เล่มที่ 1 บทที่ 16
“ถ้าอยากเปลี่ยนความทรงจำเป็ความทรงจำเดิม จะต้องใช้ยาแก้พิษ ตราบใดที่กินยาแก้พิษ ความจำก็จะกลับคืนมาได้ไม่เกินครึ่งวัน! เพียงแต่ยาพิษชนิดนั้น เป็ยาพิษที่ได้รับการคิดค้นโดยปรมาจารย์ปรุงยาพิษผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในหุบเขาสัตว์พิษร้ายห้าชนิดมาเป็เวลานาน และต้องใช้เวลาในการเดินทางไปที่นั่นอย่างน้อยสามเดือน นอกจากนั้นปรมาจารย์ปรุงยาพิษผู้นั้นมีอุปนิสัยไม่ชอบคบค้าสมาคมกับผู้คน เขาไม่เคยติดต่อกับคนภายนอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้รับยาแก้พิษจากเขา”
ความหมายของจ้าวจื่อซินคงชัดเจนมากไปกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้า้ายาแก้พิษ ย่อมเป็ความฝันอันงี่เง่าโดยไม่ต้องสงสัย
คำพูดของจ้าวจื่อซินราวกับเป็การราดน้ำแข็งหนึ่งถังลงบนศีรษะ มู่หรงฉิงเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างอ่อนแรง ขณะมองพื้นด้วยดวงตาอันว่างเปล่า “ด้วยสาเหตุที่ว่าจึงไม่มีหวังแล้วกระนั้นหรือ...”
ถ้าแม่นมทั้งสองเชื่อใจยวี้เอ๋อร์ต่อไปเช่นนี้ สักวันหนึ่ง นางจะต้องตายด้วยน้ำมือของคนทั้งคู่เป็แน่!
ในเวลานี้ยวี้เอ๋อร์จะยังไม่ทำอะไรนาง แต่ถ้าเมื่อใด ท่านพ่อรู้สึกว่านางไม่มีประโยชน์แล้ว และ้าปลิดชีพของนาง ยวี้เอ๋อร์อาจไม่ลงมือด้วยตัวเอง ถ้าเช่นนั้นคนที่ปลิดชีพนาง จะต้องเป็แม่นมสองคน!
“น้องหญิงหมดเกลี้ยงแล้ว พุทราหวานหมดเกลี้ยงแล้ว” จ้าวจื่อซินรอที่จะพูด ทว่าเฉินเทียนหยูเดินเข้ามาหาพร้อมกับจานเปล่า “น้องหญิงหมดเกลี้ยงแล้ว”
“อีกสักพักก็จะได้เวลาทานอาหารกลางวันแล้ว ทานพุทราหวานมากไปก็ไม่ดีต่อสุขภาพฟัน รอกินยามบ่ายอีกหนดีหรือไม่?” มู่หรงฉิงเอ่ยถามเสียงเบาด้วยกลัวว่าเฉินเทียนหยูจะบีบคอนาง ถ้าเขาไม่มีความสุข
มู่หรงฉิงรู้สึกประหม่า แต่เฉินเทียนหยูกลับกะพริบตาและพยักหน้า “ได้สิ น้องหญิงหอมจังเลย”
เฉินเทียนหยูโยนจานทิ้ง ยกมือทั้งสองข้างขึ้นและโอบรอบเอวของมู่หรงฉิง “น้องหญิงแสนหวาน น้องหญิงแสนหวาน”
เฉินเทียนหยูกินพุทราหวานไปหนึ่งจาน ในเวลานี้ปากของเขาย่อมต้องหวานเป็แน่ ดังนั้นเมื่อจุมพิตริมฝีปากของมู่หรงฉิง เขาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ‘น้องหญิงแสนหวาน’
มู่หรงฉิงไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเฉินเทียนหยูจะทำตัวว่านอนสอนง่าย ชั่วขณะนั้นทำให้ปรากฏความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวใจ ดังนั้นถึงได้เอ่ยถามเฉินเทียนหยูอย่างกล้าหาญ “ท่านพี่ ในวันข้างหน้าไม่ว่าเื่อะไรก็ตาม ท่านพี่จะต้องเชื่อฟังฉิงเอ๋อร์ดีหรือไม่? ถ้าท่านพี่เชื่อฟังฉิงเอ๋อร์ทุกอย่าง ฉิงเอ๋อร์ก็จะต้องหอมหวานอยู่เสมอ”
มู่หรงฉิงไม่อยากอยู่ในความหวั่นกลัวและวิตกกังวลตลอดเวลา! นางอยากจะรู้เหลือเกินว่าจริงๆ แล้วขอบเขตของเฉินเทียนหยูอยู่ที่ไหนกันแน่? ตราบใดที่นางเข้าใจอารมณ์ของเฉินเทียนหยู ในภายภาคหน้านางก็จะสามารถรับมือกับเขาได้!
มู่หรงฉิงเอ่ยถามขณะที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ แต่เฉินเทียนหยูกลับงุนงง “เชื่อฟังน้องหญิงในทุกเื่หมายความว่าอย่างไรหรือ?”
“ใช่... ฉิงเอ๋อร์ให้ท่านพี่นั่งลง ท่านพี่ก็ต้องไม่ยืน ฉิงเอ๋อร์ให้ท่านพี่หยุด ท่านพี่ก็ต้องไม่เดินไป ถ้าให้ท่านพี่หยุดทำร้าย ท่านพี่ก็ต้องไม่ทำร้ายใครก็ตาม นั่นหมายความว่าข้าพูดอะไรก็ตาม ท่านพี่จะต้องเชื่อฟังข้า” มู่หรงฉิงเห็นว่ามีจ้าวจื่อซินอยู่ที่นี่ นางจึงมีความกล้าที่จะทดสอบ
ขณะเอ่ยถามมู่หรงฉิงค่อยๆ ขยับเท้าไปทางจ้าวจื่อซินเล็กน้อย ถ้าเฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งขึ้นมา นางก็สามารถขอความช่วยเหลือจากจ้าวจื่อซินในทันทีได้เช่นกัน
มู่หรงฉิงทดสอบเฉินเทียนหยู แต่ดวงตาของจ้าวจื่อซินเป็ประกาย ฮูหยินน้อยคนนี้ฉลาดจริงๆ เห็นๆ อยู่ว่านางกลัวจะตายอยู่แล้ว ถึงกระนั้นนางก็ยังสามารถรักษาความสงบเยือกเย็นไว้ได้ การค่อยๆ ก้าวเท้าเพียงเล็กน้อย ทำให้จ้าวจื่อซินอยากจะหัวเราะโดยปราศจากเหตุผล
ในจังหวะที่มู่หรงฉิง้าก้าวถอยหลังก้าวใหญ่ เฉินเทียนหยูผู้ซึ่งนิ่งฟังเงียบๆ ก็พยักหน้าอย่างหนัก “ได้สิ จากนี้ไปข้าจะเชื่อฟังน้องหญิงทุกอย่าง ตราบเท่าที่น้องหญิงมีกลิ่นหอมหวานก็จะเชื่อฟัง”
เฮ้อ…
แม้นางจะรู้ว่าคำพูดของคนโง่งมนั้นไม่ควรจริงจังด้วย แต่มู่หรงฉิงก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก
เมื่อได้ยินว่ายวี้เอ๋อร์และปี้เอ๋อร์กลับมาจากด้านนอก จ้าวจื่อซินจึงถอยกลับไปยืนอยู่ด้านหลังเฉินเทียนหยู ปล่อยให้พวกสาวใช้กรูเข้ามา หลังจากจัดวางอาหารแล้ว พวกนางก็ยืนอยู่ข้างๆ เพื่อรับใช้
“น้องหญิงป้อนข้าวให้ข้า”
มู่หรงฉิงคีบผักและกำลังจะส่งเข้าไปในปาก แต่นางกลับได้ยินเสียงอู้อี้ของเฉินเทียนหยู จังหวะนั้นเฉินเทียนหยูมองอาหารซึ่งนางส่งเข้าไปในปากครึ่งหนึ่งด้วยั์ตาเป็ประกาย
ไม่มีทางเลือก กับข้าวชิ้นนี้คงไม่ได้เข้าปากอย่างสมบูรณ์ นางจึงยกตะเกียบขึ้น “คำนี้ ข้าสามารถทานได้ใช่หรือไม่?”
แม้นางจะยังไม่ได้เคี้ยว แต่กับข้าวชิ้นนั้นเข้าปากของนางไปแล้ว นางจะให้เฉินเทียนหยูกินได้อย่างไร?
ทว่าเฉินเทียนหยูก็ไม่ยอมอยู่ดี “พวกเขาต่างบอกว่า น้องหญิงจะต้องป้อนข้าวให้ข้า! และจะต้องป้อนกับข้าวคำแรกให้ข้า”
“ก่อนหน้านี้ ท่านพี่ให้สัญญาแล้วไม่ใช่หรือว่าจะเชื่อฟังฉิงเอ๋อร์ทุกอย่าง?” มู่หรงฉิงลดเสียงขณะเอ่ยถามเฉินเทียนหยู
“ข้าไม่ได้ชกต่อยคน ไม่ได้ก่นด่าคน ข้าแค่อยากให้น้องหญิงป้อนข้าวให้ข้า”
ใบหน้าของเฉินเทียนหยูเต็มไปด้วยความคับข้องใจ ราวกับเป็เด็กซึ่งถูกทิ้งให้อยู่ในสภาพแวดล้อมอันหนาวเย็นก็มิปาน
มู่หรงฉิงรู้สึกปวดจากก้นบึ้งของหัวใจ เห็นๆ อยู่ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็บุรุษหน้าตาหล่อเหลาอย่างไม่อาจหาที่เปรียบ แต่เขากลับโง่ลงและมีอาการคลุ้มคลั่ง ได้ยินมาว่าก่อนเฉินเทียนหยูจะประสบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิด เขาเป็หนึ่งในบรรดาสามคุณชายในเมืองหลวง
เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ทำไมเฉินเทียนหยูถึงได้กลายเป็อย่างที่เป็อยู่ในเวลานี้?
“น้องหญิงป้อนข้า” มู่หรงฉิงถอนหายใจกับความโชคร้าย แต่เนื่องจากเฉินเทียนหยูหย่อนตัวนั่งข้างๆ มู่หรงฉิงเรียบร้อยแล้ว “พวกเขาบอกว่าน้องหญิงจะต้องกินข้าวและนอนกับข้า ทำเช่นนั้นถึงจะได้มีคุณชายน้อย”
“แคก แคก แคก…” มู่หรงฉิงใกับคำพูดของเฉินเทียนหยูถึงกับไอออกมา แม่นมจิ่นรีบเข้ามาตบแผ่นหลังของมู่หรงฉิงเพื่อช่วยให้เด็กสาวหายใจได้สะดวก “คุณหนูใหญ่อย่ารีบร้อน ดื่มน้ำก่อน”
หลังจากดื่มน้ำพลางหายใจเข้าออกช้าๆ และคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กำชับให้สาวใช้ในห้องออกไป คราวนี้แม้กระทั่งจ้าวจื่อซินก็ถูกเชิญออกไปด้วย
นางรู้สึกว่าจำเป็ต้องถามว่า ‘พวกเขา‘ เ่าั้คือใครจากปากของเฉินเทียนหยู?
“ท่านพี่ช่วยบอกข้าทีว่า ใครเป็คนบอกท่านพี่ในเื่เหล่านี้?” นางมักจะรู้สึกว่ามีคนอยู่เคียงข้างเฉินเทียนหยูและคอยสอนเขาในทางที่ไม่ดี! เดิมก็เป็คนโง่เขลาแล้ว ซ้ำร้ายยังถูกคนอื่นหลอกใช้อีก มันช่างน่าเกลียดจริงๆ!
“ข้าไปที่เรือนของแม่รองเฉิน เมื่อคราวก่อนเหล่าสาวใช้บอกกับข้าเช่นนั้น” เฉินเทียนหยูเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิงด้วยดวงตาสดใสเป็ประกาย “พวกนางดีกับข้ามาก พวกนางให้ข้ากินของอร่อยๆ นอกจากนั้นในเรือนของแม่รองเฉินยังมีคนที่มีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจมากด้วย ข้าชอบมากแต่เขาจะปรากฏตัวน้อยครั้งนัก และแม่รองเฉินก็ไม่ยอมให้ข้าพูดเื่นี้กับคนอื่นด้วย ผู้ชายคนนั้นยังบอกด้วยว่า ถ้าข้าบอกคนอื่น เขาจะไม่ประลองยุทธ์กับข้าอีก” ทันใดนั้นเฉินเทียนหยูก็นึกขึ้นได้ เขาจึงกุมปากโดยพลัน “โธ่! ข้าสัญญาไว้แล้วว่าจะไม่บอกเื่นี้กับคนอื่น”
หลังจากพูดจบ เขามองไปที่มู่หรงฉิงด้วยอาการวิตกกังวล “พวกเขาบอกว่า ถ้าบอกเื่นี้กับใคร ก็ให้ฆ่าคนนั้น แต่ว่าข้าได้สัญญาแล้วว่าจะไม่ฆ่าน้องหญิง...”
บ่งชี้ชัดเจนว่าเฉินเทียนหยูลำบากใจเป็อย่างมาก แต่คำพูดของเฉินเทียนหยูทำให้มู่หรงฉิงตะลึงพรึงเพริด เพื่อป้องกันไม่ให้เฉินเทียนหยูคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีกหน มู่หรงฉิงจึงรีบดึงมือทั้งสองข้างของอีกฝ่ายด้วยความกระวนกระวายใจ “ท่านพี่อย่าได้วิตกกังวลเลย คนอื่นที่พวกเขาพูดถึงนั้นหมายถึงคนอื่น ข้าเป็ภรรยาของท่านพี่ ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย ดังนั้นบอกข้าก็ไม่เป็ไร”
“จริงๆ หรือ?”
“จริงสิ” มู่หรงฉิงคิดตรึกตรองอยู่ครู่หนึ่งและพูดต่อ “ท่านพี่พบชายผู้มีทักษะการต่อสู้ที่เก่งกาจผู้นั้นเมื่อไรกัน?”
“ก่อนจะพบกับน้องหญิง” เฉินเทียนหยูออกอาการตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด “ในวันนั้นข้าพบกับคนนั้นก่อนถึงได้พบน้องหญิง”
มีแสงแวบเข้ามาในจิตใจเส้นหนึ่งซึ่งนำเบาะแสทั้งหมดมารวมกัน
ในวันนั้นอนุหนิงบอกว่าเฉินเทียนหยูเป็นักสู้ชอบประลองยุทธ์ เมื่อเขาพบกับคนที่มีทักษะการต่อสู้ขั้นสูงกว่าเขา ชายหนุ่มจะต้องประลองยุทธ์อย่างแน่นอน ด้วยวิธีดังกล่าวชายในเรือนของแม่รองเฉินก็คือคนที่นำเฉินเทียนหยูไปที่เรือนของนางนั่นเอง!
หากเป็กรณีข้างต้น บ่งชี้ให้เห็นว่าแม่รองเฉินในจวนเฉินกับอนุหนิงสมรู้ร่วมคิดกันใช่หรือไม่?
นั่นหมายความว่ายามนางอยู่ในจวนเฉิน นางจะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น ก่อนหน้านี้นางแค่คิดว่า จวนเฉินมีหนอนบ่อนไส้ที่คอยช่วยอนุหนิง แต่นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่าผู้ช่วยผู้นั้นกลับเป็เ้านายในจวนเฉินเสียเอง!
“ท่านพี่ ในขณะที่ผู้ชายคนนั้นประลองยุทธ์กับท่านพี่ เขาได้ทำร้ายท่านพี่าเ็หรือไม่?” แม่รองเฉินสมรู้ร่วมคิดกับอนุหนิง ฝั่งอนุหนิงก็้ากลืนทรัพย์สมบัติของนาง และ้ากลืนเพิ่มหลายเท่า ถ้าเช่นนั้นจะต้องหมายรวมถึงของจวนเฉินด้วยเช่นกัน!
ถ้าแม่รองเฉินสมรู้ร่วมคิดกับอนุหนิงจริงๆ เ้าตัวคงจะมีเจตนาที่จะกลืนกินทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูลอย่างแน่นอน!
“ข้าเจ็บ! เ้าดูสิ เขาชกเข้าที่เอวของข้าจนบวมปูดแล้ว” ระหว่างพูด เฉินเทียนหยูออกอาการคล้ายเด็กถูกรังแก เขาถกเสื้อผ้าขึ้นเพื่อแสดงรอยช้ำที่เอวซึ่งทะลุเข้าไปในสายตาของมู่หรงฉิง
“ท่านพี่รอดจากอันตรายมาได้อย่างไรหรือ?” เมื่อเห็นรอยฟกช้ำที่เอวของเฉินเทียนหยู มู่หรงฉิงจึงรับรองสิ่งที่นางคิดได้แล้วว่า จุดประสงค์ของแม่รองเฉินไม่เล็กเลยจริงๆ!
“ฮึๆ” เฉินเทียนหยูเงยหน้าขึ้นมองมู่หรงฉิงอย่างมีชัย “แต่ในท้ายที่สุด ข้าก็เอาชนะเขาได้! ฮี่ ฮี่ น้องหญิง ข้าเก่งมากใช่หรือไม่”
ความภาคภูมิใจของเฉินเทียนหยูสามารถมองเห็นได้โดยตรงบนสีหน้าซึ่งไม่ปกปิดความรู้สึกแต่อย่างใด
มู่หรงฉิงประหลาดใจอย่างมาก “ท่านพี่แน่ใจหรือว่าท่านพี่เอาชนะเขาได้แล้ว?”
“ก็ใช่น่ะสิ! ข้าหักกระดูกของเขาเป็ท่อน ๆ เลยด้วย”
ระหว่างพูดเฉินเทียนหยูจับมือของมู่หรงฉิงและแตะที่หน้าอกของตนเอง “หักกระดูกส่วนนี้ ข้าต่อยเขาแล้วกระดูกของเขาก็หัก ได้ยินเสียง ‘ป๊อก’”
กระดูกหน้าอก... หักแล้ว...
มือของมู่หรงฉิงสั่นเทาโดยไม่รู้ตัว ถ้าเฉินเทียนหยูต่อยนางเช่นนั้นในสักวันหนึ่ง นางจะไม่...
“น้องหญิงเป็อะไรหรือ? ทำไมมือถึงได้สั่นเทาเช่นนี้?” อาการมือสั่นของมู่หรงฉิงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เฉินเทียนหยูตื่นตระหนกในทันใด เขาจับมือของนางและเป่าไอความร้อนอย่างต่อเนื่อง “น้องหญิงหนาวหรือ? ข้าเห็นคนพวกนั้นหนาวแล้วตัวจะสั่น พวกเขาจะเป่าไอความร้อนเช่นนี้”
เฉินเทียนหยูเป่าไอความร้อนที่มือทั้งสองของมู่หรงฉิง แต่ร่างกายของมู่หรงฉิงกลับหนาวเย็นเพิ่มมากขึ้น
“ท่านพี่ ถ้าวันใดวันหนึ่งท่านพี่โกรธขึ้นมา ท่านพี่จะต่อยข้าเหมือนที่ต่อยคนคนนั้นหรือไม่?” น้ำเสียงของมู่หรงฉิงสั่นพร่า และหากเป็เช่นนั้นจริงๆ นางจะต้องอยู่ในความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ไม่ดีตลอดเวลาเป็แน่ นางคงต้องวิตกกังวลกับชีวิตของตัวเองทุกลมหายใจ!
“ไม่ทำอย่างแน่นอน ข้าเคยสัญญาไปแล้วว่าจะไม่ตบตีน้องหญิงและจะไม่ดุน้องหญิง” เฉินเทียนหยูพูดอย่างจริงจัง คล้ายกับเด็กสาบานว่าจะไม่ขโมยอาหารกินอย่างไรอย่างนั้น
มู่หรงฉิงหัวเราะทันที นางหัวเราะเยาะในความโง่เขลาของตัวเอง! ในเวลาเดียวกันนางหัวเราะเยาะในความน่าเวทนาของตัวเอง!
นางจะเชื่อใจคำพูดของคนโง่งมได้อย่างไร? กลัวว่าวันนี้พูดว่าจะไม่ใช้กำลัง แต่พรุ่งนี้กลับใช้กำลังกับนางเสียอย่างนั้น!
เมื่อเห็นมู่หรงฉิงหัวเราะ เฉินเทียนหยูพลอยหัวเราะไปด้วย เสียงหัวเราะโง่ๆ ควบคู่ไปกับเสียงเศร้าโศกของมู่หรงฉิงคล้ายกับเสียงสะอื้นในเวลาเที่ยงคืน น่าสะพรึงกลัวอย่างอธิบายเป็คำพูดไม่ได้
ทุกคนถูกเชิญให้ออกจากห้อง ทำให้ในห้องเหลือเพียงสองคนเท่านั้น มู่หรงฉิงหัวเราะอย่างเศร้าสร้อย เฉินเทียนหยูหัวเราะอย่างโง่เขลา หลังจากหัวเราะไปหัวเราะมา มู่หรงฉิงก็ร้องไห้อย่างสิ้นหวัง
นางต้องอดทนอดกลั้นเป็เวลานาน เมื่อรู้ความจริงถึงสาเหตุการตายของท่านแม่ นางไม่ได้ร้องไห้แต่อย่างใด ครั้นรับรู้ถึงความเลวของท่านพ่อ นางก็ไม่มีน้ำตาและไม่ร้องไห้ยามที่รู้ว่านางหนีไม่พ้นจากการแต่งงานกับคนโง่งม แต่ในวันนี้นางกลับร้องไห้ถึงสองหน และทั้งสองหนก็เพราะเฉินเทียนหยู ผู้อยู่ต่อหน้านางคนนี้
รูปลักษณ์ของเขาช่างหล่อเหลาเหลือเกิน ดวงตาของเขาช่างสว่างสดใส แต่ถึงอย่างนั้นนางกลับรู้สึกกลัวเขามาก
กลัวเขาจะคลุ้มคลั่งเมื่อไร และนำนางไปปลูก กลัวว่าเขาจะคลุ้มคลั่งเมื่อไรแล้วบีบคอนางจนตาย...
นาง้าแก้แค้น นาง้าหยุดแผนการสมรู้ร่วมคิดของอนุหนิง นางต้องไม่ปล่อยให้พี่ชายใหญ่ตายด้วยน้ำมือของอนุหนิง!
นางจะต้องทำลายความฝันในการเป็ชายาขององค์ชายรัชทายาทของมู่หรงยวี่ นาง้าให้อนุหนิงตกลงจากตำแหน่งปัจจุบันสู่นรกอเวจี! นาง้าทำให้ความฝันในการเป็ภรรยารองของยวี้เอ๋อร์กลายเป็ความว่างเปล่า และนาง้าทำให้อาชีพของท่านพ่อของนาง ‘ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง’
ทั้งหมดนี้เป็แรงผลักดันให้นางมีชีวิตต่อไป! นางไม่สามารถตายได้! เ้าต้องไม่ตายเป็อันขาด!
อย่างไรก็ตามการที่เฉินเทียนหยูอยู่เคียงข้างนางเช่นนี้ นางจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร?