“ไม่ได้มาด้วยหรอกค่ะ เราจะทำการเซอร์ไพรส์ลุงกันไม่ใช่หรือ”
คำพูดของเซี่ยเสี่ยวหลานทำให้ใบหน้าของหลี่เฟิ่งเหมยมีรอยยิ้ม หลิวหย่งชอบเซอร์ไพรส์นักไม่ใช่หรือ เช่นนั้นเธอก็จะทำการเซอร์ไพรส์ให้เขาบ้าง
ไม่ได้ทำธุรกิจค้าบุหรี่แล้ว ร้านขายวัสดุคงคืนทุนได้ไม่เร็วนัก ดังนั้นคังเหว่ยจึงไม่กล้าใช้เงินมือเติบจนเกินไป เขาซื้อรถจี๊ปรุ่น 212 ราคารวมภาษีแล้วเพียงสี่หมื่นหยวนเท่านั้น เขาอยากไปประมูลรถที่ถูกยึดจากการลักลอบค้าของเถื่อนที่ศุลกากรเพราะราคาถูกมาก แต่กลับไม่มีรุ่นที่เหมาะสมเลย รถจี๊ปมีกลิ่นอายของความเป็ชายชาติทหารมากกว่า หากคังเหว่ยขับรถคันนี้ตะลอนทั่วเผิงเฉิง ก็คงไม่มีใครบอกว่าเขาเป็พวกขี้อวด!
คังเหว่ยะโลงจากรถ และรับสัมภาระที่มีไม่มากนักจากพวกหลี่เฟิ่งเหมยทันที
ที่คอเขามีกล้องถ่ายรูปยี่ห้อไลกาห้อยอยู่
่นี้เขาเล่นแต่ของเล่นใหม่ๆ ทั้งนั้น เซี่ยเสี่ยวหลานใช้กล้องเก่าแบบนี้ไม่เป็เท่าไร คังเหว่ยจึงอาสาเป็ช่างภาพให้ เขาใช้ลานจอดเครื่องบินขนาดเล็กเป็ฉากหลัง ก่อนจะแล้วถ่ายรูปหลี่เฟิ่งเหมยและคนอื่นๆ เอาไว้เป็ที่ระลึกในการนั่งเครื่องบินครั้งแรก ยุคนี้การถ่ายรูปเป็งานอดิเรกของพวกคนมีสตางค์ เนื่องจากกล้องมีราคาแพง อีกทั้งค่าฟิล์มก็ไม่ใช่ถูกๆ
ไลกานับว่าเป็กล้องชั้นสูง เนื่องจากหนุ่มสาวทั่วไปมักซื้อกล้องถ่ายรูปยี่ห้อนกนางนวลที่ผลิตในประเทศ ซึ่งนั่นก็มากพอจะนำมาโอ้อวดได้แล้ว
คังเหว่ยขายกิจการบุหรี่ให้กับคนอื่น ดังนั้นในมือจึงถือเงินก้อนใหญ่ เขาอาจจะรวยสู่โจวเฉิงที่เข้าสู่วงการนี้มาก่อนไม่ได้ แต่ก็ถือว่ารวยกว่าเซี่ยเสี่ยวหลาน คนหนุ่มสาวหาเงินได้มีหรือจะไม่ใช้ โจวเฉิงชอบซื้อนาฬิกา ในขณะที่คังเหว่ยอดทนมานานกว่าจะซื้อกล้องถ่ายรูปสักเครื่อง นี่นับว่าเขาติดดินมากแล้ว
คังเหว่ยผู้ติดดินขับรถพาพวกเซี่ยเสี่ยวหลานเดินทางจากหยางเฉิงสู่เผิงเฉิง
เขาถามพวกเธอว่าจะไปที่ไหนก่อน หลี่เฟิ่งเหมยตอบทันที “ไปที่พักของลุงเสี่ยวหลาน”
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานมาถึงสนามบินก่อนคนอื่น เธอได้ถามคังเหว่ยว่าลุงของเธอมีความสัมพันธ์กับเด็กนั่งดริงก์คนนั้นหรือเปล่า ทว่าคังเหว่ยเองก็ไม่แน่ใจ แต่เด็กนั่งดริงก์คนนั้นคงไม่ได้อาศัยอยู่กับหลิวหย่งแน่นอน คังเหว่ยถึงกล้าพาทุกคนไปยังบ้านพักของหลิวหย่งที่เมืองเผิงเฉิง
หลิวหย่งพักอยู่ที่ไหนน่ะหรือ?
เนื่องจากเขาไม่อยากเสียเงินพักที่บ้านพักรับรองจึงได้ตัดสินใจเช่าบ้านของชาวบ้านอยู่
เขาเช่าบ้านขนาดสามห้องนอน หลิวหย่งพักอยู่ห้องหนึ่ง อีกห้องเป็ของหลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยน ส่วนห้องที่เหลือนั้นเป็ห้องที่กงหยางเคยอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ ตัวบ้านเรียบง่าย สองห้องนอนถูกล็อคกุญแจไว้อย่างแ่า แต่อีกห้องถูกเปิดประตูทิ้งไว้ บนเตียงไม้มีร่างหนึ่งกำลังนอนหลับอยู่ เขาคือคนงานของหลิวหย่ง วันนี้ไม่สบายจึงไม่ได้ไปทำงาน
คนงานที่ทำงานตกแต่งภายในให้หลิวหย่ง หลิวหย่งจะเช่าบ้านให้พวกเขาอยู่รวมกัน
หลี่เฟิ่งเหมยมองผ่านหน้าต่างเข้าไป ในบ้านไม่ได้รกมากนักแต่ก็ทรุดโทรมพอสมควร ตัวพื้นบ้านไม่ได้เทปูนด้วยซ้ำ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเื่การตกแต่งภายใน
บ้านแบบนี้แม้แต่หลี่เฟิ่งเหมยเองก็ไม่เคยอยู่
บ้านเก่าของตระกูลหลิวที่หมู่บ้านชีจิ่งยังดูดีกว่าบ้านหลังนี้เสียอีก
“ลุงเสี่ยวหลานอยู่ที่นี่หรือ”
คังเหว่ยพยักหน้า “ลุงหลิวต้องทำงานอยู่ที่นี่ตลอดครับ ผมบอกให้เขาไปพักที่บ้านพักรับรอง แต่เขาบอกว่าจะพักหรูขนาดนั้นไปทำไม กลับมาแค่นอนพักผ่อนเท่านั้น มีเตียงหลังเดียวก็พอแล้ว”
หลิวหย่งไม่เคยเปลี่ยนที่อยู่เลย
ตอนเซี่ยเสี่ยวหลานยังอยู่ที่เผิงเฉิง เขาจึงพักที่บ้านพักรับรอง แต่พอเซี่ยเสี่ยวหลานกลับไป หลิวหย่งก็ตระหนี่กับตัวเองมาก
โชคดีที่หลี่ต้งเหลียงกับเก่อเจี้ยนยอมติดตามเ้านายที่ไม่พิถีพิถันเช่นนี้ สถานที่แบบนี้ ขนาดพวกสุนัขรับใช้ของเถ้าแก่ใหญ่ยังไม่ชายตาแลด้วยซ้ำ
พอรู้ว่าหลิวหย่งอยู่ที่แบบนี้ หลี่เฟิ่งเหมยก็รู้สึกปวดใจ
ที่แท้ไม่ใช่แค่เธอคนเดียวที่ต้องประหยัดมัธยัสถ์อยู่ซางตู หลิวหย่งเองก็เช่นกัน แม้จะทำธุรกิจอยู่ที่นี่แต่เขาก็ประหยัดเงินทุกวิถีทาง
ทั้งครอบครัวย้ายมาจากชนบท จะตั้งรกรากในตัวเมืองอย่างไรแรงกดดันย่อมตกอยู่ที่ตัวหลิวหย่งทั้งสิ้น หลี่เฟิ่งเหมยเริ่มเข้าใจความรู้สึกของหลิวหย่งที่ยอมใช้เงินก้อนโตซื้อเรือนสี่ประสานที่ปักกิ่งแล้ว อาจเป็เพราะความตื่นเต้น เมื่อเจอบ้านที่เหมาะสมและมีเงินมากพอ จึงคว้าโอกาสไว้ก่อนแล้วค่อยคิดเื่อื่น
“บ้านที่ลุงของหลานซื้อที่ปักกิ่งคงดีกว่าที่นี่สินะ”
เซี่ยเสี่ยวหลานพยักหน้า “ถึงแม้ลานบ้านจะผุพังไปบ้าง แต่โครงสร้างของบ้านยังคงเดิม ก่อด้วยอิฐสมัยโบราณ พื้นปูด้วยหินขัด เป็บ้านเก่าแก่ที่มีอายุหลายสิบปี ในอดีตมีไว้ให้พวกขุนนางพักอาศัย ถ้าไม่ใช่เพราะเ้าของบ้านรีบร้อนอยากได้เงินไปต่างประเทศ เขาคงทำใจขายไม่ได้แน่นอน”
แม้จะอยู่ในปี 1984 แต่ซอยหนานหลัวกู่ก็ถือว่าเป็ทำเลทอง
หากไม่ได้มีไว้อยู่เองแล้วนำไปปล่อยเช่า ก็จะได้ค่าเช่าจำนวนหนึ่งทุกเดือน
หากมีไว้อยู่เอง เรือนสี่ประสานหลังนั้นก็นับว่ากว้างขวาง ทำเลดี เดินออกจากซอยไปก็มีร้านอาหารเต็มไปหมด ใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย
เื่พวกนี้เดิมทีหลิวหย่งตั้งใจจะอธิบายกับหลี่เฟิ่งเหมย แต่เป็หลี่เฟิ่งเหมยที่เอาแต่โมโหจนไม่อยากรับฟังสิ่งใด
ตอนนี้พอฟังรายละเอียดที่ออกจากปากเซี่ยเสี่ยวหลาน หลี่เฟิ่งเหมยก็ตระหนักได้ เซี่ยเสี่ยวหลานไม่มีทางทำธุรกิจที่ขาดทุน ครอบครัวเธอหาเงินได้ก็เพราะมีเซี่ยเสี่ยวหลานคอยชี้แนะ ดังนั้นบ้านที่เซี่ยเสี่ยวหลานแนะนำให้หลิวหย่งซื้อมีหรือที่จะแย่?
ที่จริงความโกรธของหลี่เฟิ่งเหมยหายไปจนเกือบหมดแล้ว
เมื่อไม่เจอหลิวหย่งที่บ้าน คังเหว่ยจึงพาพวกเขาไปที่ร้านขายวัสดุก่อสร้าง
ร้านขายวัสดุก่อสร้าง หลิวเฟินนั้นเคยไปแล้ว แต่หลี่เฟิ่งเหมยยังไม่เคยไปมาก่อน
สภาพแวดล้อมของตลาดสินค้าใช้สอยไม่ได้ดีมากนัก เนื่องจากแผงขายของเรียงรายระเกะระกะ แต่กลับยิ่งทำให้ ‘อันเจียวัสดุ’ ดูมีระดับยิ่งขึ้น
แม้แผงลอยเล็กๆ จะดูรกตาไปบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็นำพามาซึ่งความเจริญของชุมชน
ไป๋เจินจูไม่ได้ทิ้งแผงลอยของตัวเอง เธอจ้างพนักงานสองคนมาช่วยขายของ พอเห็นพวกเซี่ยเสี่ยวหลาน เธอก็รู้สึกดีใจมาก “เสี่ยวหลาน เราไม่ได้เจอกันมาตั้งสองสามเดือน ตอนวันชาติฉันเห็นเธอในทีวีด้วยนะ!”
ไป๋เจินจูพาหลี่เฟิ่งเหมยเดินดูรอบๆ ร้านวัสดุ
หลิวหย่งทำธุรกิจอื่นข้างนอก ร้านวัสดุก่อสร้างจึงเป็เหมือนสถานที่จัดแสดงสินค้า
หลังไป๋เจินจูพาพวกหลี่เฟิ่งเหมยขึ้นชั้นบนไปแล้ว เซี่ยเสี่ยวหลานถึงถามคังเหว่ย “พูดมาเถอะ ลุงฉันอยู่ไหน”
“พี่สะใภ้ เธอไปเจอพี่พานซานก่อนดีกว่า”
“พี่พานซานมาถึงแล้วหรือ?”
คังเหว่ยพยักหน้า
ในเมื่อพานซานมาถึงแล้วก็แสดงว่า เขาสืบประวัติของหลิวเทียนเฉวียนมาได้พอสมควรแล้วนั่นเอง เซี่ยเสี่ยวหลานรู้ว่าประเด็นหลักของเื่นี้ไม่ใช่เด็กนั่งดริงก์ แต่อยู่ที่ตัวหลิวเทียนเฉวียน
คังเหว่ยพาเธอเดินไปอีกด้าน ก่อนจะเห็นพานซานนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่ขั้นบันไดหิน
“พี่พานซาน ครั้งนี้ต้องรบกวนพี่อีกแล้ว”
พานซานโยนก้นบุหรี่ทิ้ง ก่อนจะปัดมือแล้วลุกขึ้นยืน “หลิวเทียนเฉวียนสร้างตัวตนใหม่เป็นักธุรกิจจากฮ่องกง แต่ความจริงแล้วเขาคือหนึ่งในสมาชิกชุมนุมหนึ่งของฮ่องกง น้องสาวเขาเป็เมียน้อยของตู้เชิงหรง ประธานกรรมการเครือบริษัทเชิงหรงฮ่องกง ตู้เชิงหรงมีเมียหลวงกับเมียน้อยอีกสามคน บรรดาเมียๆ ของเขามักจะแก่งแย่งชิงดีกันอย่างเอาเป็เอาตาย แต่ละคนต่างก็อยากได้ทรัพย์สมบัติของตู้เชิงหรงมากกว่าคนอื่น พี่เมียน้อยอย่างหลิวเทียนเฉวียนทำธุรกิจใหญ่โตใช้ได้ แต่ที่จริงคือพยายามหาเงินมาจุนเจือน้องสาว ที่บริษัทเทียนเฉินก้าวหน้าขนาดนี้ ก็เพราะพึ่งพาบารมีของตระกูลตู้”
ดังนั้น นักธุรกิจใหญ่โตอย่างหลิวเทียนเฉวียน ที่จริงเป็แค่ลิ่วล้อของตระกูลตู้สินะ?
ตระกูลตู้อะไรนี่ ห่างชั้นกับเซี่ยเสี่ยวหลานมากเกินไป
ตอนนี้แค่ลิ่วล้อคนหนึ่งของตระกูลตู้ ก็ทำเอาลุงของเธอหัวหมุนอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
พอได้ยินพานซานบอกว่าเื้ัหลิวเทียนเฉวียนมีชุมนุมหนุนหลัง เซี่ยเสี่ยวหลานก็ระแวงขึ้นมาทันที และ ‘ชุมนุม’ ที่ว่า ก็ไม่ใช่ชุมนุมแบบในโรงเรียนทั่วไป ที่ฮ่องกงมักเรียกแก๊งมาเฟียว่า ‘ชุมนุม’ ตอนหลังภาพยนตร์แนวมาเฟียของฮ่องกงได้รับความนิยมมากขึ้น จึงมีอิทธิพลต่อทัศนคติและค่านิยมของคนหนุ่มสาว ทำให้ผู้คนคิดว่าการใช้กำลังเป็เื่ที่มีเกียรติ แน่นอนว่าเซี่ยเสี่ยวหลานรู้สึกเคารพแต่เธอไม่ขออยู่ใกล้เด็ดขาด
หรือว่าทังหงเอินจะรู้ประวัติความเป็มาของหลิวเทียนเฉวียน หลังเข้ารับตำแหน่งเขาถึงได้เมินเฉยต่อ ‘นักธุรกิจชาวฮ่องกง’ ที่ดูสนิทสนมกับรัฐบาลเผิงเฉิงคนนี้?
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้