เมื่อทั้งสามช่วยกันเข็นรถออกมาที่หน้าบ้าน เมื่อเปิดประตูออกมาก็บังเอิญเจอผู้หญิงในหมู่บ้านพอดี ผู้หญิงคนนี้ชื่อฟางหงเธอเป็ผู้หญิงที่แต่งงานเข้ามาในหมู่บ้านนี้พร้อมกันกับหลินซี ทั้งสองมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
ในความทรงจำเหมือนว่าผู้หญิงคนนี้ก็แอบชอบลู่หานมาก่อนเหมือนกันและก็อยากจะแต่งงานกับลู่หาน แต่คนที่ได้แต่งงานกับลู่หานคือหลินซี หลังจากหลินซีแต่งงานกับลู่หานได้ไม่นานเธอก็แต่งงานกับชายหนุ่มในหมู่บ้านนี้
เพราะเธอไม่พอใจที่หลินซีได้แต่งงานกับลู่หาน เธอเลยมักจะพูดถึงหลินซีในทางที่ไม่ดีอยู่หลายครั้ง ซึ่งหลินซีเองก็รู้แต่เธอก็ไม่สนใจเพราะคนที่นินทาเื่ของเธอมันเยอะจนเธอนับไม่หวาดไม่ไหว
“ป้าสะใภ้พวกคุณเข็นรถกำลังจะไปไหนหรือคะของเยอะเชียว” ฟางหงพูดกับคุณแม่ลู่เสียงอ่อนเสียงหวานทำเอาหลินซีที่ได้ยินต้องหันหน้าหนีเพราะเธอกลัวว่าตนเองจะหลุดขำออกมา
วันนี้เป็วันแรกที่พวกเธอเริ่มขายของคุณแม่ลู่รู้สึกเขินอายไม่น้อยที่จะบอกคนอื่นว่าตนเองจะไปขายของในเมือง ไม่ใช่เพราะว่าอายแต่กลัวว่าหากบอกไปแล้วถ้าขายไม่ได้คงจะกลายเป็เื่ตลกครั้งใหญ่ของหมู่บ้าน
“หลินซีกับพวกเราตั้งใจทำซาลาเปาเพื่อนำไปขายในเมือง” คุณแม่ลู่เอ่ยตอบด้วยความกังวล
“เงินที่พี่ลู่ส่งกลับมาให้ไม่พอใช้หรือไงเธอถึงได้ต้องลำบากออกไปขายซาลาเปาแบบนี้” ฟางหงพูดด้วยน้ำเสียงดูถูก พร้อมกับมองไปที่หลินซีด้วยความประหลาดใจเพราะเธอไม่คิดว่าคนอย่างหลินซีจะกล้าออกหน้าไปขายของ
“เื่ของบ้านคนอื่นเธออย่ายุ่งอะไรมากนักเลย ถ้าเธอว่างมากก็ลงไปทำงานในไร่ของที่บ้านตัวเองเถอะ เธอมายืนขวางทางแบบนี้มันเสียเวลาคนอื่นเขาทำมาหากินนะ” หลินซีพูดพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่ฟางหงด้วยสายตาไม่พอใจ
“นี่เธอจะหาเื่กับฉันใช่ไหม” ฟางหงรู้สึกไม่พอใจที่หลินซีพูดกับเธอแบบนั้นเธอจึงยืนเท้าเอวขวางทางรถเข็นไม่หลบไปไหน
หลินซีที่คิดว่าเธอเองก็พูดดีมากแล้ว เมื่อเห็นว่าฟางหงไม่ยอมหลบเธอเองก็รู้สึกโกรธเหมือนกัน
“ฉันหลินซีไม่อยากมีเื่แต่ถ้าเื่มันวิ่งเข้าหาฉันก็พร้อม” หลินซีพูดพร้อมกับหยิบไม้ฟืนท่อนใหญ่ที่เตรียมไว้จุดไฟเพื่อตั้งเตาอุ่นซาลาเปาให้ร้อนตลอดเวลา
“นี่เธอจะทำอะไร” ฟางหงที่เห็นหลินซีหยิบไม้ฟืนท่อนใหญ่ออกมาเธอก็เดินหลบไปโดยไม่รู้ตัว
หลินซีที่เห็นฟางหงเดินหลบทางรถเข็นแล้วเธอก็วางไม้ฟืนไว้ที่เดิมพร้อมกับช่วยพ่อแม่สามีเข็นรถต่อ
“ไปเถอะค่ะ”
หลังจากทั้งสามเข็นรถออกไปแล้วฟางหงก็ยืนกระทืบเท้าอยู่คนเดียวด้วยความโกรธ
“เหอะแค่ทำซาลาเปาไปขายในเมืองใครมันจะไปซื้อกัน แค่ซาลาเปาใครๆ ก็ทำกินเองกันได้ทำไมต้องเสียเงินซื้อซาลาเปาที่เธอทำด้วย” ฟางหงะโเสียงดังเพื่อ้าให้ทั้งสามที่เพิ่งเข็นรถออกไปได้ยิน
“อย่าไปสนใจคำพูดไม่ดีของคนอื่นเลยนะคะ คุณพ่อคุณแม่ฉันเชื่อว่าซาลาเปาที่ทำวันนี้พวกเราจะต้องขายหมดแน่นอนค่ะ” หลินซีพูดให้กำลังใจพ่อแม่สามีส่วนเธอไม่้าเพราะเธอเชื่ออยู่แล้วว่ามันต้องขายได้เพราะซาลาเปาที่เธอทำทั้งลูกใหญ่ไส้แน่นและอร่อยถึงแม้จะราคาแพงไปนิดแต่เธอก็มั่นใจว่ามันต้องขายหมด
คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ถึงแม้จะยังมีความกังวลแต่ทั้งสองก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
สถานที่ที่หลินซีเลือกขายซาลาเปาในวันนี้เธอเลือกขายที่สถานีรถไฟเพราะสถานีรถไฟเป็สถานที่ที่มีคนพลุกพล่านจำนวนมาก
แต่ละคนที่มาขึ้นรถไฟส่วนมากก็เร่งรีบถ้าหิวข้าวก็ไม่มีเวลาทานข้าวซาลาเปาเป็ตัวเลือกที่ดีที่สุดสามารถซื้อแล้วสามารถนั่งกิน ยืนกินนอนกิน เดินกินก็ได้หรือสามารถนำขึ้นไปนั่งกินบนรถไฟก็ได้ พูดง่ายๆ คือซาลาเปาของเธอมันกินสะดวก
ทั้งสามที่ใช้เวลาเข็นรถเดินเท้าเข้ามาในเมืองใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่ากว่าจะมาถึงสถานีรถไฟตอนนี้ก็เป็เวลาประมาณเจ็ดโมงเช้าพอดี
หลินซีที่เห็นที่ว่างอยู่ตรงหน้าสถานีรถไฟพอดีเธอจึงเลือกขายตรงนั้นเพราะที่ตรงนั้นเป็ทำเลที่เหมาะสมเวลาคนจะเดินเข้าออกสถานีรถไฟก็ต้องเดินผ่านตรงนี้
เมื่อได้ที่ขายแล้วคุณพ่อลู่ก็เตรียมเอาเตาไฟที่เตรียมมาจากบ้านเริ่มจุดส่วนคุณแม่ลู่ก็เตรียมซึ่งนึ่งซาลาเปา แม้ว่าซาลาเปาจะนึ่งสุกมาจากที่บ้านแล้ว แต่การได้กินซาลาเปาร้อนๆ หลินซีว่ามันดีกว่าเพราะฉะนั้นเธอเลยเตรียมเตามาเพื่อนึ่งซาลาเปาร้อนๆ อยู่ตลอดเวลาพร้อมขาย
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จแล้วคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็หันมองไปที่หลินซีเป็สายตาเดียวกันทั้งสองไม่เคยขายของมาก่อนเพราะฉะนั้นจึงจำเป็ต้องรอให้หลินซีบอกว่าต้องทำอะไร ส่วนหลินซีที่เห็นสายตาที่มีความคาดหวังเต็มเปี่ยมของพ่อแม่สามีเธอก็รู้สึกว่าตนเองเป็คนสำคัญขึ้นมาทันที
หลินซีมองคนที่เดินผ่านไปมาแล้วเธอก็เริ่มะโแนะนำซาลาเปา ชายวัยกลางคนที่กำลังเดินเข้าไปในสถานีรถไฟเมื่อได้ยินเสียงะโของหลินซีเขาก็หันกลับมามอง
“พี่ชายสนใจซาลาเปาร้อนๆ ไหมคะ ฉันรับรองเลยว่าซาลาเปาที่ฉันทำนั้นอร่อยมาก ซาลาเปามีไส้ผักกาดขาว ไส้เห็ดหอม ไส้ผักกุยช่ายแล้วก็มีไส้หมู พี่ชายสนใจไหมคะ ซาลาเปานึ่งร้อนๆ เลย”
ชายคนนั้นเมื่อเห็นว่าหลินซีตั้งใจแนะนำซาลาเปาให้เขาเขากลัวเธอเสียใจจึงตัดสินใจซื้อซาลาเปาลูกละ สองเหมาไปสองลูก
หลินซีก็รีบนำซาลาเปาร้อนๆ สอง ลูกใส่กระดาษห่อที่เธอเตรียมเอาไว้แล้วยื่นให้ชายตรงหน้า
ยุคนี้ยังไม่มีถุงพลาสติกถ้าจะห่ออาหารก็จำเป็ต้องใช้กระดาษเท่านั้น
ชายตรงหน้าเมื่อได้ซาลาเปาลูกโตสองลูกมาแล้วก็รู้สึกตกตะลึงเพราะไม่คิดว่าซาลาเปาจะลูกใหญ่ขนาดนี้ เขารับซาลาเปามาพร้อมกับจ่ายเงินสี่เหมาให้หลินซี หลินซีฃที่ได้เงินสี่เหมาแรกมาเธอก็ยื่นให้แม่สามีเป็คนเก็บ
คุณแม่ลู่รับเงินนั้นมาด้วยอาการสั่นเทา
หลินซีที่ไม่มีเวลาสนใจอาการของแม่สามี เพราะเมื่อคนที่เดินผ่านไปมาเห็นว่าชายคนนั้นถือซาลาเปาลูกโตแล้วก็กัดกิน บนใบหน้าของเขาเขียนคำว่าอร่อยไว้อย่างชัดเจน
หลายคนที่เห็นแบบนั้นก็เดินเข้ามาซื้อซาลาเปาด้วยเหมือนกันหลินซีก็แนะนำซาลาเปาด้วยรอยยิ้ม คนอื่นๆ ที่เดินผ่านไปมาเมื่อเห็นว่ามีคนมุงกันอยู่ที่หน้าร้านของเธอพวกเขาก็เดินเข้ามาดูเหมือนกัน
ชายคนหนึ่งที่พึ่งซื้อซาลาเปาไปเขาก็กัดกินซาลาเปาตรงหน้าร้านเพื่อให้ทุกคนเห็นว่าซาลาเปาที่เธอขายนั้นไส้แน่นจริงๆ และยังชมว่าซาลาเปาที่เธอทำนั้นอร่อยไม่หยุดปาก
เมื่อมีคนมามุงซื้อจำนวนมากคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็ใจนทำอะไรไม่ถูกทำให้หลินซีต้องพยายามมากทั้งห่อซาลาเปาทั้งเก็บเงินอยู่คนเดียว
หลังจากขายซาลาเปาสองลูกให้ชายคนนั้นแล้ว ต่อมาซาลาเปาก็ถูกขายไปไม่หยุดจนทำให้ซาลาเปาร้อนไม่ทัน แต่บางคนที่ต้องรีบขึ้นรถไฟก็ไม่สนใจว่าซาลาเปานั้นจะร้อนหรือเปล่าขอเพียงแค่มันสุกสามารถกินได้ก็พอแล้ว
ผ่านไปไม่นานคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ก็เริ่มปรับตัวได้และเข้ามาช่วยหลินซีห่อซาลาเปาแล้วก็เก็บเงินกับลูกค้า
“คุณน้าครับซาลาเปาที่คุณน้าทำอร่อยมากเลยครับ” ชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบกว่าปีพูดกับคุณแม่ลู่ด้วยรอยยิ้ม
“ฉันไม่ได้เป็คนทำหรอกจ้ะเป็ลูกสะใภ้ของฉันเป็คนทำถ้าพ่อหนุ่มว่าอร่อยก็ดีแล้วไว้ครั้งหน้าก็มาซื้ออีกนะ พวกเราตั้งใจจะมาขายซาลาเปาที่นี่ทุกวัน” คุณแม่ลู่พูดกับลูกค้าชายคนนั้นด้วยรอยยิ้มแห่งความยินดี
ซาลาเปาที่เธอกับสามีคิดว่ามันแพงแต่สำหรับคนในเมืองกลับมองว่ามันถูกด้วยซ้ำเธอไม่เข้าใจการใช้ชีวิตของคนในเมืองจริงๆ
ที่คุณแม่ลู่ไม่เข้าใจก็ไม่แปลกเพราะการใช้ชีวิตของคนในเมืองกับการใช้ชีวิตของคนในชนบทนั้นแตกต่างกันมาก คนในชนบทรายได้ส่วนมากของพวกเขาก็มาจากการทำไร่การทำไร่ไม่ได้มีรายได้มากอะไร แค่มีเงินเพียงพอให้ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเท่านั้น
ส่วนคนในเมืองส่วนมากก็มีงานประจำทำในโรงงาน บางคนก็เป็ข้าราชการพนักงานในหน่วยงานรัฐมีเงินเดือนประจำทุกเดือนมีสวัสดิการอีกมากมาย หลินซีไม่แน่ใจว่าค่าแรงพนักงานตอนนี้เท่าไหร่แต่ลู่หานส่งกลับมาให้เธอเดือนละสามสิบหยวนเธอคิดว่าค่าแรงของพนักงานก็คงไม่น้อยไปกว่าสามสิบหยวนแน่นอน
ทั้งสามยืนขายซาลาเปาที่หน้าสถานีรถไฟผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่า ซาลาเปาหนึ่งร้อยห้าสิบลูกที่ทำมาก็ถูกขายทั้งหมดทำให้คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่มีรอยยิ้มเบิกบานต่างจากตอนแรกที่ไม่รู้ว่าจะขายได้ไหม
สาเหตุที่ขายได้เร็วแบบนี้เพราะหลินซีเลือกสถานที่ขายถูกเพราะคนจะขึ้นรถไฟในยุคนี้ส่วนมากก็จะเป็คนมีฐานะ การจะขึ้นรถไฟในตอนนี้ยังต้องใช้หนังสือรับรองอยู่จึงจะสามารถซื้อตั๋วรถไฟได้
และอีกอย่างตั๋วรถไฟก็ราคาแพงมากแม้แต่ตั๋วยืนก็ราคาหลายสิบหยวนแล้ว ส่วนตั๋วที่นั่งหรือตั๋วนอนก็ยิ่งราคาแพงขึ้นไปอีกจากที่หลินซีรู้มาตั๋วสำหรับนอนนั้นราคาหลายร้อยหยวนเลย แต่ก็ไม่ใช่ว่าคุณมีเงินแล้วจะสามารถซื้อตั๋วนอนได้ เพราะตั๋วนอนส่วนมากจะเก็บเอาไว้ให้ข้าราชการหรือคนสำคัญในหน่วยงานรัฐหรือบุคคลที่มีอาชีพพิเศษเช่นหมอ
หลังจากซาลาเปาขายหมดทั้งสาม ก็ช่วยกันเก็บของมีหลายคนที่ได้ยินว่ามีซาลาเปาอร่อยมาขายที่หน้าสถานีรถไฟก็ต่างรีบมาซื้อกันแต่ก็ซื้อไม่ทัน และก็มีหลายคนที่กินแล้วชอบก็คิดว่าคงจะมาเป็ลูกค้าประจำของร้านซาลาเปาร้านนี้อีก และยังถามอีกว่าพรุ่งนี้จะมาขายอีกไหมคุณพ่อลู่ที่ถูกถามก็ตอบว่าพรุ่งนี้จะมาขายอีกแน่นอน
และก็บอกทุกคนด้วยว่าพรุ่งนี้จะทำซาลาเปามาให้มากกว่านี้ให้เพียงพอสำหรับทุกคนแน่นอน เมื่อเก็บของเสร็จแล้วทั้งสามก็ช่วยกันเข็นรถกลับบ้านด้วยรอยยิ้มที่ปิดไม่มิตร
ต่างจากตอนแรกที่มาที่บนใบหน้าแต่ละคนมีความกังวลมีเพียงหลินซีคนเดียวเท่านั้นที่ยังยิ้มได้
เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วคุณพ่อลู่ก็รีบล็อคประตูและทุกคนก็ไปนั่งรวมตัวกันที่ห้องโถงเพื่อนับเงินที่ขายได้ทั้งหมดของวันนี้
เมื่อนับเงินทั้งหมดแล้วก็พบว่าได้เงินยี่สิบหยวนพอดีไม่ขาดแม้แต่เหมาเดียว
ทั้งสามคนมองหน้ากันด้วยความอึ้งแม้แต่หลินซีที่คำนวณเอาไว้คร่าวๆ แล้วว่าจะได้จำนวนเงินประมาณเท่านี้ แต่พอเห็นเงินอยู่ในมือจริงๆ แล้วเธอเองก็ดีใจจนพูดไม่ออกเหมือนกัน
คุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ที่รู้รายได้ของวันนี้ก็ร้องไห้ออกมาราวกับเด็กเพราะทั้งสองอัดอั้นมามาก กลัวว่าจะขายไม่หมดกลัวว่าลูกสะใภ้จะผิดหวัง ทั้งสองกลัวไปหมดพอกลับมาถึงบ้านได้นับเงินแล้วความอัดอั้นที่มีทั้งหมดก็ถูกระบายผ่านการร้องไห้ออกมา
เมื่อคิดค่าต้นทุนค่าวัตถุดิบ ค่าฟืนและก็ค่าผักแล้ว หลินซีก็คิดว่าวันนี้เธอสามารถทำรายได้ได้ทั้งหมดเจ็ด หยวนโดยประมาณ
“แค่วันเดียวเราก็มีรายได้เกือบจะเทียบเท่าเงินเดือนของลูกชายแล้ว” คุณแม่ลู่พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม
“วันนี้เราทำไปขายแค่หนึ่งร้อยห้าสิบลูกถ้าวันพรุ่งนี้เราทำเพิ่มขึ้นอีกรายได้ของเราก็จะต้องมากขึ้นกว่านี้” คุณพ่อลู่พูดด้วยน้ำเสียงยินดี
หลินซีที่ได้ฟังคำพูดของพ่อสามีแต่เธอกลับไม่คิดเหมือนกับคุณพ่อลู่
“คุณพ่อคะถ้าเราจะทำเพิ่มฉันคิดว่ากำลังของพวกเราหากทำเพิ่มมากสุดก็คงเพิ่มได้แค่อีกหนึ่งร้อยลูกเท่านั้นถ้าจะให้ทำเพิ่มมากกว่านี้ ฉันคิดว่าพวกเราคงทำกันไม่ไหวหรอกค่ะ” หลินซีพูดด้วยน้ำเสียงกังวล
“เอาล่ะอย่าคิดมากเลยทำได้แค่ไหนก็ขายแค่นั้นขอแค่มีกำไรก็พอแล้ว” คุณแม่ลู่ที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากขอแค่ไม่ขาดทุนสำหรับเธอแค่นี้ก็ดีมากแล้ว
“ใช่แล้วแม่เธอพูดถูก” คุณพ่อลู่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของภรรยา
หลินซีก็พยักหน้ารับ
หลังจากนับเงินเสร็จหลินซีก็เก็บเงินไว้กับแม่สามี ส่วนตัวเธอก็ขอตัวไปนอนเพราะตอนนี้เธอง่วงมากเพราะต้องตื่นั้แ่เช้า
ส่วนคุณพ่อลู่กับคุณแม่ลู่ที่คุ้นชินกับการตื่นเช้าแล้วทั้งสองยังสามารถลงไปทำงานในไร่ได้ต่ออย่างสบาย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้