วันนี้แม่นางฉินมาหาหลินฟู่อินอีกครั้งเพื่อซื้อแป้งโม่กุ้ยเฝิ่น เนื่องจาก่หลังๆ มานี้มีพ่อค้าแม่ขายชาดมาติดต่อขอซื้อแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นมากขึ้นเรื่อยๆ แม่นางฉินจึงมาปรึกษาหลินฟู่อิน ว่านางจะขึ้นราคาเป็ตลับละยี่สิบห้าตำลึงเงินดีหรือไม่
แม้ราคามันจะสูง แต่ร้านที่ยอมจ่ายก็มีไม่น้อย
“จริงด้วย ฟู่อิน เมื่อคราวก่อนเ้าบอกว่าเ้าจะไปถามเื่ร้านในชิงเหลียนให้ข้า มีข่าวอะไรบ้างหรือไม่?” แม่นางฉินถามหลินฟู่อินขึ้นมาหลังจากที่จ่ายเงินเสร็จแล้ว
หลินฟู่อินได้ยินแล้วจึงก่ายหน้าผาก “ข้าลืมเื่นี้ไปเลย ข้าถามให้แม่นางไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ข้าเกรงว่าทางนั้นจะมีเพียงเรือนหรือร้านขนาดใหญ่เท่านั้น…”
แม่นางฉินหัวเราะออกมา “เกรงอะไรกัน? ข้าช่วยเ้าทำมาหากินมาขนาดนี้แล้ว ยังจะกลัวว่าข้าไม่มีเงินอีกหรือ?”
เมื่อเห็นว่าแม่นางฉินไม่ได้มีท่าทีล้อเล่น หลินฟู่อินจึงมองตาแม่นางฉินแล้วกล่าว “จากที่ข้าไปสอบถามมา ตัวเรือนเป็เรือนใหญ่ที่มีเรือนเล็กห้าเรือน แม้จะเล็กกว่าเรือนที่ข้าซื้อ แต่ทำเลที่นี่ดีกว่า ผู้ขายจึงเสนอราคามาแปดพันตำลึงเงิน ส่วนตัวร้านนั้นมีขนาดใกล้เคียงกับร้านทั้งสองของข้า ซึ่งเรียกได้ว่าใหญ่ไม่แพ้ตัวเรือนใหญ่เลย ดังนั้นราคาจึงเป็แปดพันตำลึงเงินเช่นกัน”
หลินฟู่อินลังเลที่จะกล่าวเื่นี้เพราะราคามันค่อนข้างสูง จึงกลัวว่าแม่นางฉินอาจจ่ายรวดเดียวไม่ไหว และผลจากการลังเลนั้นก็ทำให้นางลืมที่จะกล่าวถึงไปเลยในตอนแรก
แม่นางฉินได้ยินแล้วก็รู้สึกว่ามันแพงเช่นกัน
นางจึงลังเลไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “หากรวมกับเงินที่กำลังจะมานี้แล้ว ข้าก็คงพอซื้อไหว แต่เ้า… ด้วยเงินในมือของข้าตอนนี้ก็ดูจะไม่พอจริงๆ”
หลินฟู่อินจึงถามต่อ “เช่นนั้นแล้วแม่นางจะไม่ซื้อหรือ?”
“ซื้อสิ! จะไม่ซื้อได้อย่างไร?” แม่นางฉินกัดฟันยืนกรานที่จะซื้อ ผิดไปจากการคาดการณ์ของหลินฟู่อิน “แต่มันลดไม่ได้แล้วหรือ?”
“ข้าเองก็ลองถามดูแล้ว แต่ทางผู้ขายตอบว่าลดให้ได้มากที่สุดคือห้าร้อยตำลึงเงินเ้าค่ะ” หลินฟู่อินกล่าว
แม่นางฉินจึงถามต่อ “ห้าร้อยนั่นรวมหรือแยก”
หลินฟู่อินพยักหน้าแล้วถอนหายใจ “หากทางผู้ขายยอมขายแยก ก็คงขายออกได้ไปนานแล้ว แต่ทางผู้ขายยืนกรานมาว่าต้องขายคู่กันเท่านั้น”
แม่นางฉินเข้าใจดี แม้นางจะยังไม่เห็นของจริง แต่นางก็รู้ว่าหากมีคนอยากขายที่ทำเลดีๆ ในเมืองชิงเหลียน มันก็ควรขายออกได้ไปนานแล้ว
แต่เพราะผู้ขายอยากขายคู่กันทั้งสองที่ จึงลดผู้ซื้อไปได้มาก
เช่นผู้ซื้อที่สนเพียงอยากซื้อเรือน ผู้ซื้อที่สนแต่ร้าน และผู้ซื้อที่อยากได้ทั้งคู่แต่ไม่อาจหาเงินก้อนใหญ่กว่าหมื่นตำลึงเงินมาในคราวเดียวได้… มันจึงเหลือรอดมาได้จนถึงตอนนี้โดยไม่ถูกขาย
แต่สำหรับแม่นางฉินแล้ว นี่เป็โอกาสที่นางไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้
“ช่วยให้ข้าได้พบกับผู้ขายได้หรือไม่ ข้าอยากรู้ว่าข้าจะพอต่อราคาลงมาอีกสักหน่อยได้หรือไม่” แม่นางฉินถาม แล้วก็กล่าวขึ้นมาอย่างใส่อารมณ์ “ข้าทนอยู่ในเมืองนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว”
หลินฟู่อินรู้ว่าน้องชายสามีและครอบครัวของแม่นางฉินยังกัดนางไม่ยอมปล่อย หลินฟู่อินจึงถามออกไป “น้องชายสามีของแม่นางมาก่อเื่อีกแล้วหรือ?”
แม่นางฉินสบถออกมาอย่างชิงชังแล้วกล่าวอย่างเดือดดาล “มีหรือที่จะไม่มา? พอมันเห็นว่าร้านขายชาดของข้ากำลังไปได้ดี เมื่อวันก่อนมันเลยพาลูกๆ หลานๆ มันมาที่ร้านข้าด้วย บอกว่าจะเอามาช่วยงาน แล้วคิดว่าเด็กยังไม่ทันโตพวกนั้นจะไปทำอะไรได้กัน? ทั้งมันยังทำแป้งข้าหกหมดอีก!”
หลินฟู่อินพยักหน้า มีญาติเช่นนั้น แม้เป็นางเองก็คงอับจนหนทางเช่นกัน
“แล้วไม่ใช่แค่นั้น แม่ภรรยาของมันก็มาขโมยของในร้านข้าเช่นกัน เมื่อวันก่อนนางมาเยือนร้าน แล้วขโมยแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นของข้าไปหลายตลับในตอนที่ข้าไม่ทันสังเกต ทำข้าหัวเสียยิ่งนัก!” แม่นางฉินระบายความอัดอั้นออกมาให้หลินฟู่อินฟังไม่หยุด
หลินฟู่อินนั้นชิงชังการลักขโมยยิ่งกว่าสิ่งใด จึงขมวดคิ้วแล้วกล่าว “หากเป็เช่นนั้นก็นับว่าแม่นางใจอ่อนเกินไปแล้ว หากถูกกระทำเช่นนั้นใส่ แม่นางก็ควรไปแจ้งกับเหล่าผู้าุโของตระกูลสิ เพราะทางนั้นเองก็คงไม่อยากให้คนในตระกูลตัวเองมีเื่ลักเล็กขโมยน้อยเช่นกันมิใช่หรือ?”
แม่นางฉินพยักหน้า “หากยังมีครั้งถัดไปอีก ข้าก็จะไม่ไว้หน้าพวกมันแล้ว ที่ครั้งนี้ข้ายังไม่ทำเช่นนั้นก็เพราะข้าเห็นแก่หน้าสามีที่จากไปแล้วของข้า และของหลานๆ เท่านั้น เพราะพวกหลานๆ นั้นไม่ได้รู้อีโหน่อีเหน่อันใด”
หลินฟู่อินได้ยินเช่นนี้แล้วก็รู้สึกอับจนหนทางในการแก้ปัญหาเช่นกัน
ตัวบิดามารดาจะเป็อย่างไรก็ช่าง แต่เด็กๆ ควรได้รับสภาพแวดล้อมที่ดีในการเติบโต ความผิดฐานลักขโมยนั้นเป็เื่ที่น่าอับอาย หากแพร่งพรายขึ้นมาชื่อเสียงคงป่นปี้ แล้วพวกเด็กๆ คงต้องรับเคราะห์ไปด้วย
หลินฟู่อินลองคิดดู แล้วจึงกล่าวออกมา “แต่จะปล่อยให้สร้างปัญหาต่อไปเช่นนั้นก็ไม่ได้ ไม่แน่ใจว่าวิธีนี้จะได้ผลหรือไม่ แต่แม่นางน่าจะลองจ่ายเงินให้ผู้นำตระกูลเพื่อให้คอยจับตาดูพวกนั้นไว้ และหากเด็กๆ ดูมีอนาคต แม่นางค่อยเสนอตัวไปให้ทุนหรือรับมาเป็ศิษย์อะไรเช่นนั้นดูก็ได้”
แม่นางฉินสายตาเป็ประกายขึ้นมา นางมัวแต่คิดเื่กิจการจนลืมเื่นี้ไปเลย
หลินฟู่อินเองก็ออกทุนให้หลินซานหลางได้เรียนหนังสือ พร้อมกับจ้างหลี่เจิ้งของหมู่บ้านให้คอยจับตามองและขัดขวางพวกบ้านใหญ่
เมื่อลองพิจารณาดูแล้ว แม่นางฉินจึงกล่าวกับหลินฟู่อิน “ขอบคุณคำแนะนำของเ้ามาก ไว้มีเวลา ข้าจะไปลองดู”
หลินฟู่อินโบกมือ แล้วแม่นางฉินจึงกลับร้านไปพร้อมขวดแป้งโม่กุ้ยเฝิ่นสองขวดใหญ่
เมื่อหลินฟู่อินส่งแม่นางฉินไปแล้ว จึงหันมาเริงร่ากับเงินสองพันแปดร้อยตำลึงเงินในมือ ก่อนจะได้ยินเสียงทุบประตูอย่างเร่งรีบมาจากข้างนอก
นางไม่ได้ยินเสียงทุบเช่นนั้นมานานแล้ว ทำให้นางนึกถึงพวกบ้านใหญ่ขึ้นมา
นางนิ่วหน้าแล้วเดินไปเปิดประตู ก่อนจะได้พบหลินเสี่ยวเถาและหลินเสี่ยวเหอที่ยืนหนาวสั่นอยู่ที่นั่น
ทั้งสองมองสวนบ้านหลินฟู่อินด้วยสายตาละโมบ
หลินฟู่อินถอนหายใจ มีคำพูดมากมายที่เอาไว้บรรยายถึงสิ่งเลวร้าย แต่ไม่มีคำไหนที่เพียงพอจะใช้บรรยายคนพวกนี้ได้เลย
พวกไม่รู้จักเข็ดหลาบ!
“พี่ฟู่อิน เรือนนี้เป็บ้านในเมืองของพี่หรือ?” เมื่อหลินเสี่ยวเหอมองจนสาแก่ใจแล้ว นางก็ถามออกมา หลินเสี่ยวเถาเองก็จ้องหลินฟู่อินไม่วางตาเช่นกัน
สายตาละโมบของทั้งสองสร้างความรำคาญให้หลินฟู่อิน นางไม่รู้ว่าทั้งสองมาหานางเพื่อสิ่งใด นางจึงถาม “มาทำอะไรที่นี่?”
“ปู่บอกให้พวกข้ามาน่ะ” หลินเสี่ยวเถาตอบ จากนั้นจึงบอกหลินฟู่อินว่าเป็หลินเสี่ยวเถาที่บอกปู่หลินว่าหลิวฉินมีสัญญาจะเลี้ยงข้าวนางอยู่ จึงให้ทั้งสองเข้ามาเพื่อพบหลิวฉิน
หลินฟู่อินฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว แต่เมื่อเห็นว่าหลินเสี่ยวเถากล่าวด้วยน้ำเสียงนอบน้อมราวกับเป็คนละคนกับที่นางรู้จักแล้ว หลินฟู่อินจึงเริ่มมีความรู้สึกดีๆ กับนางขึ้นมาบ้าง
นางปรายตามองหลินเสี่ยวเถา จึงได้เห็นว่าแม้อาการนางจะดีขึ้นแล้ว แต่ใบหน้ายังคงซีดเซียวและน้ำหนักก็ลดลงไปมาก ฟู่อินจึงถาม “เสี่ยวเถา อาการเ้าเป็อย่างไรบ้าง?”
เมื่อหลินเสี่ยวเถาเห็นว่าหลินฟู่อินยังคงมีความห่วงใยให้นางอยู่ นางจึงรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาจนน้ำตาแทบหลั่งริน
“ข้าสบายดีแล้ว ท่านป้ารองช่วยดูแลจนข้ากลับมาแข็งแรงแล้ว” หลินเสี่ยวเถากล่าวออกมาด้วยท่าทีสะอึกสะอื้น ดวงตาทั้งสองที่เปี่ยมไปด้วยความซาบซึ้งมองตรงหาหลินฟู่อิน “เสี่ยวเหอบอกข้าว่าพี่ฟู่อินช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ!”
เมื่อได้ยินคำขอบคุณของหลินเสี่ยวเถาหลินฟู่อินจึงรู้สึกว่าครั้งนี้นางไม่ได้ช่วยสุนัขไม่รู้จักบุญคุณ แต่เป็การช่วยมนุษย์ นางจึงถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนมองหลินเสี่ยวเถาแล้วกล่าว “เ้าแข็งแรงดีก็ดีแล้ว จากนี้ไปก็ใช้ชีวิตให้ถูกให้ควรเสีย”
นี่เป็คำแนะนำจากนางให้หลินเสี่ยวเถา
หลินเสี่ยวเถาได้ยินแล้วจึงพยักหน้ารับ
หลินเสี่ยวเหอแค่นจมูกใส่หลินเสี่ยวเถา แล้วจึงกล่าว “หลินเสี่ยวเถา เ้าคิดจริงๆ หรือว่าเ้าจะไปมีชีวิตแสนสุขได้น่ะ? ลืมไปแล้วหรือว่าตอนที่เ้ายังไม่ทันหายดี เ้าถูกย่ากับพี่ต้าหลางลากตัวกลับจากบ้านป้ารองไปทำงานรอบหนึ่งแล้วน่ะ?”
หลินเสี่ยวเถาสีหน้าซีดเผือด สองมือกำแน่น ใบหน้าก้มต่ำ เป็สัญญาณชัดเจนว่าไม่อยากนึกถึงเื่นั้น
“พี่ฟู่อิน เสี่ยวเถากับข้าทนอยู่ที่บ้านใหญ่ต่อไปไม่ไหวแล้ว” หลินเสี่ยวเหอมองหน้าหลินฟู่อินแล้วกล่าวออกมา
หลินฟู่อินก็มองนางด้วยรอยยิ้ม “เ้าเองก็จิกหัวใช้คนบ้านรองตอนที่พวกเขายังอยู่ที่บ้านใหญ่เช่นกันไม่ใช่หรือ เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ที่ตอนนี้เ้าจะต้องถูกลุงใหญ่และป้าใหญ่ใช้งานเสียบ้าง และพวกเ้าน่ะยังดี ดูพี่เฟินและพี่ฟางสิ ทั้งสองเกือบเอาชีวิตไม่รอดเสียด้วยซ้ำ โดยเฉพาะพี่เฟินที่เกือบถูกพี่ชายเ้าขายทิ้งอีก ทั้งสองจึงต้องมาหาข้าอย่างไรล่ะ”
หลินฟู่อินเข้าใจสิ่งที่หลินเสี่ยวเหอพยายามสื่อ และรู้ด้วยว่านางยังไม่ยอมแพ้ในการพยายามใช้ประโยชน์จากนางเพื่อหนีออกจากบ้านใหญ่ ทั้งตอนนี้ยังดึงหลินเสี่ยวเถาไปเป็พวกได้แล้วด้วย
เมื่อหลินเสี่ยวเถาได้ยินคำของฟู่อินแล้ว นางจึงลอบดึงมือของหลินเสี่ยวเหอ เพื่อเป็การส่งสัญญานให้อยู่เงียบๆ ไป
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่ได้เข้าเมืองมาเพื่อมาพบคุณชายใหญ่หลิว แต่เ้าก็มาด้วย เราไม่ได้มาที่นี่เพื่อข้าวหนึ่งมื้อนั่น ดังนั้นเ้าไม่ต้องทำให้เื่มันยุ่งยากขึ้นหรอก” หลินเสี่ยวเถาบ่นใส่หลิวเสี่ยวเหอ แม้ปู่หลินจะอนุญาตแล้ว แต่หลินเสี่ยวเหอก็ยังคงกัดเื่นี้ไม่ปล่อย
แม้หลินเสี่ยวเถาจะเพิ่งฟื้น แต่นางก็ยังรักษาท่าทีได้อยู่
เพราะหลินเสี่ยวเถาได้รับประสบการณ์เฉียดตายมาแล้ว นางจึงคิดได้หลายๆ อย่าง และจากนี้ไปนางจะใช้ชีวิตอย่างที่หลินฟู่อินแนะนำ รักษาสุขภาพให้ดี เมื่อถึงเวลาแล้วก็แต่งงานออกไปอย่างมีความสุข
กลับกัน หลินเสี่ยวเหอกำลังมองหลินเสี่ยวเถาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหัวเราะออกมาด้วยเสียงเย็นเยียบ นางไม่อยากป้อยอหลินฟู่อิน แต่ก็ไม่อยากให้ร้ายนางด้วยเช่นกัน ตอนนี้นางจึงเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าจะทำตามเป้าหมายของนางให้สำเร็จได้หรือไม่ “พี่ฟู่อิน เมื่อครู่ท่านกล่าวถึงเื่ที่พี่เฟินเกือบถูกพี่ต้าหลางพาไปขาย เช่นนั้นแล้วพี่ไม่เป็ห่วงพวกข้าเลยหรือ? ขอบอกไว้ตรงนี้ว่าอีกไม่นานพี่ต้าหลางก็คงเอาพวกข้าไปขายเช่นกัน!”
หลินฟู่อินได้ยินคำพูดของหลินเสี่ยวเหอแล้วก็รู้สึกประหลาดใจ เด็กนี่ยังมีความมั่นใจเหลืออยู่ถึงเพียงนี้เลยหรือ
“พวกเ้าไม่ต้องเซ้าซี้มากก็ได้ อย่างไรคุณชายใหญ่หลิวก็มีสัญญาที่จะเลี้ยงอาหารพวกเ้ามื้อหนึ่งอยู่จริงๆ เอาเช่นนี้เป็อย่างไร เพราะข้าเองก็มีธุระเื่บัญชีกับเขาอยู่พอดี ดังนั้นข้าจะพาพวกเ้าไปพบเขาเพื่อให้เขาเลี้ยงอาหารพวกเ้า” หลินฟู่อินเงยหน้ามองฟ้า นี่ก็ใกล้เวลามื้อเที่ยงพอดี
เมื่อหลินเสี่ยวเหอได้ยินจึงตอบตกลงทันที จากนั้นก็เหม่อลอยเคลิบเคลิ้มเข้าสู่โลกส่วนตัวไป
หลินฟู่อินงุนงงเมื่อเห็นนางมีท่าทีเช่นนั้นหลังจากที่รู้ว่าจะได้พบหลิวฉิน
เด็กนี่อายุเท่าไรแล้วนะ เช่นนี้ควรจะเรียกว่าแก่แดดหรือไม่
นางเริ่มกังวลขึ้นมา หากพาไปพบหลิวฉินแล้วจะมีปัญหาอะไรตามมาหรือไม่
แต่การไม่พาไปพบแล้วหลิวฉินทำตามสัญญาไม่ได้ก็ไม่ดีเช่นกัน
“รีบๆ พาไปเสียทีสิ มัวแต่ยึกยักอะไรอยู่ได้” หลินเสี่ยวเหอกล่าว
หลินฟู่อินพิจารณาดู หากนางไม่พาไปวันนี้ เช่นนั้นครั้งหน้าเด็กนี่ก็คงกลับมาอีกมิใช่หรือ? หากเป็เช่นนั้นก็จัดการให้มันจบๆ ไปในวันนี้เลยดีกว่า
“เสี่ยวเหอ เ้าไปกับพี่ฟู่อินเถอะ ข้าไม่ไป ข้าจะไปหาพี่เฟินและพี่ฟาง” ในตอนที่หลินฟู่อินกำลังจะนำพวกนางออกจากบ้าน หลินเสี่ยวเถาก็กล่าวขัดขึ้นมา
หลินฟู่อินมองหลินเสี่ยวเถาอย่างตกตะลึง เฉียดตายไปเพียงครั้งเดียว ทำให้เปลี่ยนเป็คนใหม่ได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ?
หลินเสี่ยวเหอเองก็คิดว่าหากไม่มีหลินเสี่ยวเถาไปด้วยจะดีกว่า พอเห็นนางเสนอตัวไม่ไปเองเช่นนี้หลินเสี่ยวเหอจึงดีใจขึ้นมา แล้วรีบดึงมือหลินฟู่อินทันทีพร้อมกล่าว “พี่ฟู่อิน นางคงไม่อยากไปเพราะนางเพิ่งฟื้นตัว กระเพาะจึงยังรับอะไรได้ไม่มาก ดังนั้นพาไปแค่ข้าก็พอ”
หลินฟู่อินนิ่วหน้าแล้วกล่าวโดยเมินเฉยต่อหลินเสี่ยวเหอ “เช่นนั้นไม่ได้ เพราะคุณชายให้สัญญากับพวกเ้าทั้งสองไว้แล้ว ดังนั้นพวกเ้าต้องไปทั้งคู่” จากนั้นนางจึงหันไปมองหลินเสี่ยวเถา “ไม่ต้องห่วง ข้าจะไปกับเ้าด้วย”
เมื่อหลินเสี่ยวเหอเห็นว่าหลินฟู่อินจะไปด้วยแล้ว นางก็ไม่พอใจขึ้นมาทันที “เช่นนั้นไม่ได้นะ พี่ฟู่อิน คุณชายเชิญเพียงข้ากับเสี่ยวเถาเท่านั้น พี่ไปด้วยก็ไม่เหมาะสมใช่ไหมล่ะ?”
หลินเสี่ยวเหอนี่ ยังเด็กแท้ๆ แต่จิตใจบิดเบี้ยวไม่ใช่น้อยเลย
หลินฟู่อินปรายตามองนางอย่างเ็า กล่าวว่า “ได้ งั้นข้าไม่ไป”
แล้วหลินเสี่ยวเหอจึงดีใจขึ้นมา
ส่วนหลินเสี่ยวเถาที่ได้ฟังคำของหลินฟู่อิน ก็คิดว่าหากนางไม่ไปก็อาจทำให้หลินฟู่อินต้องเสียหน้าได้ ซึ่งนั่นไม่ดีแน่…
นางจึงยอมพยักหน้าตกลงไปด้วย
จากนั้นหลินฟู่อินจึงพาทั้งสองไปยังที่ทำงานของหลิวฉิน
หลิวฉินกล่าวขมๆ “ได้” จากนั้นเขาจึงส่งเสียงเรียกพนักงานที่ทำงานอยู่แล้วกล่าวกับนาง “อิงจื่อ พาสองพี่น้องไปทานอาหารที่ภัตตาคารหลิวจี้ แล้วบอกผู้ดูแลด้วยว่าข้าให้สัญญาที่จะเลี้ยงอาหารทั้งสองไว้ อยากให้พ่อครัวจัดชุดใหญ่ให้”
พนักงานหญิงผู้มีนามว่าอิงจื่อตอบรับด้วยรอยยิ้ม แล้วเตรียมจะพาทั้งหลินเสี่ยวเหอและหลินเสี่ยวเถาออกไป
แต่หลินเสี่ยวเหอที่เห็นว่าหลิวฉินไม่ได้ไปด้วยก็กล่าวขึ้นมาอย่างกังวลทันที “คุณชาย นี่ท่าน… จะไม่ไปทานกับพวกข้าหรือ”
หลิวฉินยิ้มตอบ “ข้ายังมีธุระให้จัดการอยู่ เชิญแม่นางทั้งสองทานกันไปก่อนได้เลย”
แล้วหลินเสี่ยวเถาจึงตามพนักงานออกไปโดยไม่ได้แสดงท่าทีอันใดนัก แต่หลินเสี่ยวเหอนั้นมีสีหน้าผิดหวังอย่างชัดเจน
“ฟู่อิน ญาติของเ้ามันอย่างไรกัน? วัยเพียงเท่านั้นแต่กลับจ้องข้าไม่วางตา นางเพิ่งสิบขวบเองไม่ใช่หรือ….”
หลินฟู่อินพูดไม่ออก ใบหน้าของนางแดงเรื่อขึ้นเล็กน้อย หลินเสี่ยวเหอนี่ทำตัวน่าขายหน้าจริงๆ ไม่สิ ทั้งบ้านใหญ่เลย
“คิดเสียว่าเป็เพียงเด็กสาวที่ยังไม่ประสาเถอะ จะไปกล่าวถึงให้เสียน้ำลายไปทำไมกัน?” หลินฟู่อินมองเขา
หลิวฉินจึงโบกไม้โบกมือเป็พัลวัน กล่าวขอโทษอย่างจริงใจ “ข้าผิดเอง”
“วันนี้ข้ามาเพื่อถามว่าท่านแยกบัญชีสำหรับทำกิจการแล้วหรือยัง?” หลินฟู่อินถาม
หลิวฉินเข้าใจสิ่งที่นางจะสื่อ จึงหยิบสมุดบัญชีออกมาจากลิ้นชักแล้วกล่าวจริงจัง “แยกไว้ั้แ่ก่อนหน้านี้แล้ว เ้าลองดูสิ”
หลินฟู่อินพยักหน้า แล้วรับเอาสมุดบัญชีมาพลิกดู กวาดตามองไปจนถึงบรรทัดสุดท้ายที่ชี้แจงว่ามียอดขายมากกว่าสี่หมื่นเก้าพันตำลึงเงิน เมื่อหักต้นทุน ค่าจ้าง และค่ายิบย่อยออกแล้ว ก็พบว่ามีกำไรมากกว่าสี่หมื่นสองพันห้าร้อยแปดสิบตำลึงเงิน
“ไม่เลวเลย” หลินฟู่อินยิ้มแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ
“กำไรของเ้าสามส่วน ข้าเตรียมไว้ให้แล้ว” หลิวฉินกล่าวจบก็หันหลังไปพลางหยิบเอากุญแจเล็กออกมาดอกหนึ่ง ใช้มันเปิดตู้เล็กแล้วหยิบเอาถุงเงินออกมาจากภายใน “ตรงนี้คือตั๋วแลกเงินรวมหนึ่งหมื่นสองพันเจ็ดร้อยตำลึงเงินของเ้า”
หลินฟู่อินรับมา ในที่สุดนางก็มีเงินพอแล้ว ไม่สิ ไม่ใช่แค่พอ นางยังมีเหลือเสียด้วยซ้ำ!
“และตรงนี้อีกเจ็ดสิบสี่ตำลึงเงิน” หลิวฉินเห็นหลินฟูู่อินรับเงินไปแล้ว ก็นั่งลงเพื่อหยิบเอาก้อนเงินใหญ่ออกมาอีกห้าสิบตำลึงเงินจากตู้ และยี่สิบตำลึงเงินติดตัว และเงินก้อนเล็กอีกสี่ตำลึงเงิน
หลินฟู่อินมองอย่างประหลาดใจ ก่อนจะหยอกเขาเล่น “กลายเป็คนคำนวณแม่นขนาดนี้ั้แ่เมื่อไรกัน หือ?”
หลิวฉินจึงตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ตัวเลขเป็สิ่งที่ต้องชัดเจน นี่เป็สิ่งที่เ้าบอกข้าเอง ดังนั้นข้าก็ต้องทำบัญชีให้ชัดเจน เพราะตอนนี้เราร่วมมือกันแล้ว!”
“ท่านกล่าวได้ถูกต้อง ขอบคุณท่านมาก” หลินฟู่อินหัวเราะ
“ฮ่าฮ่า วันนี้เ้าได้เงินถุงเงินถัง จะไม่ชวนข้าไปทานอาหารเสียหน่อยหรือ?” หลิวฉินหยอกล้อกับหลินฟู่อิน
หลินฟู่อินจึงปรายตามองเขาแล้วกล่าว “ท่านได้มากกว่าข้าถึงสองเท่า เช่นนั้นท่านก็ควรจะเป็ฝ่ายเชิญข้ามิใช่หรือ”
หลิวฉินได้ยินแล้วจึงพึมพำออกมา “ที่ว่ายิ่งรวยยิ่งเหนียว นี่ดูจะเป็จริงสินะ”
หลินฟู่อินได้ยินแต่เลือกที่จะเมินเขาไป
หลิวฉินจึงกล่าวต่อ “ฟู่อิน เมื่อรวมกับก้อนนี้แล้ว เ้าขาดอีกเท่าไรสำหรับการซื้อร้านหรือ?”
“ไม่ขาดแล้ว วันนี้ข้าจะไปพบนายหน้าเมิ่งเพื่อไปพบพ่อบ้านของเจียงฮูหยินในหมู่บ้านเพื่อส่งเงินแล้ว” หลินฟู่อินหรี่ตาเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างภูมิใจ
และนางก็มีสิทธิ์ที่จะภูมิใจ เพราะการหาเงินได้สี่ถึงห้าหมื่นตำลึงเงินในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้โดยง่าย
หลิวฉินได้ยินแล้วก็ตะลึง สองตาจ้องหลินฟู่อินไม่วาง แล้วเค้นคำพูดออกมา “เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ?”
“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ?” หลินฟู่อินเก็บเงินเจ็ดสิบสี่ตำลึงเงินลงถุง ตอนนี้ถุงเงินของนางจึงห้อยอย่างหนักอึ้งอยู่ที่เอว “คราวหน้าท่านให้ข้าเป็ตั๋วแลกเงินทั้งหมดเลยได้หรือไม่ ข้าไม่ชอบก้อนเงิน มันหนัก”
หลิวฉินที่กำลังอึ้งได้ส่งเสียง “อ่า” ออกมา
จากนั้นจึงได้สติกลับมาแล้วกล่าวอย่างยินดี “อ๊ะ ถ้าเช่นนั้นก็แปลว่าเราจะสามารถเปิดร้านได้ในสิ้นปีนี้เลยใช่หรือไม่?”
ปีใหม่นั้นจะเริ่มหลังจากวันที่ยี่สิบเก้าของเดือนหนึ่งตามปฏิธินสุริยคติ ดังนั้นหากซื้อร้านแปดหลังนั่นและเริ่มลงมือดัดแปลงมันเสียั้แ่ตอนนี้ เช่นนั้นก็คงทันสิ้นปีได้จริงๆ
หลินฟู่อินพิจารณาดูแล้วก็กล่าวว่า “มีเหตุผล แต่เพราะ่สิ้นปีเป็่ที่พ่อค้าแม่ค้าต่างก็กลับภูมิลำเนากัน ดังนั้นข้าว่ามันคงไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเปิดร้านนักไม่ใช่หรือ?”
ความเห็นนี้มาจากการตริตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว แต่นางก็ยังคงถามความเห็นจากหลิวฉินในฐานะแนวร่วมกิจการ
เมื่อฟังแล้ว หลิวฉินจึงไตร่ตรองดู
จากนั้นเข้าจึงกล่าว “เื่นั้นเ้าไม่ต้องกังวล ตอนสิ้นปีที่แล้วข้าไปพบฉางหนิงเพื่อเที่ยวเล่น และได้เห็นว่าการค้าที่นั่นยังรุ่งเรืองอยู่แม้เป็่เวลานั้น”
หลินฟู่อินมองหน้าหลิวฉิน เพื่อรอให้เขาอธิบายต่อ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้