หยางหมัวมัวเดินเข้ามาในห้อง เห็นหลี่เหล่าไท่ไท่นั่งเงียบขรึมอยู่ที่นั่น บนพื้นยุ่งเหยิงไปหมด “เหล่าไท่ไท่ นี่ท่านเป็อันใดไปเ้าคะ?”
หลี่เหล่าไท่ไท่ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา นางได้แต่นิ่งเงียบ
“เร็วเข้า เก็บข้าวของให้เรียบร้อย” หยางหมัวมัวสั่งให้สาวใช้เก็บกวาดเศษซากถ้วยน้ำชาบนพื้น ประหลาดใจยิ่งนัก เสี่ยวโหวเหฺยท่านนี้ช่างมีกำลังในการต่อสู้แข็งแกร่งดีแท้ ทุกครั้งที่เขาปรากฏกาย เหล่าไท่ไท่ไม่เคยเอาเปรียบเขาได้ เหล่าไท่ไท่ใช้คำว่ากตัญญูกดเขาไม่ได้เช่นกัน
ไม่รู้จริงๆ ว่าปากของเสี่ยโหวเหฺยนั้นโตมาได้อย่างไร เพียงอ้าปากพูดจาหากไม่ทำให้คนสะอึกตายก็ทำให้คนโมโหแทบตาย ไม่ใช่ฝ่าาหรอกหรือที่อบรมสั่งมา? ฝ่าาอบรมสั่งสอนอย่างไรเล่าจึงกลายเป็คนเช่นนี้?
หยางหมัวมัวส่ายหน้าบอกกับตนเองว่าอย่าคิดฟุ้งซ่าน ในจวนโหวนี้จะล่วงเกินใครก็ได้ แต่เ้าบรรพบุรุษตัวน้อยผู้นั้นห้ามล่วงเกิน พูดให้ไม่น่าฟังสักหน่อยคือหากเขาขับไล่ทุกคนออกจากจวนโหวแล้วจะเป็อันใดไปเล่า? ในเมื่อทุกคนต่างก็เสียผลประโยชน์ ไม่มีเหตุผล
“เสี่ยวหยาง เ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อสักครู่เขาข่มขู่ข้า เด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งกลับกล้าข่มขู่ข้า” ในที่สุดหลี่เหล่าไท่ไท่ก็ทนไม่ไหวแล้ว จำต้องะเิออกมา น้ำเสียงกดต่ำที่พูดออกมาอย่างเคียดแค้นราวกับเสียงของผีสาวตนหนึ่ง ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง
“ความหมายของเหล่าไท่ไท่คือ?” หยางมัวมัวถามอย่างคาดเดา ระยะนี้นิสัยของเหล่าไท่ไท่เอาแน่เอานอนไม่ได้ หยางหมัวมัวผู้ซึ่งเป็คนข้างกายนางยังต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
“เ้ารู้หรือไม่ว่าเมื่อสักครู่เ้าสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นเขาข่มขู่ข้าอย่างไร?” หลี่เหล่าไท่ไท่ถาม “เขาใช้ท่านอาสามมาข่มขู่ข้า เ้าตัวที่มีคนทำให้เกิดมาแต่ไม่มีคนสั่งสอน กลับไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ มาข่มขู่ข้าอย่างไม่เคารพผู้าุโ”
“เหล่าไท่ไท่อย่าโกรธเลยเ้าค่ะ ท่านอย่าโกรธไปเลย เสี่ยวโหวเหฺยอาจจะพูดเล่น เขาจะมีความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร?” หยางหมัวมัวรีบปลอบโยน
หลี่เหล่าไท่ไท่ร้องแค่นฮึเสียงเย็น “ฐานะของเขายิ่งใหญ่ คิดว่าตนเองนั้นเป็ฝ่าาที่หามาแล้วยังคิดว่าตนได้หมั้นหมายกับฉีอ๋อง ยังมีสิ่งใดที่ไม่กล้าทำอีกเล่า พวกรักร่วมเพศ เขาถือดีอะไร?”
“เหล่าไท่ไท่อย่าได้พูดจาไม่ระวังนะเ้าคะ นี่เป็สมรสพระราชทานที่ฝ่าาพระราชทานนะเ้าคะ” หยางหมัวมัวกล่าวเตือนอย่างเคร่งขรึม
“เชอะ” หลี่เหล่าไท่ไท่ฟังแล้วยิ่งโมโห “ฝ่าาพระราชทานสมรส แล้วไม่ใช่รักร่วมเพศกระนั้นสิ? เป็ผู้ชายดีๆ ไม่ชอบ ต้องไปเป็ภรรยาผู้อื่น มีเช่นนี้เสียที่ไหนกัน?”
หยางหมัวมัวไม่กล้าพูด ฝ่าาพระราชทานสมรส ต่อให้ผิดก็เป็ถูก ไม่พึงใจอย่างไรก็เป็คู่สมรสที่ฟ้ากำหนด
“เ้าว่าฝ่าากำลังคิดสิ่งใด? จวนโหวของพวกเราไม่มีแม่นางแล้วหรือไร? ต้องให้เด็กชายอายุห้าขวบไปพระราชทานสมรสแก่ฉีอ๋องหรือ?” หลี่เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิดอีก
“เื่นี่บ่าวไม่ทราบเ้าค่ะ และไม่กล้าคาดเดาความคิดของฝ่าา แต่ถึงเสี่ยวโหวเหฺยพระราชทานสมรสให้ฉีอ๋องเขาก็ให้กำเนิดบุตรไม่ได้ วันหน้าย่อมต้องรับพระชายารองและอนุเป็แน่ เรือนของซานเหล่าเหฺยจวนของพวกเรามีคุณหนูที่อยู่ในวัยเหมาะสม” หยางหมัวมัวพูดเสียงเบา
หลี่เหล่าไท่ไท่ฟังแล้วค่อยๆ หรี่ตาลง “ความหมายของเ้าคือ...ให้บุตรีอนุของซานเหล่าเหฺยไปเป็พระชายารองของฉีอ๋องหรือ? คุณหนูสี่อายุสิบสองปี คุณหนูห้าอายุสิบเอ็ดปี ฉีอ๋องอายุสิบสามปี หากจะพูดถึงเื่อายุถือว่าเหมาะสมยิ่ง และราชโองการได้กล่าวไว้เช่นกัน ต้องรอให้เสี่ยวโหวเหฺยอายุครบสิบห้าปีจึงจะจัดงานแต่งงาน ยังต้องรออีกสิบปี ถึงเวลานั้นฉีอ๋องก็อายุสิบแปดแล้ว ผู้ชายอายุสิบแปดปีมีหรือจะไม่ลิ้มลองสิ่งของใหม่ๆ? เกรงว่าพระชายารองก็คงจะมีไม่น้อย สำหรับเสี่ยวโหวเหฺยแล้ว...ลูกที่เกิดจากพี่สาวของตนย่อมใกล้ชิดที่สุด”
หลี่เหล่าไท่ไท่ครุ่นคิดไตร่ตรอง จากนั้นดวงตาทั้งคู่ค่อยทอประกายวาบขึ้น “ความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
“เช่นนั้นเหล่าไท่ไท่อย่าได้โมโหอีกเลยเ้าค่ะ เสี่ยวโหวเหฺยต้องแต่งออกไปจะโมโหเขาไปทำอันใดกัน? ท้องของผู้ชายออกไข่ไม่ได้ เมื่อไปถึงจวนฉีอ๋องยังต้องอาศัยพวกเราทางนี้” หยางหมัวมัวปลอบโยน
คำพูดของหยางหมัวมัวทำให้หลี่เหล่าไท่ไท่สบายใจขึ้นมาก “เริ่มั้แ่วันนี้ ต้องอบรมสั่งสอนคุณหนูสี่และคุณหนูห้าให้ดี อาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ให้ใช้อย่างคุณหนูเรือนใหญ่ ให้หมัวมัวสั่งสอนกฎเกณฑ์พวกนางให้ดี การร่ายรำ เครื่องดนตรี ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ ไม่แสวงหาความเป็เลิศ ขอเพียงฉลาดเฉลียว สามารถดึงดูดและสร้างความสุขให้กับผู้ชายเป็สำคัญ”
“เ้าค่ะ”
“ยังมีอีก เื่นั้นเป็เช่นใดบ้าง?” หลี่เหล่าไท่ไท่แอบๆ ถาม
หยางหมัวมัวส่ายหน้า “ล้วนเผาหมดแล้วเ้าค่ะ สิ่งของที่คุณชายใหญ่หยวนส่งไปให้เรือนโฉวงจี๋ เผาจนกลายเป็ของกองหนึ่งถือออกมา เสี่ยวโหวเหฺยช่างเด็ดขาดยิ่งนัก”
“เขาเป็คนฉลาดทีเดียว เช่นเดียวกับหลี่ซวี่” หลี่เหล่าไท่ไท่ร้องฮึเสียงเย็นอีกครั้ง ต่อมากลับสงสัย “ไฉนเด็กน้อยอายุห้าขวบคนหนึ่งจึงมีความคิดมากมายเช่นนี้? ช่างแปลกประหลาดนัก”
“แปลกจริงๆ เ้าค่ะ ถึงเด็กคนอื่นจะฉลาดอย่างไรก็ไม่มีฉลาดอย่างเสี่ยวโหวเหฺย เหล่าไท่ไท่ ท่านว่า...ในเรือนของเสี่ยวโหวเหฺยยังมีคนอีกคนหนึ่งคอยเสี้ยมสอนเขาหรือไม่เ้าคะ?” หยางหมัวมัวคิดได้ถึงเหตุผลนี้
“ข้าไฉนเลยจะรู้ได้ เรือนของเขากำแพงราวกับเหล็กกล้า ไม่ว่าใครก็เข้าไปไม่ได้” หลี่เหล่าไท่ไท่ถอนใจ “ไม่ต้องสนใจเขาแล้ว ก็แค่คนที่ออกไข่ไม่ได้ ไม่มีค่าพอที่จะให้คิดถึง เขาพูดไว้ไม่ใช่หรือว่าหลังจากแต่งกับฉีอ๋องแล้ว ตำแหน่งโหวของจวนโหวจะให้บุตรชายของหลี่หงสืบทอด? พวกเรามาดูกันว่าหงเกอเอ๋อร์จะให้กำเนิดบุตรชายได้หรือไม่?”
“เหล่าไท่ไท่ ความหมายของท่านคือ?” หยางหมัวมัวถาม
“เรือนโฉวงจี๋องครักษ์เข้มงวด ยังจะกลัวว่าแมลงวันจะบินเข้าไปในเรือนของหงเกอเอ๋อร์อีกหรือไร? หลี่เหล่าไท่ไท่ย้อนถาม
“บ่าวเข้าใจแล้วเ้าค่ะ”
วันถัดมาคือวันคล้ายวันพระราชสมภพของจ้าวหนิงฮ่องเต้
คนในจวนจงหย่งโหวตื่นแต่เช้า ฝ่ายหญิงนั้นหลี่หยางซื่อเป็ผู้นำ หลี่หยางซื่อ หลี่หลิน ภรรยาหลี่ฮุย หลี่หม่าน สี่คนนั่งรถม้าคันเดียวกัน หลี่เหล่าไท่ไท่และหลี่สุ่ยอวิ๋นรถม้าหนึ่งคัน
ฝ่ายชายนั้นมีหลี่ลั่วและหลี่หงรถม้าหนึ่งคัน หลี่ฮุยและหลี่ฉือรถม้าหนึ่งคัน หลี่เหล่าไท่เหฺยและหลี่โจวรถม้าหนึ่งคัน รถม้าห้าคันออกจากจวนอย่างใหญ่โต ออกเดินทางจากจวนโหว
ประตูใหญ่ของวังหลวงมีทั้งหมดห้าประตู ประตูใหญ่คือประตูไท่เหอ ด้านหน้ามีสิงโตตัวผู้และตัวเมียคู่หนึ่ง สิงโตรูปร่างใหญ่โต เป็สัญลักษณ์ของแผ่นดินและลูกหลานสืบสกุล บนกำแพงอีกสี่ด้านมีประตูสี่บาน ประตูทางด้านตะวันออกเรียก ประตูตงหวา ในยามปกติที่ขุนนางเดินทางมาประชุมที่ท้องพระโรงจะผ่านประตูตงหวา ทิศใต้คือประตูหนานอู่ ที่ว่ามักจะมีผู้ถูกลากตัวไปตัดหัวที่ประตูอู่ ก็คือประตูหนานอู่แห่งนี้ ทิศตะวันตกคือประตูซีหวา ส่วนด้านหลังวังคือประตูเป่ยอู่
กำแพงเมืองทั้งสี่ด้านสูงสิบหกเมตร ความยาวหนึ่งรอบราวๆ สี่พันเมตร กำแพงเมืองทั้งสี่ด้านยังออกแบบให้มีหอมุมอันงดงาม บนหอมุมมีองครักษ์ยืนยามอยู่ตลอดสิบสองชั่วยาม (ยี่สิบสี่ชั่วโมง) องครักษ์เข้มงวดยิ่งนัก
ราชวังมีโครงสร้างเป็ไม้ หลังคาประดับด้วยกระเบื้องแก้วสีเหลือง พื้นเป็สีเขียว ราวกับเป็แสงประกายทองสลับเขียวระยิบระยับที่รุ่งโรจน์ พื้นที่ส่วนหลักนั้นไม่ว่าจะเป็รูปแบบที่ยิ่งใหญ่ อลังการ หรูหรา โอ่อ่า สง่างาม เสมอภาค เป็สิ่งที่หายากในโลกนี้ เป็เมืองใหญ่ที่เป็ศูนย์รวมแห่งสถาปัตยกรรมการก่อสร้างของรัชสมัย เป็สังคมของระบบการปกครองด้วยกษัตริย์ ราชวังมักจะแสดงให้เห็นถึงสถาปัตยกรรมของคนในยุคสมัยโบราณ ไม่ว่าจะเป็ศาสนา กฎหมาย ธรรมเนียมประเพณี และการปกครองควบคุม ทำให้เห็นถึงความโดดเด่นของอำนาจกษัตริย์ที่สูงส่งยากจะหาใดเปรียบ
วันนี้เป็วันคล้ายวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ วังหลวงจึงเปิดประตูหน้า ประตูไท่เหอ
หน้าประตูไท่เหอมีรถม้าจอดอยู่แล้วอย่างแออัด ฮูหยินและคุณหนูจากแต่ละครอบครัวลงมาจากรถม้า องครักษ์ที่ประจำอยู่ด้านหน้าประตูไท่เหอเข้มงวดอย่างยิ่ง ฝ่ายหญิงเข้าแถวอยู่ฝั่งสิงโตตัวเมีย ฝ่ายชายเข้าแถวอยู่ข้างสิงโตตัวผู้ นับจากประตูไท่เหอเข้าไปไม่อนุญาตให้นั่งรถม้า ดังนั้นจึงยังต้องเดินเท้าต่อราวๆ หนึ่งเค่อ (สิบห้านาที)
หากในวังหลวงมีการจัดงานเลี้ยงครั้งใหญ่ ผู้ที่ลำบากที่สุดย่อมเป็หญิงมีครรภ์ อย่างเช่น หากเป็เดือนแรกของปี ฮูหยินตราตั้งต้องเข้าวัง เวลาเช่นนี้ไม่ว่าจะเป็หญิงมีครรภ์หรือไม่ก็ไม่มีการยกเว้น
วันนี้มองไปก็พอจะเห็นหญิงมีครรภ์อยู่ แต่ทว่าแม่นางน้อยหน้าตางดงามมีมากมาย และทางด้านสิงโตตัวผู้นั้น ย่อมมีบรรดาคุณชายหน้าตาหล่อเหลามากมายเช่นกัน
รถม้าของจวนจงหย่งโหวค่อนข้างดึงดูดสายตาผู้คนเป็พิเศษ ด้วยเหตุที่จวนจงหย่งโหวนั้นได้มีว่าที่พระชายาฉีอ๋องคนหนึ่ง และยังเป็ฝ่าาที่เป็ผู้พระราชทานสมรสให้อีกด้วย เป็เด็กชายน้อยอายุห้าขวบลักษณะเช่นใดกันหนอ จึงสามารถทำให้ฝ่าาพระราชทานสมรสแก่ฉีอ๋องได้? ผู้คนต่างประหลาดใจ และแน่นอนว่ามีคนสงสัยว่าฝ่าาเจตนาทำให้ฉีอ๋องน่ารังเกียจ อันใดเล่าที่บอกว่ารักและเอ็นดูฉีอ๋องล้วนโกหกทั้งเพ วันหน้าให้ฉีอ๋องแต่งงานกับผู้ชาย นี่ไม่ใช่การตัดอนาคตของฉีอ๋องหรืออย่างไร?
ต่างคิดกันไปต่างๆ นานา
แต่จะเป็เช่นใดนั้น จ้าวหนิงฮ่องเต้ไม่สามารถไปควบคุมการคาดเดาของผู้อื่นได้ อย่างไรก็ดังมาไม่ถึงหูของเขา
“นั่นคือรถม้าของจวนฉีอ๋อง ไม่รู้ว่าเสี่ยวโหวเหฺยในคำเล่าลือคือท่านใด?”
“ที่เ้าพูดหมายถึงว่าที่พระชายาฉีอ๋องของพวกเราหรือ ได้ยินว่าเป็เด็กที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก”
“ก็ใช่น่ะสิ เหล่าไท่ไท่ในจวนจงหย่งโหวนั่นช่างเหลือเกินยิ่ง กลับรับครอบครัวของบุตรชายจากสามีคนก่อนเข้ามาอยู่ในจวน ต่อมายังทะเลาะกับเสี่ยวโหวเหฺยขึ้นมาอีก ผู้อื่นจึงขับไล่ออกไป”
“ข้าก็เคยได้ยิน เด็กน้อยเพิ่งจะอายุห้าขวบ เก่งกาจยิ่งนัก”
“ร้ายกาจที่ใดกัน อาจจะเป็มารดาใหญ่ของคนผู้นั้นมากกว่าที่เสี้ยมสอน”
“เหล่าจงหย่งโหวฮูหยินที่เ้าพูดถึงนั้นข้ารู้จัก เมื่อครั้งยังเป็แม่นางยังได้คุยกัน เป็หญิงที่มีคุณธรรมและเมตตา”
“ไฉนจะไม่ใช่เล่า ต้องมาพบกับแม่สามีที่เป็มารดาเลี้ยงเช่นนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเคราะห์ร้ายทั้งชีวิต”
“ข้าได้ยินว่ากูหน่ายนายของจวนชิ่งป๋อผู้นี้เมื่อครั้งยังสาวชื่อเสียงไม่ดีนัก”
“ชื่อเสียงดีจะรับบุตรชายจากสามีคนก่อนเข้ามาอยู่ในจวนของลูกเลี้ยงอย่างถาวรได้อย่างไรเล่า?”
ผู้คนที่รออยู่พูดคุยเื่นินทากันไม่หยุดหย่อน คุยไร้สาระ ทว่าสายตากลับจ้องเขม็งไปที่รถม้าของจวนจงหย่งโหว รถม้าของฝ่ายชายอยู่ด้านหน้า หลี่ลั่วนั้นมีขั้นตำแหน่งสูงสุดคือท่านโหวขั้นหนึ่ง ดังนั้นรถม้าของเขาจึงอยู่ลำดับที่หนึ่ง
ทว่าผู้ที่ออกจากรถม้าก่อนคือหลี่หง ผู้คนเห็นว่าคนที่ออกมาจากรถม้าคือหนุ่มน้อย จึงประหลาดเล็กน้อย “นี่คือผู้ใดกัน? เหมือนจะไม่เคยเจอมาก่อน”
“ข้าไม่เคยเจอมาก่อนเช่นกัน”
“เ้าเล่า? รู้หรือไม่?”
“เอ๋ นี่ไม่ใช่คุณชายใหญ่แห่งจวนจงหย่งโหว หลี่หง หรอกหรือไร?” มีคนพูดขึ้น “แปลกประหลาดยิ่งนัก ประหลาดแล้ว”
“เ้ารู้จักหรือ?” มีคนถามขึ้น “แต่ที่ข้าได้ยินมาก็คือคุณชายท่านนั้นได้รับาเ็ที่ขา เวลาเดินเหินจะขาเป๋เล็กน้อย”
“ข้าเคยพบคุณชายผู้นั้นมาก่อน ขณะเดินขาจะเป๋เล็กน้อยจริงๆ และเป็คุณชายผู้นี้ถูกต้องแล้ว ทว่ายามนี้ขาของเขาดูไม่มีปัญหาอันใดนี่นา”
“หรือว่าขาของเขาหายดีแล้ว?”
“หากขาดีขึ้นแล้ว ดูจากฐานะครอบครัวและรูปโฉมแล้ว เป็สามีที่ดีที่สมควรเลือก”
“ไม่เลว สง่างาม หน้าตาหล่อเหลา แม้ตำแหน่งโหวในจวนโหวจะไม่มีแล้ว แต่จวนโหวมีเพียงสองพี่น้อง คนน้อย”
“ในจวนโหวนั้นยังมีจวนสกุลหลี่อยู่ด้วยนา” มีคนหยอกล้อขึ้น
“แล้วจะเป็ใดเล่า? ก็เป็แค่มารดาเลี้ยงที่ไม่มีศักดิ์และสิทธิ์ใดๆ มาจากที่ไหนก็กลับไปที่นั่น” พูดขึ้นมาแล้ว ฮูหยินผู้นี้พลันตื่นเต้นเล็กน้อยแล้ว “อืม เหมาะสมกับหลานสาวคนนั้นของข้า อีกประเดี๋ยวต้องเข้าไปถามเสียหน่อย”