เสียงสะอื้นแ่เบาดั่งลมหนาวคลอเคลียปลายไม้ในฤดูเหมันต์ ร่างหนึ่งไหวเอนลุกขึ้นจากแท่นนอนเปรอะเปื้อนเืสด กลิ่นคาวจางๆฟุ้งกระจายราวกับความน่ารังเกียจในค่ำคืนวิปริต ความเ็ปและเสียง
กรีดร้องไม่อาจรู้ได้ว่าใช้มันเปลืองแค่ไหน เจิ้งชินกัดริมฝีปากแน่น หยาดน้ำตารินไม่ต่างจากเืที่หยดซึมบนพื้นเบาะผ้าไหมสีขาวสะดาด
ขาทั้งสองสั่นระริกจนแทบทรุดลงกับพื้นความเ็ปที่ตรงกลางลำตัวสาหัสยิ่งนัก ยามที่ต้องพยุงร่างกายขึ้นด้วยแรงเฮือกสุดท้าย อาภรณ์ขาดวิ่นจนแทบปกปิดเนื้อหนังไม่ได้ ถูกฉุดกระชากราวกับสิ่งของไร้ค่า เจิ้งซินกอดมันแนบอกไว้ราวกับเป็เพียงเกราะสุดท้ายที่เหลือ
ร่างสูงใหญ่บนแท่นนอนยังหลับใหลอย่างสงบ สีหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้าเฉกเช่นบุรุษผู้เสพสุขจนพึงใจ กี่ครากันที่เขาจับร่างเล็กพลิกคว่ำหงาย เขาหลับตาพลิ้มปริ่มสุข ทว่าใบหน้านั้นกลับหล่อเหลา สูงศักดิ์และน่าเกรงขาม…หร่วนจิงหยางอ๋อง องค์ชายรองผู้เป็เพลิงร้อนแห่งวังหลวง เสเพล หื่นห่าม เ็า ดั่งพายุคลั่งที่กวาดล้างทุกสิ่งในยามไม่สบอารมณ์
“ทำไม...ข้าต้องมาถูกบุรุษเช่นองค์ชายรองข่มเหงด้วยนะ” เจิ้งชินพึมพำกับตนเอง ดวงตาแดงช้ำผู้ปล้นเอาทุกอย่างไปจากตน ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่คือศักดิ์ศรีและคือความหยิ่งทะนง
เจิ้งซินวิ่งโซซัดโซเซออกจากห้องนั้น แสงโคมแดงที่แขวนไว้ตามทางเดินของหอนางโลมส่องลอดออกมากระทบผิวที่บอบช้ำเป็ปื้นสีม่วงน่าสงสาร ทันทีที่ก้าวพ้นขอบบานประตู เสียงหัวเราะ เสียงพิณและขลุ่ย ราวกับโลกทั้งใบกำลังเย้ยหยันความทุกข์ที่สลักลึกไว้ในหัวใจและร่างกายที่บอบซ้ำ
เจิ้งชินรีบยกมือปิดปากเมื่อเสียงสะอื้นจะหลุดลอดออกมาอีกครั้ง หวาดกลัวจนแทบหายใจไม่ออก ยิ่งหายใจยิ่งเจ็บยิ่งปวดร้าว อยากจะตายดับลงไปเสียในตอนนี้
“ข้า...มาที่นี่ได้อย่างไร” ความจำสุดท้ายคือลมหนาวที่พัดเข้าระเบียงห้องนอน แล้วหลังจากนั้น...ทุกอย่างก็คือความมืด มืดและเจ็บ เจ็บเสียจนใจแทบแหลกสลาย
เจิ้งชินกัดฟันแน่น พยายามกลืนเสียงสะอื้นลงคอแม้มันจะขมขื่นจนจุกอกย่อตัวหลบเงาแสงจากโคมแดงที่ไหววูบตามแรงลม ขาทั้งสองข้างแทบไร้เรี่ยวแรง แต่จิตใจที่แตกสลายกลับผลักดันให้ร่างกายยังเดินต่อไปได้
ผนังไม้ของหอนางโลมชื้นเย็น เยียบเย็นราวกับกำแพงคุก เจิ้งซินใช้มือลูบผนังมืดมิดไปตามทางเดินด้วยปลายนิ้วสั่นระริก จนต้องกลั้นหายใจไม่ให้ความอ่อนแอครอบงำ
เสียงหัวเราะของแเื่และเสียงโถงเต้นรำยังแว่วอยู่ด้านใน…แต่เจิ้งชินมุ่งไปยังบันไดเล็กด้านหลังซึ่งข้ารับใช้ใช้เข้าออก แสงจันทร์จาง ๆ รอดเข้ามาจากช่องไม้ผุ ราวกับสายตาเดียวในโลกที่ยังมองเขาด้วยความเมตตา
“ออกไป…ออกไปให้พ้นจากที่นี่…” เสียงในใจะโพร่ำไม่หยุด
เจิ้งซินพาตัวเองเดินฝ่าเงามืด ขาเปลือยเปล่าเหยียบลงบนแผ่นไม้กรอบเก่า เสียงลั่นเอี๊ยดเบา ๆ ดังขึ้นเหมือนเสียงห้าม แต่เจิ้งชินไม่หยุดออยากออกไปจากที่นี่ให้เร้วที่สุด
จนในที่สุดบานประตูไม้หลังหอนางโลมปรากฏอยู่ตรงหน้า
มือที่สั่นระริกค่อย ๆ ดันมันออก ลมหนาวพัดวูบแรกประทะใบหน้าจนต้องหลับตา น้ำตาก็พลันหลั่งไหลอีกครั้งไม่รู้ตัว
เมื่อก้าวออกจากประตูนั้น ข้างนอกคือตรอกแคบที่เปียกแฉะและวังเวง ไม่มีใครเลย ไม่มีแม้แต่เงาของเทวดาหรือปีศาจ มีเพียงเจิ้งซิน ผู้แบกหัวใจที่แตกร้าวกับร่างกายอ่อนล้าเดินฝ่าไปท่ามกลางความมืด
แต่ยังไม่ทันไกลนัก เสียงฝีเท้าจากด้านในเริ่มดังขึ้น
เจิ้งชินสะดุ้ง ร่างบางกระชับผ้าขาดวิ่นแนบอก แล้วหันหลังวิ่งไม่ใช่เพื่อหนีจากคนเ่าั้เท่านั้น แต่เพื่อหนีจากฝันร้ายในคืนนั้น หนีจากเงาจองจำของผู้ที่ไม่ควรจะพบเจอ หนีจากชีวิตที่ไม่เหลืออะไรเลย
น้ำตาแห่งเ็ปและสูญเสียกำลังไหลริน
ที่ด้านหน้าจางหลี่ลี่น้องสาวต่างมารดา ยิ้มหยันชัดเจน
“เ้าปรนเปรอคนผู้นั้นจนหนำใจแล้วสินะ ยามไหนแล้วเขาคงเชยชมร่างของเ้าจนอิ่มหนำสิท่า พี่สาว”
เจิ้งชินตรงเข้าไปฟาดฝ่ามือลงบนใบหน้าจางหลี่ลี่อย่างแรงที่สุดเท่าทีจะมีแรง
จางหลี่ลี่ยังมีรอยยิ้มด้วยความสาใจ
“เ้ามันเลวที่สุด”จางหลี่ลี่ยิ้มหยัน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้