ยามวสันตฤดูมวลหมู่บุปผาผลิบาน ลังลีเกอลังลีเกอลังหลี่เก๋อหล่าง! [1]
เฉียวเยว่ลงจากรถม้าก็รู้สึกถึงสายลมที่พัดโชยมาต้องใบหน้าทันที นางรวบผมที่พลิ้วไสวอยู่ด้านหน้าไปทัดไว้หลังหู
ูเาแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก พื้นลาดมั่นคง แทบจะไม่มีความชันสักนิด แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงความเป็ป่าทึบ ดูไม่เลวอย่างยิ่ง
"พี่จ้านเ้าคะ" เฉียวเยว่มองพิจารณาชายหนุ่มั้แ่หัวจรดเท้า "พวกเราต้องปีนเขาหรือไม่?"
หรงจ้านผงกศีรษะ ใบหน้าระคนไปด้วยรอยยิ้มจางๆ ก่อนถามว่า "ทำไม? เ้าไม่กล้า?"
เฉียวเยว่รู้สึกว่าคำพูดนี้ช่างน่าขันยิ่ง นางหรือไม่กล้า? มีอะไรต้องไม่กล้ากันเล่า!
"ไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่กล้า ข้ากลัวว่าท่านจะรังเกียจความสกปรกของถนนหนทาง การออกนอกบ้านคือสิ่งที่ลำบากที่สุดสำหรับคนจุกจิกเป็พิเศษเช่นท่าน"
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ พลางย่อตัวลงมา บีบแก้มของเฉียวเยว่เบาๆ "เฉียวเยว่รู้หรือไม่ว่าตนเองตามผู้ใดมา?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ก็ท่านอย่างไรเล่า"
น้ำเสียงเล็กๆ ฟังดูน่ารัก ปรกติเวลานางพูดก็มักใช้เสียงที่นุ่มนิ่มแกมฉอเลาะแบบเด็กๆ แต่หากเปล่งเสียงดังหน่อยถึงจะใสกังวาน แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะใช้น้ำเสียงที่อ่อนหวาน
"เมื่อรู้ว่าตามออกมากับข้า ก็มีเพียงเ้ากับข้า เ้ากล้าล่วงเกินข้า ไม่กลัวว่าข้าจะขายเ้าทิ้งหรือ?" หรงจ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉียวเยว่หัวเราะพรืดออกมา "ขายทิ้ง? น่าขันยิ่งนัก"
ปราศจากความกลัวโดยสิ้นเชิง
หรงจ้านขบคิดก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้วิธีข่มขู่ "ส่งเ้าไปเป็อาหารหมาป่า?"
เฉียวเยว่หัวเราะหนักยิ่งกว่าเดิม แสดงท่าทางประดุจว่าข้ามองออกนานแล้ว "ท่านเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ตัวท่านเองเชื่อหรือไม่?"
พอเห็นหรงจ้านเริ่มหรี่ตาน้อยๆ เฉียวเยว่ก็นึกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ปรกตินัก ครั้นแล้วจึงตัดสินใจกอดคอเขา "ท่านพี่จ้านดีที่สุด! ท่านพี่จ้านทำกับข้าเช่นนั้นไม่ลงอยู่แล้ว"
นางส่งคำเยินยอมาทันท่วงทีจนคนรับมือไม่ทัน
หรงจ้านถอนหายใจ "แล่นเรือไปตามลม [2] ก็เป็"
เฉียวเยว่ทำสีหน้าจริงจัง "แต่ข้าพูดล้วนเป็ความจริงทั้งนั้น"
นางจับมือหรงจ้าน "ไปกันเถอะ พวกเราจะไปให้ถึงยอดเขาเลย"
หรงจ้านมองขึ้นไป แล้วหันมามองนาง "เ้าไหวหรือ?"
เฉียวเยว่พยักหน้า "ข้าไหวอยู่แล้ว เหตุใดจะไม่ไหวเล่า?"
อย่างไรเสียก็เป็แค่เด็กคนหนึ่ง หรงจ้านไม่รู้สึกว่านางจะปีนขึ้นไปได้จริงๆ แม้ที่นี่ไม่มีเนินสูงชัน แต่ก็มีเนินดินเตี้ยๆ
แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่จูงมือเฉียวเยว่เดินขึ้นเขา มีซื่อผิงติดตามอยู่ด้านหลัง ซื่อผิงหิ้วตะกร้าใบใหญ่และสะพายห่อผ้าขนาดใหญ่ แต่ข้างในใส่สิ่งใดมาบ้างมิอาจรู้ได้
เฉียวเยว่จูงมือหรงจ้าน ร้องฮึบๆๆ แล้วถามเขาอีกว่า "พี่จ้านเ้าคะ ท่านว่าเพราะเหตุใดบิดาข้าถึงเข้าร่วมสอบเคอจวี่ครานี้ ข้านึกว่าเขาจะไม่เข้าสอบเสียอีก"
นางคาดไม่ถึงแม้แต่น้อย
"อาจเพื่ออนาคตของพวกเ้า ไม่ว่าคุณชายสามสกุลซูจะไปเป็อาจารย์ที่กั๋วจื่อเจียนหรือสำนักศึกษาสตรี ก็จะได้สอนพวกเ้าสองพี่น้องด้วยตนเอง อาจจะเพื่อสิ่งนี้ก็ได้" หรงจ้านตอบเสียงเบา
เฉียวเยว่พยักหน้าตอบอ้อ แต่ก็ยังคงซักถามต่อ "เช่นนั้นท่านคิดว่าบิดาข้าจะสอบติดหรือไม่?"
ใจนางรู้สึกพะว้าพะวัง คิดว่าคนผู้นี้คงจะไม่เคยวิตกเหมือนกับนาง
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ "ไยจะสอบไม่ติดเล่า?"
เฉียวเยว่กลอกตา นางเพิ่งได้ยินคนถามว่าเพราะเหตุใดถึงสอบไม่ติดเป็ครั้งแรก มีเพราะอันใดที่ไหน ก็ต้องเรียนเก่งไม่พอน่ะสิ?
คนในยุคปัจจุบันใครๆ ล้วนอยากสอบเข้าเป่ยต้า ชิงหวา [3] กันทั้งนั้น แต่ปัญหาคือจะสอบติดหรือ?
"บิดาเ้าอาจไม่ติดอันดับต้นๆ แต่ต้องอยู่ในรายชื่อผู้สอบติดแน่ แท้จริงแล้วข้ากลับรู้สึกว่าไม่จำเป็ต้องเอาสามอันดับแรกก็ได้ เ้าว่าจริงหรือไม่?"
เฉียวเยว่พยักหน้า จุดนี้ถูกต้องที่สุด เมื่อก่อนนางเคยอ่านนิยายที่กล่าวถึงตำแหน่งจ้วงหยวน [4] บ่อยครั้ง แต่การเป็จ้วงหยวนไหนเลยจะสอบติดง่ายดาย
"เอาไว้กลับบ้านแล้วข้าต้องไปปลอบท่านพ่อเสียหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะสอบไม่ติด แต่เขาคือคนที่มีพร์ความสามารถที่สุดในใจข้า ไม่มีผู้ใดสามารถเทียบเทียมได้"
ช่างเป็สาวน้อยหัวใจอบอุ่นโดยแท้
หรงจ้านพยักหน้า "ดีมาก แตงน้อยน่ารักรู้ความเช่นนี้เอง มิน่าเล่าใครๆ ต่างก็ชมชอบ"
เฉียวเยว่ยิ้มร่าพลางพยักหน้า "ใช่แล้ว ใช่แล้ว ข้าฉลาดมาก น่ารักมาก และรู้ความมาก ดังนั้นท่านถึงชอบข้าอย่างไร"
หรงจ้านหยุดฝีเท้า หันมาถามเฉียวเยว่ "เ้าคิดว่าข้าชอบเ้ามากเลยหรือ?"
เฉียวเยว่พยักหน้าตอบอย่างจริงจัง "ใช่สิเ้าคะ ท่านทำขนมให้ข้ากินด้วยตนเอง ยังมอบของขวัญให้ ซ้ำยังพามาเที่ยว ท่านต้องชอบข้าอยู่แล้ว"
"เช่นนั้นเ้าอยากรู้หรือไม่เพราะเหตุใดข้าถึงชอบเ้าเป็พิเศษ?" รอยยิ้มของเขาคล้ายมีคล้ายไม่มี
เฉียวเยว่เกาศีรษะอย่างข้องใจ "ข้าแสนดีเช่นนี้ ยังต้องมีเหตุผลที่จะชอบด้วยหรือ?"
ความหลงตัวเองของนางช่างไม่มีใครเกิน
เฉียวเยว่หัวเราะคิกคัก ก่อนพูดอย่างจริงจัง "พี่จ้าน ท่านอย่าทำตัวลึกล้ำนักสิเ้าคะ ท่าทางของท่านทำให้ทุกคนต่างกลัวกันหมด ไม่กล้าเป็สหายกับท่านแล้ว แน่นอนข้ารู้ ท่านมิได้้าคนที่เกรงกลัวท่านมาเป็สหาย แต่คนเราก็เดียวดายเป็เหมือนกันนะเ้าคะ"
เฉียวเยว่ดึงอาภรณ์น้อยๆ ของตนเองขึ้นมาจับ "แม้ว่าเวลาส่วนใหญ่ข้าจะชอบวาดภาพเขียนอักษร อ่านตำราและขับร้อง แต่ก็มีบางคราที่ไม่อยากทำอันใดเลย เพียงอยากหาคนมาคุยซุบซิบนินทาสอดรู้สอดเห็นเื่ชาวบ้าน"
หรงจ้าน "..."
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาถึงยกมุมปากขึ้นถาม "เ้าพูดจริงรึ?"
เฉียวเยว่ "ทำไมหรือ?"
"ไฉนข้าถึงรู้สึกว่าเ้าใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการคุยไร้สาระเื่ของชาวบ้าน เวลาส่วนน้อยมากๆ ถึงจะอ่านตำราเขียนอักษรเล่า อ้อจริงสิ ข้ายังได้ยินมาว่าเ้าแตงน้อยชอบแอบฟังข้างกำแพงด้วย ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด"
ตอนนี้เฉียวเยว่มั่นใจมากถึงมากที่สุดว่าหรงจ้านจงใจ ดูสิ คนผู้นี้ร้ายกาจแค่ไหน ทั้งที่รู้อยู่เต็มอก... เฉียวเยว่เชิดดวงหน้าน้อยขึ้น กล่าวอย่างจริงจัง "ไม่ว่าจริงหรือเท็จ การแกล้งเลอะเลือนบ้างถึงจะเป็คนฉลาด"
หรงจ้านเลิกคิ้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่ใช่คนเลอะเลือนในยามจำเป็ ดังนั้นจึงสามารถพาตัวเองเดินมาถึงวันนี้ได้
คนอวดฉลาดในเวลาที่ควรแกล้งเลอะเลือนไยจะไม่ใช่คนหลงตนเองเล่า
แต่หรงจ้านกลับไม่คิดจะสนทนากับแม่หนูน้อยมากนัก อย่างไรเสียนางก็เพิ่งหกขวบ ยังไม่รู้ความอันใดมากมาย
"เช่นนั้นพี่จ้านเชื่อว่าเฉียวเยว่เป็เด็กดีตั้งใจท่องตำราเขียนอักษรก็ได้" หรงจ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
เฉียวเยว่ยิ้มด้วยความดีใจ เผยให้เห็นฟันขาวน้อยๆ แลดูน่ารักเป็พิเศษ
หรงจ้านลูบศีรษะของนาง "นับว่าเ้าผลัดฟันค่อนข้างเร็ว"
เฉียวเยว่พูดในใจ จะไม่เร็วได้อย่างไร ทุกวันข้ามีแต่กิน กิน กิน ฟันน้ำนมไหนเลยจะทานทนไหว อีกอย่าง เห็นได้ว่านี่เกิดจาก "เหตุสุดวิสัย" ชัดๆ
นางถอนหายใจ ก่อนถามขึ้น "ตกลงตอนนี้พวกเราจะเดินขึ้นเขาต่อหรือไม่?"
หรงจ้านมองออกว่าเฉียวเยว่เหนื่อยแล้ว จึงตอบไปว่า "ต้องเดินต่ออยู่แล้ว แต่ตอนนี้พวกเราหยุดพักสักครู่ กินขนมกันก่อน ข้าจะวาดภาพเหมือนให้เ้าสักภาพดีหรือไม่? ก่อนหน้านี้เ้าอยากรู้ว่าทักษะการวาดภาพของข้าเป็เช่นไรมิใช่หรือ?"
เฉียวเยว่หัวเราะคิก "แท้จริงแล้วข้าเชื่อในตัวท่าน"
หรงจ้านเลิกคิ้ว "เพราะเหตุใด?"
ซื่อผิงปูพรมเสร็จเรียบร้อย ก็เอาโต๊ะออกมากาง เฉียวเยว่มองพลางถอนหายใจ "เพราะท่านรูปงาม คนรูปงามล้วนทำได้ทุกสิ่ง ว่าแต่ท่านพี่จ้าน พวกท่านเตรียมตัวมาดียิ่ง ของพวกนี้ดูท่าจะหนักมากกระมัง?"
นางหันไปมองซื่อผิง "เ้าเป็จอมพลังหรือไร?"
ซื่อผิงเพียงยิ้มแต่ไม่ตอบ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อ
เฉียวเยว่หันไปกระซิบข้างหูหรงจ้าน "ซื่อผิงของพวกท่านอะไรก็ดีไปหมด เสียแต่พูดน้อยไปหน่อย ทำให้รู้สึกอึดอัด"
หรงจ้านยิ้มน้อยๆ "แต่นี่ก็ไม่เกี่ยวอันใดกับเ้ากระมัง?"
เฉียวเยว่ "..."
เ้ามักพูดความจริงเช่นนี้ ไม่กลัวถูกทุบบ้างเลยรึ?
เฉียวเยว่เห็นกาใบเล็กในตะกร้าถูกยกออกมา ก็ถามขึ้นอีก "นี่คือสิ่งใด”
ตะกร้าใบใหญ่ในนั้นเต็มไปด้วยกล่องแบนขนาดเล็ก เฉียวเยว่ถอดรองเท้า ขึ้นมานั่งขัดสมาธิบนพรม มองดูซื่อผิงหยิบเบาะรองนั่งออกมาสองอัน
เฉียวเยว่ "..."
นี่มันกระเป๋าสารพัดนึกของโดราเอมอนหรือไร?
หรงจ้านเปิดกล่องทีละใบ ในนั้นมีขนมสีสันต่างๆ ยังมีอาหารกับแกล้มที่ไม่มีใครเหมือน ส่วนในกาเป็โจ๊กเปล่า มีควันฉุยพวยพุ่งออกมา
เฉียวเยว่กลืนน้ำลายถามว่า "ของเหล่านี้ท่านพี่จ้านทำด้วยตนเองหรือโรงครัวเป็คนทำเ้าคะ"
"ฝีมือของโรงครัวไม่ได้หนึ่งในหมื่นส่วนของข้า" หรงจ้านกล่าวอย่างทะนงตน
แม้ว่าคำกล่าวจะยโสโอหังไปบ้าง แต่ดวงตาของเฉียวเยว่ก็เปล่งประกายดุจดารา
"ท่านพี่จ้านทำอาหารอร่อยที่สุด จะต้อง.... เอ๋" เฉียวเยว่พลันตระหนักขึ้นได้ นางกัดริมฝีปากพลางเอ่ยถาม "ท่านต้องตื่นมาเริ่มทำอาหารยามใด"
อาหารมากมายขนาดนี้หากทำในตอนเช้า ก็ต้องเสียเวลานานมาก
"ประมาณยามโฉ่ว ยามอิ๋น [5] กระมัง" หรงจ้านกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เฉียวเยว่รู้สึกละอายใจมาก นิ้วมือของนางแทบจะพันกันยุ่ง กัดริมฝีปากเอ่ยว่า "ล้วนเป็ข้าไม่ดีเอง หากข้าไม่เอาแต่พูดว่าอยากกินอาหารอร่อยฝีมือท่าน ท่านก็คงไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืดทำอาหารเหล่านี้"
หรงจ้านมองออกว่านางไม่เพียงแต่ไม่ได้โกหก ยังรู้สึกผิดอย่างแท้จริง เขาเขย่ามือของนางเบาๆ "ข้าก็อยากกินเองด้วย ไม่มีอันใดสักหน่อย"
ดวงตาดำขลับของเฉียวเยว่ทอประกายระยิบระยับ ถามอย่างระมัดระวัง "ท่านนอนน้อยเพียงนี้ ง่วงหรือไม่?"
หรงจ้านส่ายหน้า "ไม่เป็ไร เมื่อวานข้านอนเร็ว สาวน้อยไม่ต้องเป็ห่วง”
เฉียวเยว่ยิ้มแก้มปริ หลังจากนั้นก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมา แล้วเดินเข้ามาหา ย่อตัวเล็กน้อยจะเช็ดหน้าให้เขา "ข้าจะช่วยเช็ดหน้าให้ท่าน ดูว่ามีเหงื่อหรือไม่"
สีหน้าของหรงจ้านไม่แสดงความรู้สึก "เ้ารู้ได้อย่างไรว่าเมื่อเช้าข้ามิได้ผัดแป้งแต่งหน้ามา หากเ้าทำเครื่องประทินผิวของข้าเลอะ ข้าจะตีก้นน้อยๆ ของเ้า"
เฉียวเยว่ตกตะลึง หลังจากนั้นก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก นางพิงตัวเข้าหาหรงจ้าน "พี่จ้านหลอกผู้อื่นอีกแล้ว ท่านงดงามบริสุทธิ์ดุจต้นหยกล้อล้ม ไหนเลยจะต้องประทินผิวอันใด"
แล้วก็พูดอีกว่า "ผ้าเช็ดหน้าข้าเพิ่งเอาออกมา ยังสะอาดสะอ้าน พี่จ้านคงไม่รังเกียจใช่หรือไม่"
แท้จริงแล้วหรงจ้านไม่มีเหงื่อสักหยด แต่เห็นท่าทางกระตือรือร้นของนาง เขาจึงนั่งนิ่งๆ ปล่อยให้นางเช็ดให้
เฉียวเยว่เช็ดจนเสร็จ ก็จะเอาผ้าไปเช็ดหน้าของตนเองต่อ "ข้าก็จะเช็ดบ้างเหมือนกัน ข้าเหงื่อออกแล้ว"
หรงจ้านตะลึงพรึงเพริด รีบคว้ามือน้อยๆ ของนางไว้ ก่อนพูดอย่างจนปัญญา "ผืนนี้สกปรกแล้ว"
"ไม่มีปัญหา ข้าไม่ถือสา" เฉียวเยว่ตอบอย่างฉาดฉาน
แต่หรงจ้านไม่ยอมปล่อยมือ "สกปรกแล้วจริงๆ" เขาใช้สองนิ้วคีบผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นออกมาราวกับเห็นว่ามันสกปรกจนดูไม่ได้
"เก็บให้คุณหนูเจ็ด" เขากล่าว ก่อนที่จะหยิบผ้าเช็ดหน้าของตนเองมาเช็ดให้นาง "เป็สตรีควรพิถีพิถันมากหน่อย"
"ไม่เห็นจำเป็เลย" เฉียวเยว่รู้สึกว่าอย่างไรก็ได้
"ไม่ได้ ไม่สะอาด"
หลังจากเช็ดหน้าให้นางเสร็จ ก็หยิบผ้าขึ้นมาอีกผืนแล้วเช็ดมือให้นางอย่างพิถีพิถัน
เฉียวเยว่มองตาค้าง ในแขนเสื้อเขามีผ้าเช็ดหน้ากี่ผืนกันแน่
เฉียวเยว่เงยหน้าอยากจะพูดบางอย่าง แต่แล้วก็พลันตกตะลึง แพขนตายาวของเขากะพริบปริบๆ เฉียวเยว่ทำแก้มป่องร้อง "อู้หู"
...
[1] เนื้อร้องจากเพลงชุนเทียนหลี่ โดยเจาเผิง วางจำหน่ายในปีพ.ศ. 2552
[2] แล่นเรือไปตามลม หมายถึง การปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์
[3] เป่ยต้า เป็ชื่อย่อของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ส่วนชิงหวา คือมหาวิทยาลัยชิงหวา
[4] จ้วงหยวน หรือคนไทยเรียกจอหงวน เป็ตำแหน่งของผู้ที่สอบเคอจวี่ได้เป็อันดับหนึ่ง ส่วนอันดับที่สองเรียกว่า ปั่งเหยี่ยน และอันดับสามเรียกว่าทั่นฮวา
[5] ยามโฉ่วคือเวลา 1.00 - 2.59 ยามอิ๋นคือเวลา 3.00 - 4.59 น.
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้