอสูรพันลี้ก็ยังคงอันตรายไม่น้อย
ขอบเขตชั้นพลังวัตรของสัตว์อสูรค่อนข้างกว้างไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์ที่แบ่งละเอียด สัตว์อสูรขั้นหนึ่งขั้นสองเทียบเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นวิถียุทธ์ในหมู่สัตว์อสูรขั้นสอง ตัวที่ชั้นต่ำที่สุดพลังวัตรเท่ากับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นวิถียุทธ์ขั้นหกขั้นเจ็ดแต่สัตว์อสูรขั้นสองระดับาากลับมีความสามารถเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ชั้นวิถียุทธ์ขั้นสิบ
ดังนั้น สัตว์อสูรขั้นเดียวกันพลังวัตรต่างชั้นกันอยู่มากสัตว์อสูรขั้นสามเทียบได้กับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งถึงขั้นห้าชั้นล่างเทียบได้กับชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งกับขั้นสอง ชั้นกลางเทียบได้กับขั้นสามชั้นสูงเทียบได้กับขั้นสี่ ชั้นาาชั้นสูงที่สุดเทียบได้กับขั้นห้า
ตอนนี้สัตว์อสูรขั้นสามที่เสวียนเทียนสังหารได้อย่างมากก็เป็เพียงสัตว์อสูรขั้นสามชั้นล่างดังนั้นการเข้าไปในเทือกเขาดงอสูร ต้องฝึก ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ให้ได้ถึงชั้นบรรลุส่วนใหญ่ นี่จะเป็ไพ่ตายรักษาชีวิตของเขาทำให้เขารักษาชีวิตของตนเองในเทือกเขาดงอสูรได้
วันต่อๆ มาเสวียนเทียนใช้เวลาครึ่งหนึ่งของทุกวันฝึกฝน ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ เวลาที่เหลือก็ฝึกฝน ‘ปราณเบิกนภา’ กับ ‘เคล็ดหลอมปราณ’ ต่อยกระดับความแข็งแกร่งของปราณภายในร่างกายไม่หยุด หล่อหลอมคุณสมบัติของปราณภายในเพิ่มความมั่นคงให้พลังวัตร เตรียมพร้อมสู่การก้าวขึ้นชั้นเบิกนภา
‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ เป็วิทยายุทธ์ชั้นนิล สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นวิถียุทธ์แล้ว จะฝึกฝนให้ได้นั้นยากมหาศาล
ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาหากพลังวัตรอยู่ในชั้นวิถียุทธ์โดยทั่วไปคนที่ฝึกวิทยายุทธ์ชั้นนิลได้สำเร็จชั้นบรรลุบางส่วนมีน้อยยิ่งกว่าน้อยนับเป็บุคคลชั้นอัจฉริยะ
แต่คนที่พลังวัตรชั้นวิถียุทธ์แต่ฝึกวิทยายุทธ์ชั้นนิลได้ถึงชั้นบรรลุส่วนใหญ่ มีน้อยจนแทบไม่มี เป็อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะเป็ปีศาจในหมู่อัจฉริยะ มีน้อยราวกับขนหงส์เกล็ดกิเลน
อัจฉริยะเช่นนี้ ดินแดนเล็กๆ อย่างอาณาจักรเสินเตาในร้อยปีแทบไม่เคยมีปรากฏ ต่อให้ทั่วทั้งแผ่นดินเสินโจว จำนวนก็น้อยหายากมาก
แต่หากเสวียนเทียนจะฝึก ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ดูแล้วไม่เป็ปัญหา มีโอกาสเป็ไปได้มากเหตุก็เพราะเสวียนเทียนบรรลุเพลงกระบี่ดับเงาแล้ว
เพลงกระบี่ดับเงาเป็วิทยายุทธ์อย่างน้อยก็ชั้นนิลขั้นกลางถึงแม้ว่าจะยังบรรลุไม่ได้สมบูรณ์ แต่เสวียนเทียนในฐานะมือกระบี่คนหนึ่งเมื่อแตกฉานหนึ่งวิชากระบี่ก็แตกฉานร้อยวิชายุทธ์ย่อมสามารถฝึกฝนวิทยายุทธ์ชั้นนิลได้อย่างราบรื่นไม่มีอุปสรรคทั้งที่พลังวัตรเพิ่งอยู่ในชั้นวิถียุทธ์เท่านั้น
แต่ความยากของวิทยายุทธ์ชั้นนิล อย่างไรก็ยากกว่าวิทยายุทธ์ชั้นทองอยู่มากผู้ที่พลังวัตรไม่ถึงชั้นเบิกนภาแล้วฝึกฝน ลงแรงฝึกเป็เท่าตัวได้ผลมาครึ่งเดียวยากยิ่งนัก ถึงแม้ว่าเสวียนเทียนจะฝึกฝน ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ได้อย่างไม่มีอุปสรรค เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาหลายคนที่ฝึกฝนแล้วอาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ แต่ในเวลาอันสั้นก็ยากจะฝึก ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ให้บรรลุชั้นบรรลุส่วนใหญ่ได้
หนึ่งวัน สองวัน สามวัน...
ชั่วพริบตาก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้วถึงแม้จะเป็่เทศกาลข้ามปี นอกจากพิธีการที่เสวียนเทียนต้องเข้าร่วมจำนวนหนึ่งกับคารวะท่านตา ท่านพ่อท่านแม่และท่านลุงทั้งหลายในโอกาสปีใหม่แล้วเวลาที่เหลือนอกจากนั้นล้วนใช้ไปกับการฝึกฝนแตกต่างจากบรรดาลูกหลานของตระกูลหวงคนอื่นที่ถือโอกาสเทศกาลใหญ่ยามข้ามปีผ่อนคลายจิตใจเที่ยวเล่นตามใจ
ตกดึก วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง!
ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่บนท้องฟ้าโคมไฟบนผืนดินส่องสว่าง ท้องฟ้าผืนดินล้วนสว่างไสว ความมืดมิดถูกขับไล่
วันนี้เป็เทศกาลโคมไฟเป็วันสุดท้ายของเทศกาลใหญ่่ข้ามปีผู้คนบนแผ่นดินเสินโจวล้วนเฉลิมฉลองส่งท้ายในวันนี้ คึกคักเป็อย่างมาก
หมู่บ้านหวงปั้วก็ไม่ต่างกัน สองฟากฝั่งถนนแขวนโคมไฟไว้เต็ม ผู้คนในหมู่บ้านเดินพลุกพล่านมากยิ่งกว่าตอนกลางวันทายปริศนาโคมไฟ ดูพลุไฟ ชมละครร้องเล่น ฟังเื่เล่ารวมถึงหมุนตัวเต้นรำกันเป็กลุ่มใหญ่ เฉลิมฉลองด้วยการละเล่นนานาชนิด
ที่จวนตระกูลหวงในวันนี้ก็จัดงานฉลองครึกครื้นผิดจากปกติ
แต่เทียบกับความครึกครื้นในจวนตระกูลหวงแล้วในลานที่เสวียนเทียนอยู่ กลับนิ่งสงัดและเงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด
ดวงจันทร์กลมบนฟ้า ถึงแม้จะเป็กลางคืนก็ทอแสงสว่างไม่ด้อยไปกว่าตอนกลางวันสักเท่าใดการมองเห็นไม่เป็อุปสรรค เสวียนเทียนกำลังฝึก ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ อยู่ในลาน
ภายใต้แสงจันทร์ เงาร่างของเสวียนเทียนราวกับัเหินดุจพยัคฆ์กระโจน
เสวียนเทียนไม่รู้ว่าฝึก ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ไปแล้วกี่รอบ เหงื่อชุ่มเต็มหน้าผาก ลมหายใจหอบขาดห้วงมองดูก็รู้ว่าตอนนี้เขาต้องเหน็ดเหนื่อยมากแน่
แต่เสวียนเทียนไม่หยุดพัก ยังคงตรากตรำฝึกฝนหลายปีแรกที่เข้าไปในสำนักกระบี่์ แทบทุกวันตอนค่ำ เสวียนเทียนต้องไปฝึกกระบี่ที่เขาด้านหลังตลอดฝึกจนดึกดื่นเที่ยงคืน เสียงระฆังดังขึ้นถึงกลับไปพักผ่อนก่อนเวรตรวจกลางคืนความตั้งมั่นตรากตรำต่อเนื่องหลายปีนี่เอง หล่อหลอมให้เสวียนเทียนมีหัวใจที่มุ่งมั่นเมื่อตั้งใจจะทำเื่ใดแล้วก็จะอดทนตั้งใจทำจนถึงที่สุดไม่หยุดเพราะความเหนื่อยยากที่ขวางทางอยู่
ที่นอกลาน เสวียนหงยืนอยู่เงียบๆมองเงาร่างของเสวียนเทียนที่กำลังฝึกฝน จนกระทั่งเสวียนเทียนฝึกจนจบรอบหนึ่งกำลังจะเริ่มฝึกรอบที่สองต่อเสวียนหงก็เดินเข้ามา
“เทียนเอ๋อร์!”
เงาร่างของเสวียนเทียนหยุดชะงัก หันมาถาม “ท่านพ่อ ทำไมท่านมาอยู่ตรงนี้ได้เล่า?”
พูดจบแววตาของเสวียนเทียนก็อึ้งงันไปเขาเห็นท่าทางของเสวียนหงต่างไปจากปกติมาก มีกลิ่นไอของยอดฝีมือชั้นเบิกนภาแผ่กระจายออกมา
เสวียนเทียนตื่นเต้นดีใจ “ท่านพ่อพลังวัตรของท่าฟื้นกลับมาแล้วหรือ?”
เสวียนหงยิ้ม บอกว่า “ต้องขอบคุณยาประสานไขัของเ้าทำให้เส้นปราณที่ขาดของพ่อฟื้นกลับมาไม่น้อย แต่พ่อาเ็หนักเกินไป อาศัย ‘ยาประสานไขั’ เพียงเม็ดเดียวไม่อาจฟื้นกลับมาดีเหมือนเดิมทั้งหมดได้พลังวัตรฟื้นขึ้นมาถึงชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่งเท่านั้นมีเพียงโอสถวิเศษรักษาอาการาเ็ชั้นปฐีถึงจะทำให้พลังวัตรของพ่อฟื้นกลับไปชั้นปฐีได้ถ้าคิดจะฟื้นกลับไปเหมือนเก่าไม่ใช่โอสถวิเศษรักษาอาการาเ็ชั้นนภาคงเป็ไปไม่ได้ ทั่วฟ้าใต้หล้านอกจากสำนักขั้นหนึ่งหอดารา์ที่มีปรมาจารย์นักหลอมยาชั้นนภาที่อื่นก็ไม่มีแล้ว คิดจะรักษาอาการาเ็ให้หายดีทั้งหมดให้พลังวัตรกลับคืนมาเหมือนเก่า เกรงว่าจะเป็ไปไม่ได้ แต่ว่าพ่อพอใจมากแล้วพลังวัตรฟื้นกลับมาถึงชั้นเบิกนภาขั้นหนึ่ง ต่อให้เป็ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสามก็อย่าได้คิดว่าจะชนะพ่อได้อำนาจของตระกูลหวงเพิ่มขึ้นเท่ากับมีผู้ฝึกยุทธ์ชั้นเบิกนภาขั้นสามสามคนความสามารถไม่เป็รองตระกูลหนิว เฉิง จางสามตระกูลแล้ว”
ในใจเสวียนเทียนกังวลมาตลอดว่าตระกูลหนิว เฉิงจางสามตระกูลจะต่อสู้หักหาญกับตระกูลหวงตอนนี้บิดาของเขาพลังวัตรฟื้นกลับมาชั้นเบิกนภาแล้ว ในที่สุดก็วางใจลงได้เสียที
เสวียนเทียนกล่าวแสดงความยินดี “ยินดีกับท่านพ่อที่ฟื้นพลังวัตรสำเร็จท่านพ่ออย่าได้สิ้นหวังไป ตอนนี้ข้ายังหาโอสถทิพย์รักษาอาการาเ็ชั้นนิล ‘ยาประสานไขั’ มาได้ วันหน้าข้าต้องหาโอสถวิเศษรักษาอาการาเ็ชั้นปฐีหรือชั้นนภามาได้แน่ต่อให้มีเพียงหอดารา์เท่านั้นที่มีปรมาจารย์นักหลอมยาชั้นนภาถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปยังหอดารา์ ขอโอสถวิเศษรักษาอาการาเ็ชั้นนภามาสักเม็ดหากขอไม่ได้ ต่อให้ต้องแย่งข้าก็จะแย่งมาให้ได้ ให้ท่านพ่อฟื้นกลับไปหายดีดังเดิมพวกเราจะไปช่วยท่านปู่ด้วยกัน คิดบัญชีกับคนผู้นั้นเสีย”
เสวียนหงมองเสวียนเทียนด้วยความพึงพอใจอย่างที่สุดในดวงตามีแต่ความยินดี มีบุตรเช่นนี้ บิดายัง้าอันใดอีกเล่า?
เสวียนหงเอ่ยว่า “เมื่อครู่ข้าเห็นเ้าฝึก ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ท่าทางยากลำบากมากฝึกได้สำเร็จมาระดับหนึ่งแล้ว แต่ยังห่างจากชั้นบรรลุส่วนใหญ่อยู่อีกก้าวหนึ่งตอนนี้พลังวัตรของพ่อฟื้นฟูมานิดหน่อย ใช้วิทยายุทธ์ชั้นนิลได้บ้างแล้วคืนนี้พ่อจะแสดง ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ให้เ้าดูรอบหนึ่ง เ้าตั้งใจดูให้ดี!”
เห็นเสวียนหงจะสาธิตให้ดู เสวียนเทียนก็ดีใจมากก็อย่างที่ว่า ฝึกเองสิบวัน ไม่สู้อาจารย์ชี้แนะหนึ่งคำ ฝึกเองร้อยวันไม่สู้อาจารย์ชี้แนะหนึ่งประโยค
มีผู้รู้มาสั่งสอนประสบการณ์นั้นง่ายกว่าการตรากตรำฝึกคลำทางเองเป็ร้อยเท่าหากฝึกฝนตรากตรำเองง่ายกว่ามีอาจารย์สอนสั่ง ใต้หล้าคงไม่มีสำนัก ไม่มีศิษย์อาจารย์มากมายถึงเพียงนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เสวียนหงไม่ใช่เพียงจะชี้แนะเป็คำพูดแต่จะทำให้ดู สาธิตด้วยตัวเอง
เสวียนเทียนก้าวถอยไปอยู่ข้างลานเสวียนหงยืนอยู่ในท่าตั้งต้นของก้าวย่างัพยัคฆ์กระแสพลังชวนตื่นตะลึงแผ่กระจายออกมาจากตัวเสวียนหง
ในใจของเสวียนเทียนผงะไปวูบหนึ่งฉับพลันเขาก็รู้สึกว่าที่อยู่ตรงหน้าเขาไม่ใช่คน แต่เป็ัตนหนึ่งเป็พยัคฆ์ตัวหนึ่ง ภาพความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นในห้วงจิตวนเวียนอยู่ในใจของเสวียนเทียน เพียงพริบตา จุดที่ไม่กระจ่างในใจทั้งหลายก็เริ่มกระจ่างแจ้งขึ้นมา
“เทียนเอ๋อร์ วิทยายุทธ์ชั้นทองเป็เพียงวิทยายุทธ์ขั้นพื้นฐานหลังจากวิทยายุทธ์ขั้นนิลขึ้นไป สิ่งที่สำคัญก็คือเจตจิตกับพลังลักษณ์!”
“ก้าวย่างัพยัคฆ์สิ่งที่ฝึกไม่ใช่เพียงท่วงท่าของร่างกายแต่เ้าต้องทำให้ตนเองกลายเป็ัตนหนึ่ง เป็พยัคฆ์ร้ายตัวหนึ่ง!”
“หากข้าเป็ั ย่อมอหังการท่องทั่วเก้าชั้นฟ้าเหินผ่านไม่อาจขวางกั้น หากข้าเป็พยัคฆ์ร้าย ย่อมทรงอำนาจสยบพงไพรทรงพลังไม่อาจต้านทาน!”
“ก้าวย่างัพยัคฆ์ท่าเท้าัดุจัเหาะเหิน รวดเร็วไม่อาจเทียบท่าเท้าพยัคฆ์ดุจพยัคฆ์ร้ายสำแดงเดช ทรงพลังกล้าแกร่ง”
.....
.....
เสวียนหงพูดไปพลางก็แสดง ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ไปพลาง เสวียนเทียนมองดูดวงตาเบิกโต ไม่อาจหยุดความตื่นตะลึงได้แต่เดิมเขาคิดว่าตนเองเข้าใจ ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ลึกซึ้งมากแล้ว แต่เทียบกับ ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ที่บิดาแสดงให้ดู ช่างต่ำเตี้ยเหมือนกับเด็กเล่นพ่อแม่ลูกอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อมองเสวียนหงใช้ ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ราวกับเป็ัเป็พยัคฆ์จริงๆหากเสวียนเทียนหลับตาลงโดยไม่รู้แต่แรกว่าเป็เสวียนหงที่กำลังใช้ ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ อยู่ แล้วอยู่ดีๆััได้ถึงเจตจิตนี้ เขาคงคิดว่าัตนหนึ่งหรือพยัคฆ์ตัวหนึ่งมาจริงๆ เกรงว่าคงหวาดกลัวจนเหงื่อกาฬเย็นเยียบไหลท่วมตัว
อาการาเ็ของเสวียนหงยังไม่หายดีทั้งหมดตั้งใจใช้ ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ สุดแรงรอบหนึ่งก็เริ่มหอบแล้วเขาสอนเสวียนเทียนหนึ่งรอบแล้วก็ให้เสวียนเทียนฝึกฝนต่อ
เมื่อเห็นเสวียนหงแสดง ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ ครั้งหนึ่งแล้ว เสวียนเทียนผู้มีปัญญาน่าตื่นตะลึง มีพร์หาได้ยากในใจก็จับจุดสำคัญของ ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ได้เมื่อฝึกทำอีกครั้งหนึ่งก็มีรูปลักษณ์พลังกับเจตจิตของักับพยัคฆ์เพิ่มขึ้นมา
ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับเสวียนหงแล้วพลังลักษณ์และเจตจิตยังเบาบางอยู่มาก แต่เสวียนเทียนก็จับจุดสำคัญได้แล้วใช้เวลาไม่นานย่อมฝึก ‘ก้าวย่างัพยัคฆ์’ จนถึงขั้นบรรลุส่วนใหญ่ได้ ไม่มีปัญหาแน่นอน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้