ที่แท้เซี่ยเจิงก็เห็นแล้ว
ความรู้สึกตอนถูกจับได้มันช่างไม่ดีเอาเสียเลย ชวีเสี่ยวปอนึกว่าเขาวิ่งออกมาได้เร็วมากแล้วซะอีก แต่คาดไม่ถึงเขากลับเผยพิรุธออกมาจนได้ ทันใดนั้นใบหน้าของเขาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา เขารู้สึกว่าทุกสิ่งที่เขาทำอยู่ในตอนนี้ล้วนสามารถปกปิดความอับอายของเขาได้เป็อย่างดี แต่ดูเหมือนว่าเซี่ยเจิงจะไม่ยอมปล่อยเขาไป ทั้งยังเอาแต่จ้องมองเขารอให้เขาอธิบายออกมา
“เออ ฉันได้ยินหมดแล้วละ” ชวีเสี่ยวปอยอมรับออกไปตามตรง “มีอะไรไหม”
“หึ” เซี่ยเจิงหัวเราะออกมา “พี่เสี่ยวชวีโมโหเหรอ”
“บ้านนายสิเซี่ยเจิง” ชวีเสี่ยวปอรู้สึกว่าใบหน้าของเขากำลังร้อนผ่าว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะไปกับเซี่ยเจิง “นายนี่น่ารำคาญจริงๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจแอบฟังสักหน่อย! ใครใช้ให้นายไม่ยอมลงมาสักทีล่ะ”
“ก็เธอรั้งฉันเอาไว้ฉันจะลงมาได้ยังไง” เซี่ยเจิงถอนหายใจ “ไปกันเถอะ”
ทั้งสองคนเดินออกจาร้านอาหารมา จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปตามทางอย่างช้าๆ ใบของต้นแปะก๊วยที่อยู่ข้างทางร่วงหล่นกระจายอยู่เต็มพื้นตลอดทั้งทาง จนทำให้ชวีเสี่ยวปอต้องเดินพร้อมทั้งะโไปด้วยเพื่อข้ามพวกมันไป พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นควันบุหรี่ที่เซี่ยเจิงพ่นออกมา ซึ่งมันก็ได้ลอยหายลับไปอย่างไร้ร่องรอยภายใต้แสงไฟที่อยู่ตามทาง
ไม่รู้ว่าทำไม ด้านหลังของเซี่ยเจิงถึงทำให้เขารู้สึกหนักอกหนักใจขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้
แต่แล้วชวีเสี่ยวปอก็รู้สึกว่า หรือบางทีอาจจะเป็เพราะตัวเขาเอง เขามีคำถามคำถามหนึ่งจุกอยู่ในอก ตอนที่อยู่ร้านอาหารเขาอยากถามเซี่ยเจิงมาก แต่เขากลับลังเลมาตลอดว่าจะถามออกไปอย่างไรดีถึงจะไม่ได้ดูโจ่งแจ้งจนเกินไป
“ใบนี้ใหญ่มากเลยเนอะ” ชวีเสี่ยวปอก้มลงเก็บใบไม้ขึ้นมาถือไว้ในมือ จากนั้นจึงรีบเดินไปข้างหน้าก่อนที่จะหยุดยืนอยู่ข้างๆ เซี่ยเจิง แล้วเขาแบมือให้เซี่ยเจิงดู
“สามขวบเหรอ? ” เซี่ยเจิงมองไปครู่หนึ่ง “นี่ไม่เรียกว่าใหญ่เท่าไหร่หรอก”
“พอได้อยู่แหละ” ชวีเสี่ยวปอทิ้งใบไม้ในมือ พร้อมทั้งหันออกไปมองทางอื่น “นี่ นายชอบใครเหรอ? ”
ให้ตายสิ
ทำตัวไม่ถูก
จะอ้อมค้อมไปสักหน่อยก็ไม่ได้ เล่นถามออกมาตรงๆ อย่างนี้เลย
ชวีเสี่ยวปอไม่สงสัยเลยสักนิด ถ้าเกิดว่าตอนนี้มีแอ่งน้ำปรากฏขึ้นมาตรงหน้า เขาก็จะรีบพุ่งตัวะโลงไปอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย... ให้ตัวเองมีสติขึ้นมาหน่อย ถึงยังไงสำลักน้ำตายก็ยังดีกว่าการทำตัวไม่ถูกเช่นนี้
แต่ชวีเสี่ยวปอเองก็คิดไม่ถึงว่าวินาทีถัดจากนี้จะยังมีเื่ที่น่ากระอักกระอ่วนกว่านี้รอเขาอยู่
บนพื้นถนนอันแสนจะราบเรียบวันนี้ไม่รู้ว่ามีหลุมเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่ง้าของหลุมถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้ที่ร่วงหล่นลงมา ราวกับว่าหลุมพรางนี้ถูกตั้งใจขุดเอาไว้เพื่อรอให้คนมาติดกับ และในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอก็เหยียบมันลงไป ทั้งตัวของเขาจึงล้มไปข้างหน้าอย่างไม่อาจต้านทานได้
เซี่ยเจิงที่ตาไวมือไวจึงรีบเข้าไปพยุงเขาขึ้นมา ทั้งยังไม่ลืมที่จะหยอกล้อเขาไปหนึ่งประโยคว่า “ตื่นเต้นขนาดนี้เลยเหรอ”
แม้ว่าชวีเสี่ยวปอจะกำลังอายอยู่ แต่เขาก็ยังตีเข้าไปที่แขนของเซี่ยเจิงอย่างแรงอยู่หลายที “ตื่นเต้นบ้านนายน่ะสิ ฉันแค่ถามดู ฉันกับซือจวิ้นก็มักจะบอก... ”
“มักจะบอกอะไร? บอกว่าใครชอบผู้หญิงคนไหนยังงั้นเหรอ? ” เซี่ยเจิงถาม
“ก็ไม่เชิง” ชวีเสี่ยวปอผงะไปชั่วครู่ เซี่ยเจิงตรงไปตรงมาเช่นนี้ เขาก็ไม่รู้จะตอบยังไงเหมือนกัน จากนั้นจึงยืนตรงขึ้นมาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไหร่ “ไม่ต้องพูดแล้ว ช่างมัน”
“ถ้าฉันพูดนายกล้าฟังไหมล่ะ? ” เซี่ยเจิงถามกลับไป
แล้วจู่ๆ หัวใจของชวีเสี่ยวปอก็สั่นไหวขึ้นมาครู่หนึ่ง เขาอยากจะตอบกลับไปว่า “กล้า” แต่ความจริงแล้วเขากลับยืนมองเซี่ยเจิงโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกไปสักคำ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าในหัวของเขาขาวโพลนไปหมด แต่สิ่งเดียวที่เหลืออยู่ซึ่งมันเรียกว่า “ความกลัว” ได้เข้ายึดครองพื้นที่ในสมองทั้งหมดของเขาเป็ที่เรียบร้อยแล้ว
ในกลางดึกมีฝนตกลงมาอีกครั้ง เสียงฟ้าร้องดังสนั่นกึกก้อง ซึ่งมันทำให้รู้ว่าฝนยังไม่ซาลงไปเลย
เสียงเม็ดฝนตกลงมากระทบกับกระจกดังเปาะแปะๆ ชวีเสี่ยวปอที่หลับสนิทไปแล้วถูกทำให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เขาหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา และพบว่าตอนนี้เพิ่งจะเป็เวลาตีสามครึ่ง
ไม่รู้ว่าเป็เพราะแสงจากหน้าจอมือถือมันสว่างจ้าจนแยงตา หรือว่าเป็เพราะเสียงฝนที่ดังจนเกินไป ทำให้ชวีเสี่ยวปอพลิกตัวกลับมาและยังคงนอนไม่หลับ
เซี่ยเจิงไม่ได้ตอบคำถาม แล้วทั้งสองคนก็บอกลากันตรงทางแยกเหมือนทุกที เหมือนอย่างเมื่อก่อน
แต่ทว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างที่ไม่เหมือนทุกทีอย่างแน่นอน อย่างเช่น่เวลาสั้นๆ ที่รู้สึกกังวลในตอนนั้น ตอนที่ตัวเขารอฟังคำตอบของเซี่ยเจิงด้วยความหวังและความหวาดกลัว
แต่ว่าเซี่ยเจิงจะชอบใครแล้วมันเกี่ยวอะไรกับฉันด้วยเล่า?
ในความมืดมิดนี้จู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็ลุกขึ้นมานั่ง ในขณะนั้นหัวใจของเขาเต้นขึ้นมาอย่างรุนแรงจนแทบจะทำให้เขาไม่สามารถนอนลงได้อีกครั้ง ตัวเขาเองรับรู้ได้อย่างเลือนรางว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างผิดปกติไป แต่จริงๆ แล้วมันคืออะไรนั้น เขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
เมื่อรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ฝนด้านนอกก็หยุดไปนานแล้ว ท้องฟ้าก็กลับมาสว่างสดใสดังเดิม
แต่ว่าดูความสว่างของฟ้าที่สว่างขนาดนี้แล้ว... เก้าโมงแล้วเหรอ? !
ชวีเสี่ยวปอรีบลุกขึ้นมาจากเตียงทันที เขาไม่เพียงแต่จะไม่ได้เข้าคาบเรียนด้วยตัวเองภาคเช้า แม้แต่คาบเรียนวิชาแรกก็ยังไปไม่ทันเลย เขาใส่เสื้อผ้าอย่างลวกๆ จากนั้นก็ผลักประตูเปิดออกไป ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอก็เกือบจะชนเข้ากับป้าแม่บ้านเข้าแล้ว
“คุณป้ามายืนตรงนี้ทำไมครับเนี่ย? แล้วทำไมไม่ปลุกผม? ” ชวีเสี่ยวปอท่าทางรีบร้อน “แล้วแม่ผมล่ะ? ”
“คุณผู้หญิงออกไปั้แ่เช้าแล้วค่ะ” คุณป้าเดินตามหลังมา และอธิบายออกมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความลำบากใจ “ป้าไปเรียกคุณสองรอบแล้ว แต่คุณบอกว่าอย่าเคาะประตู ป้าก็เลยไม่ได้... ”
“ให้ตายเถอะ ผมนึกว่าผมฝันไปซะอีก !” ชวีเสี่ยวปอนึกย้อนกลับไปคร่าวๆ ดูเหมือนว่าจะมีเื่เช่นนี้เกิดขึ้นจริง เขานอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน พอตอนรุ่งสางเขาก็หลับไปอีกครั้ง และในระหว่างนั้นเหมือนจะได้ยินเสียงคนเคาะประตูขึ้นมาจริงๆ
หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอล้างหน้าล้างตาเสร็จ เขาก็เรียกรถตรงไปยังโรงเรียนทันที คุณลุงคนขับก็ช่างพูดหยอกล้อเสียจริง พูดล้อเล่นแซวชวีเสี่ยวปอว่านอนตื่นสายมาตลอดทั้งทาง แต่ชวีเสี่ยวปอก็ี้เีจะสนใจเขา พอให้เงินเสร็จก็ลงจากรถมาทันที
รถตั้งใจมาจอดที่ประตูทางด้านหลัง
ในเวลานี้ถ้าเดินเข้าประตูหน้าอย่างปกติก็คงจะเหมือนเป็การหาเื่ใส่ตัว เนื่องจากคุณครูประจำชั้นของแต่ละห้องมักจะชอบมายืนดักรอที่หน้าประตูโรงเรียนเพื่อจับคนมาสาย เพราะฉะนั้นการะโข้ามกำแพงไปจึงเป็วิธีที่ชาญฉลาดและรวดเร็วที่สุด
ชวีเสี่ยวปอถูมือไปมา และกำลังเตรียมที่จะะโขึ้นกำแพงไป ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงะโดังขึ้นมาจากด้านหลัง : “เดี๋ยวก่อน !”
ในตอนนั้นเองชวีเสี่ยวปอก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที แล้วครุ่นคิดอยู่ว่าเดี๋ยวนี้ปีนกำแพงบ้านี่ก็ไม่ปลอดภัยแล้วเหรอเนี่ย จากนั้นก็หันไปเห็นเซี่ยเจิงกำลังรีบวิ่งมาอย่างรีบร้อนพร้อมทั้งโบกมือให้เขา “รอฉันด้วย !”
“เด็กเรียนเขาปีนกำแพงกันด้วยเหรอ? ” แล้วจู่ๆ ชวีเสี่ยวปอก็หัวเราะออกมา
“เด็กเรียนก็เป็คนเหมือนกัน” เซี่ยเจิงดึงกระเป๋าขึ้น ขณะนั้นก็หอบหายใจออกมาด้วย “นายนอนตื่นสายใช่ไหมเนี่ย”
“นายยังมีหน้ามาว่าฉันอีกเหรอ” ชวีเสี่ยวปอชี้ไปบนหน้าของเซี่ยเจิงที่ยังมีรอยแดงประทับเอาไว้อยู่ ทั้งยังตั้งใจพูดออกไปว่า “นายยังไม่ได้ล้างหน้าด้วยใช่หรือเปล่า”
“ล้างแล้ว” เซี่ยเจิงขยี้ตา “แต่ไม่ได้แปรงฟัน” พูดจบเขาก็พ่นลมจากปากใส่หน้าชวีเสี่ยวปอไปทันที
“ไปให้พ้นเลย !” ชวีเสี่ยวปอหัวเราะพลางดันเขาออกไปทีหนึ่ง
“ล้อเล่นน่า แปรงแล้ว” เซี่ยเจิงยื่นมือออกไปจับที่แขนของชวีเสี่ยวปอ “ขืนยังเล่นอยู่อีก ก็คงจะหมดเวลาเรียนคาบสองแล้วล่ะ นายก่อนหรือให้ฉันก่อน? ”
“ฉันก่อน” หลังจากที่ชวีเสี่ยวปอพูดจบเขาก็รีบะโขึ้นกำแพงไปทันที เื่แบบนี้เขาชำนาญมาก ตอนปีนขึ้นไปได้แล้วเขายังอยู่บนกำแพงครู่หนึ่ง ก่อนที่จะก้มหน้าลงมาเชิดคางใส่เซี่ยเจิง “เชิญผู้เล่นคนถัดไปประจำที่”
“ไม่ต้องมาทำหน้าทะเล้นเลย” เซี่ยเจิงถอยหลังไปสองสามก้าว ทำท่าเตรียมที่จะะโ “ถ้านายยังไม่ลงไปอีกฉันชนก้นนายแน่”
ทั้งสองคนไปถึงห้องเรียนได้อย่างราบรื่น เซี่ยเจิงหยิบตารางเรียนออกมาพลิกดู ส่วนชวีเสี่ยวปอก็ชะโงกหน้าเข้ามาดูให้แน่ชัดด้วยเช่นกัน : “วันนี้วันศุกร์สินะ”
“อืม” เซี่ยเจิงรู้ได้ทันทีว่าเขา้าจะสื่อว่าอะไร “วันนี้ตอนเลิกเรียน? ”
“ใช่” ชวีเสี่ยวปอชำเลืองมองไปยังอีกด้านหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาเสียงเบาว่า : “ต้องบอกซือจวิ้นด้วยไหม? ”
“นายบอกเขาก็ได้ว่า ถ้าครึ่งชั่วโมงแล้วเราสองคนยังไม่กลับออกมา ให้เขาแจ้งตำรวจได้เลย” เซี่ยเจิงมองไปที่เขา “แต่อย่าบอกเขาเลยดีกว่า ถ้าเขาช่วยอะไรไม่ได้ก็พลอยจะกลุ้มใจไปด้วย”