หยางเฉินถอนหายใจ“คุณเป็คนบังคับให้ผมพูดเองนะ...”
“อย่าถ่วงเวลาเลยพูดมา ฉันเตือนนายไว้ก่อนเลยนะ เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ไปไกลมากฉันสามารถใช้เครื่องมือแปลภาษาตรวจสอบได้ว่านายแปลถูกหรือเปล่า ถ้านายแปลไม่ได้ก็พูดยอมแพ้ได้แล้ว”
หยางเฉินมองตรงไปที่เธอเขากระแอมไอออกมาเล็กน้อยจากนั้นจึงเริ่มต้นแปล
“...โจเซฟเข้ามาแล้วเขาเปิดประตูเข้ามาอย่างเงียบเชียบฉันสามารถได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นอยู่
มันทำให้ฉันรู้สึก้าเขามากขึ้น...ฉันไม่รู้ว่าฉันควรจะลุกขึ้นมาหยุดเขาหรือไม่ซีเอลอยู่ห้องถัดไปนี้เอง เขาเป็ทั้งพี่ชายของโจเซฟและสามีของฉัน แต่ในเวลานี้เราทั้งคู่กำลังทรยศเขาอยู่...”
เมื่อแปลมาถึงจุดนี้หลินรั่วซีก็กะพริบตาปริบๆแต่ยังคงเงียบไม่พูดอะไร เธอจ้องไปที่หยางเฉินอย่างสงสัยและยังไม่สามารถตัดสินได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นเป็ความจริงหรือไม่
หยางเฉินยังคงแปลต่ออย่างช่วยไม่ได้
“โจเซฟจูบที่ติ่งหูของฉันและฉันรู้สึกได้ว่าร่างกายของฉันร้อนขึ้น นานแค่ไหนแล้วที่ฉันไม่ได้รู้สึกแบบนี้โอ้… โจเซฟที่รัก
คุณเป็เหมือนความอบอุ่นใน่เวลาอันหนาวเหน็บเป็ร่มเงาใน่ฤดูร้อน และฉันไม่สามารถไปจากเขาได้เลย...โอ้ ที่รัก จูบฉัน กอดฉัน ลืมไปก่อนว่าเดฟเน่คือใครลืมทุกอย่างในโลกนี้ ให้เราเป็แค่คู่รักที่น่าสงสารคู่หนึ่งก็พอ…โจเซฟดูดนมฉันที...”
“พอแล้ว!!!”
ในที่สุดหลินรั่วซีก็ไม่สามารถทนฟังได้อีกใบหน้าเธอแดงไปถึงใบหู
หลังจากปิดหนังสือลงเธอกัดฟันกล่าวว่า
“ทำไมนายถึงชอบทำตัวแบบนี้!?ถ้านายแปลไม่ได้ นายก็ไม่ควรจะแต่งเื่ขึ้นมาสิมันก็ดีที่นายมีความพยายามแต่ทำไมนายต้องใช้คำพูดลามกแบบนั้นด้วย!?”
หยางเฉินไม่รู้ว่าตัวเองควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ผมไม่ได้กุเื่ขึ้นมามันคือสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้จริงๆ”
“ใครจะไปเชื่อนายกัน!นายกำลังโกหกอยู่แน่นอนมันจะเป็เนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นได้ยังไงหนังสือลามกเช่นนี้จะมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?”
หยางเฉินจะรู้จักหนังสือเล่มนี้ได้อย่างไรอย่างไรก็ตามมันก็น่าแปลกที่เธอนั้นไม่สามารถรับเื่พวกนี้ได้
มันเหมือนกับว่าภรรยาของเขาเป็ประเภทรักนวลสงวนตัวในต่างประเทศหนังสือพวกนี้มีตามร้านหนังสืออยู่ถมเถไป และทันใดนั้นชายแก่ตัวสูงผมสีเทา ใส่เสื้อสเวตเตอร์สีเทาและสวมแว่นอ่านหนังสือก็เดินเข้ามาทางชั้นหนังสือ ฝั่งตรงข้ามเขาพูดจาอย่างสุภาพกับหลินรั่วซีว่า
“คุณผู้หญิงครับหนุ่มคนนี้ไม่ได้พูดโกหก ผมเคยอ่านหนังสือเล่มนั้นมาก่อนมันเป็อย่างที่เขาว่าจริงๆ”
หลินรั่วซีมองมาที่ชายแก่ด้วยความสับสน
“คุณคือ...”
“ผมชื่อจ้าวคุณเรียกผมว่าลุงจ้าวก็ได้ ผมเป็ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอินโด-ยุโรปดังนั้นฉันจึงเข้าใจภาษาแอลเบเนียสิ่งที่ชายคนนี้แปลออกมานั้นถูกต้อง ผมจำได้ว่าเนื้อเื่ของหนังสือเล่มนี้คือสาวเซอร์เบียที่กังวลเื่ที่เธอทรยศคนรัก ชื่อของเธอน่าจะเป็เดฟเน่”ลุงจ้าวอธิบาย
เห็นได้ชัดว่าหลินรั่วซีไม่คิดว่าชายแก่ที่ดูสุภาพคนนี้จะร่วมมือกับหยางเฉินมาหลอกลวงเธอ แม้ว่าตอนนี้เธอจะรู้แล้วว่าเธอเข้าใจในตัวหยางเฉินผิดไป
แต่เมื่อเธอมองไปที่หน้าตาที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาวของหยางเฉินแล้วเธอก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา มันเป็ได้อย่างไรที่ชายคนนี้จะฉลาดขนาดนี้
ผู้ชายคนนี้รู้จักภาษาที่ซับซ้อนและยากขนาดนี้ได้อย่างไร
“ขอบคุณครับลุงจ้าวลุงมาที่นี้เพื่อดูหนังสือเล่มนี้เหมือนกันเหรอ?” หยางเฉินค่อนข้างรู้สึกดีกับลุงคนนี้ไม่งั้นเขาก็คงไม่สามารถแก้ต่างให้ตัวเองได้
ลุงจ้าวส่ายหัวแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ผมมาที่นี้เพื่ออ่านหนังสือกับภรรยาของผม”
ลุงจ้าวพูดพลางชี้ไปที่ผู้หญิงแก่ที่อยู่บนรถเข็นข้างๆตรงสุดชั้นวางหนังสือเธอดูน่าจะมีอายุมากกว่า 60ปีแล้วและค่อนข้างอ่อนแอ
“โรคต้อกระจกของภรรยาผมไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องดังนั้นเธอจึงตาบอดและไม่สามารถอ่านหนังสือได้ในอดีตเราทำงานอยู่ในศูนย์วิจัยเดียวกัน เราไม่ได้คาดหวังว่าเธอจะมาตาบอดตอนนี้เราทั้งคู่แก่ตัวลง ในสายงานของเราถ้ามองทั่วๆไปก็ไม่ค่อยมีอะไรที่เป็ประโยชน์นัก เธอกลับมาพักอยู่ที่บ้านใน่หลังๆและก็เริ่มที่จะจำอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ผมเป็ห่วงเธอดังนั้นผมจึงลาออกจากงานแล้วพาเธอมาอ่านหนังสือที่นี้ทุกวัน ผมพาเธอมาที่นี่เธอจึงเริ่มที่จะหายจากอาการทางสมองบ้างแล้ว และเธอก็สามารถจดจำอะไรได้มากขึ้น”เมื่อลุงจ้าวพูดเื่พวกนี้ขึ้นมาดวงตาของลุงก็เอ่อไปด้วยน้ำตา
“เมื่อปีที่แล้วเธอถามผมว่าผมชื่ออะไร เธอจำได้แต่ว่านามสกุลของผมคือจ้าวแต่เธอไม่สามารถจำชื่อทั้งหมดของผมได้ คิดย้อนกลับไปตอนพวกเรายังหนุ่มๆสาวๆอยู่ภรรยาของผมเป็นักวิชาการที่มีชื่อเสียงมากในสถาบันวิจัยใครจะไปคิดว่าเธอจะลืมชื่อตัวเองตอนแก่ ไม่มีทางที่ผมจะไม่กังวล...”
ด้วยหัวใจที่บริสุทธิ์อ่อนโยนของหลินรั่วซีนั่นทำให้เธอรู้สึกเศร้า หลังจากได้ฟังเื่ราวของคู่รักสูงวัย 2คนนี้ เธอกล่าวปลอบใจเขาว่า “ลุงจ้าวคะอย่าเศร้าไปเลย คุณนายจ้าวจะต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ”
“ฮ่าๆ”ลุงจ้าวหัวเราะขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “มันคงเป็เื่ยากสำหรับเธอทีเดียวแต่ผมก็ทำใจรับมันได้แล้วล่ะ ไม่ว่าเธอจะจำผมได้หรือไม่ ผมจะจดจำเธอเอาไว้ผมจะจดจำทุกบททดสอบและทุกความยากลำบากที่เราผ่านมาด้วยกัน และนั้นเพียงพอแล้วและอีกไม่กี่ปีพวกเราก็จะมอดไหม้กลายเป็เถ้าถ่านแต่ตอนนี้พวกเราก็จะยังคงอยู่ด้วยกัน ซึ่งนั้นก็ดีมากแล้ว”
เมื่อหยางเฉินและหลินรั่วซีได้ยินดังนั้นพวกเขาก็นิ่งเงียบไป คำพูดของชายแก่คนนี้ฟังดูไร้ความกังวลและธรรมดา แต่พวกเขากลับััถึงบางสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในโลกนี้
และทันใดนั้นจู่ๆ ลุงจ้าวก็พูดบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายกับคนทั้งคู่
“คุณทั้งสองคนแต่งงานกันแล้วใช่มั้ย”
“อ๊ะ?”หลินรั่วซีเขินกับคำพูดนั้น
หยางเฉินพยักหน้า“เราเพิ่งแต่งงานกันได้ไม่นานครับ”
ลุงจ้าวหัวเราะขึ้นพร้อมกล่าวว่า“ไอ้หนุ่ม เอ็งนี่โชคดีจริงๆเลยนะที่ได้แต่งงานกับสาวสวยขนาดนี้ แต่เอ็งก็คงต้องเหนื่อยสักหน่อยหนังสือพวกนี้มีน้ำหนักอย่างน้อย 110 ปอนด์แค่เห็นก็ยังรู้สึกเหนื่อยแล้วล่ะ"
ในที่สุดหลินรั่วซีก็สังเกตเห็นตะกร้าหนังสือ2 ใบ ที่หยางเฉินวางไว้บนพื้นหนังสือเ่าั้ถูกซ้อนกันอย่างกับูเา เธอไม่ทันได้สังเกตว่าเธอเลือกหนังสือออกมามากมายขนาดนี้
หลินรั่วซีทำหน้ามุ่ยและพยายามจะหิ้วตะกร้าขึ้นมา ใครจะไปรู้ว่าเธอจะมีแรงแค่ไหนเธอลองใช้แขนข้างเดียวยกตะกร้าขึ้นมา
แต่มันก็ไม่ขยับไม่เพียงแค่นั้น ต่อให้เธอใช้แขนทั้ง 2 ข้างยกมันก็ลอยขึ้นมาได้แค่นิดเดียว
หลังจากวางตะกร้าที่แสนหนักอึ้งนั้นลงหลินรั่วซีก็จ้องมองหยางเฉินและครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ว่า ชายคนนี้ถือตะกร้าที่เต็มไปด้วยหนังสือกองเป็ูเาแล้วเดินตามเธอตลอดมากกว่า 3 ชั่วโมงโดยที่ไม่ปริปากบ่นสักคำได้อย่างไร
ความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงพุ่งเข้ามาที่หัวใจของเธอทันที
ในเวลาเดียวกันเธอเงยหน้าขึ้นหันไปมองหยางเฉินด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
หยางเฉินสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้และส่งยิ้มออกไปมันไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรสำหรับเขาเลย แต่สำหรับคนทั่วไปแล้วมันเป็อะไรที่โคตรเหนื่อยและหนักเป็อย่างมาก
ลุงจ้าวพยักหน้าชื่นชมหยางเฉินพร้อมกล่าวว่า
“หญิงสาวสมัยนี้เอามองหาแต่คนหล่อกับคนรวยแต่ในความคิดฉัน การได้เห็นเธอช่วยถือตะกร้าหนักๆ พวกนี้แล้วฉันคิดว่ามันมีความหมายมากกว่านั้นเสียอีก นี่หนูเธอควรจะเก็บรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ให้ดีนะอย่าทำให้การแต่งงานที่ยอดเยี่ยมนี้เสียเปล่า”พูดจบ ลุงจ้าวก็โบกมือให้ด้วยรอยยิ้มกว้างเขาหันไปมองภรรยาของ แล้วค่อยๆ เข็นรถเข็นของเธอจากไป
หยางเฉินสังเกตเห็นว่าหลินรั่วซียังคงจ้องมาที่เขาด้วยสายตางุนงงเขาไม่อาจทำอย่างไรได้ ได้แต่หัวเราะและกล่าวว่า
“ผมรู้ว่าคุณไม่เข้าใจในสิ่งที่ลุงจ้าวพูดผมคิดว่าตอนนี้ผมเท่มาก คุณว่างั้นมั้ย?”
หลินรั่วซียิ้มอ่อนๆ และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า“คุณลงลิฟต์ไปรอฉันที่แคชเชียร์ก่อนนะฉันจะไปหยิบหนังสือมาเพิ่มอีก 2 เล่มก่อน”
ทันทีที่เห็นภรรยาของเขาพูดจาสุภาพ
หยางเฉินกลับคิดว่าเขาต้องกำลังเห็นภาพหลอนแน่ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เขาคิดว่าการหยิบหนังสือเพิ่มอีก 2เล่มคงไม่ได้ใช้เวลามากมายอะไร เขาจึงหิ้วตะกร้าทั้ง 2ใบ และเดินลงไปรอที่ชั้นล่าง
หลังจากที่เขาเดินลงไปรอที่ชั้นล่างไม่ถึง5 นาทีหลินรั่วซีก็เดินออกมาจากลิฟต์พร้อมกอดหนังสือ 2เล่มเอาไว้แน่น
ราวกับเธอกำลังพยายามจะซ่อนหนังสือเ่าั้ไว้หยางเฉินไม่ได้สนใจจะถามถึงหนังสือที่เธอกำลังซื้อหรือที่เธอพยายามซ่อนมันจากเขาหลังจากที่วางตะกร้าไว้ข้างแคชเชียร์แล้วเขาก็เดินไปข้างๆเพื่อรอหลินรั่วซีเงียบๆ
โชคดีที่มีรถเข็นอยู่แถวนั้นที่พวกเขาสามารถใช้ได้เพราะถ้าต้องขนหนังสือเป็ร้อยๆ เล่มด้วยถุงพลาสติกคงเป็อะไรที่หนักหนาเอามากๆ
มีบางคนมองการซื้อหนังสือทีละหลายเล่มของหลินรั่วซีและกระซิบกับคนข้างๆ พลางคิดว่าเป็การใช้เงินที่สิ้นเปลือง
หนังสือเ่าั้ไม่ได้ถูกๆการซื้อหนังสือทีละหลายๆ เล่มต้องใช้เงินจำนวนมากดังนั้นหลินรั่วซีจึงใช้บัตรเครดิตของเธอรูดอย่างไม่ลังเลหยางเฉินเข็นรถเข็นและเดินไปข้างๆ หลินรั่วซีจนถึงรถ เขาอดใจถามออกมาไม่ได้ว่า
“รั่วซีที่รักคุณซื้อหนังสือมาตั้งมากมายขนาดนี้ คุณจะอ่านมันทั้งหมดได้ยังไงกัน”
หลินรั่วซีตอบคำถามเขาอย่างที่ไม่เคยทำมากก่อน
“ที่จริงแล้วหนังสือส่วนใหญ่ใช้สำหรับอ้างอิงพวกเราไม่ต้องอ่านทั้งหมด อีกอย่างฉันก็ชอบเก็บสะสมหนังสือทุกประเภทอยู่แล้ว”
หยางเฉินงุนงงกับวิธีการพูดที่สุภาพและอ่อนโยนที่เธอใช้พูดกับเขามันไม่ใช่สไตล์ของเธอ และมันก็ช่วยไม่ได้
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นเขาจึงถามออกไปว่า“ที่รัก เกิดอะไรขึ้นกับคุณคุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ที่คุณพูดมาเหมือนไม่ใช่ตัวคุณเลยนะ”
เมื่อหลินรั่วซีได้ยินอย่างนั้นเธอก็รู้สึกคุกรุ่นขุ่นมัวอยู่ในใจ
มันผิดปกติมากเลยใช่มั้ยที่ฉันพูดดีๆกับนาย?
ดังนั้นเธอพูดออกไปอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ว่า“นายประสาทหรือไง?ต้องให้ฉันด่าหรือถากถางก่อนใช่ไหม นายถึงจะมีความสุข?”
“โอ้นี้ไง! เสียงนี้ไง คุณกลับมาเป็ปกติแล้ว”หยางเฉินพูดออกมาอย่างสนุกสนาน
หลินรั่วซีหรี่ตามองไปที่เขาเธอไม่้าจะพูดกับเขาอีกต่อไป
เมื่อพวกเขามาที่ท้ายรถแล้วเอาหนังสือยัดเข้าไปข้างในพวกเขาต้องใช้ความพยายามเป็อย่างมากที่จะยัดมันเข้าไป มันเหมือนกับว่าหนังสือเหล่านี้จะฉีกขาดได้ทุกเมื่อหากพวกเขาไม่ทะนุถนอม
หยางเฉินหยิบหนังสือออกมาจากรถเข็นอย่างรวดเร็วในครั้งเดียวและทันใดนั้นเขาก็เหลือบมองไปเห็นอะไรบางอย่าง นั่นทำให้เขานิ่งแข็งค้างไปในทันที
หลินรั่วซีที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่และเมื่อเธอสังเกตเห็นหยางเฉินหยิบหนังสือออกมาและนิ่งงันไปและเมื่อเธอเหลือบไปเห็นหนังสือเล่มนั้น สักพักเธอก็รู้สึกเขินจนหน้าแดงไปถึงใบหู
ฉันลืมซ่อนมันไปได้ยังไง!?
หนังสือ1 ใน 2เล่มที่ หลินรั่วซีได้เลือกซื้อมาในตอนท้ายคือ
ทำอย่างไรจึงจะเป็ภรรยาที่ดีและคุณแม่ที่น่ารัก?...