อวิ๋นเจียวแอบเปิดซองกระดาษใบเล็กที่เพิ่งซื้อมาจากเถาเป่า โรยผงในซองกระดาษไปด้านหลังเนินดินเล็กๆ จากนั้นก็รีบเบียดเข้าไปในกลุ่มคน กลับไปยืนอยู่ด้านหลังชุนเหมย
“โอ๊ย... นี่มันอะไรเนี่ย คันจังเลย!” อวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อที่อยู่ด้านหลังเนินดินร้องเสียงหลงพร้อมกับะโขึ้นลงพลางเกาแขนเกาหน้าไม่หยุด และกระทืบเท้าไปมาอยู่กับที่
ผงสีบางส่วนถูกสะบัดออกร่วงลงบนพื้น แต่ก็ยังมีบางส่วนร่วงลงไปตามคอเสื้อของพวกเขา เข้าไปตามเสื้อชั้นใน คราวนี้ไม่ใช่แค่ใบหน้าและศีรษะที่คัน แต่ทั้งตัวก็เริ่มคันไปหมด ทั้งสองคนเกาอย่างลนลาน การกระทำนี้ดึงดูดสายตาของทุกคน
ในตอนนั้นเอง ผู้เฒ่าเฉียวก็พาผู้าุโของตระกูลอวิ๋นมาด้วย นอกจากพี่ชายแท้ๆ ของผู้เฒ่าอวิ๋นแล้ว อีกสามคนเป็ญาติห่างๆ ของผู้เฒ่าอวิ๋น ผู้เฒ่าเฉียวกลัวว่าฟางซื่อและเด็กๆ จะเสียเปรียบ จึงไม่ทันได้ตามคนมาเยอะ รีบพาผู้าุโของตระกูลอวิ๋นมาคนเดียว
“สะใภ้โส่วจง นี่คือลุงสองของเ้า นี่คืออาสี่ อาห้า อาเจ็ด และอาสิบเอ็ดของเ้า”
ผู้าุโของตระกูลอวิ๋นมองอวิ๋นโส่วจู่กับภรรยาที่อยู่ในสภาพน่าสมเพช เมื่อได้ยินผู้เฒ่าเฉียวแนะนำพวกเขาจึงหันมามองฟางซื่อกับลูกๆ
ฟางซื่อรีบค้อมศีรษะให้พวกเขา “ฟางซื่อตระกูลอวิ๋น ขอคารวะท่านลุงสอง ท่านอาสี่ ท่านอาห้า ท่านอาเจ็ด และท่านอาสิบเอ็ดเ้าค่ะ”
อวิ๋นเจียวกับอวิ๋นฉี่ซานก็คำนับตามมารดา “อวิ๋นเจียว อวิ๋นฉี่ซาน ขอคารวะท่านปู่สอง ท่านปู่สี่ ท่านปู่ห้า ท่านปู่เจ็ด และท่านปู่สิบเอ็ดเ้าค่ะ”
นี่เป็ครั้งแรกที่ครอบครัวอวิ๋นโส่วจงได้พบกับผู้าุโของตระกูลอย่างเป็ทางการ แม้ว่าสถานการณ์ของฟางซื่อและลูกๆ จะไม่ค่อยดีนัก แต่ฟางซื่อและลูกๆ ทั้งสองคนกลับคำนับอย่างสง่างาม ไม่แสดงให้เห็นถึงความต่ำต้อยและไร้ซึ่งความเย่อหยิ่งถือตัว กิริยามารยาทและการอบรมสั่งสอนไม่แพ้ตระกูลใหญ่ๆ
บรรดาผู้าุโของตระกูลอวิ๋นพอใจกับกิริยาของฟางซื่อและลูกๆ ทั้งสองคนเป็อย่างมาก พอหันไปมองอวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อ ความแตกต่างก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ทุกคนต่างคิดว่าต่อไปนี้ต้องให้ลูกหลานในบ้านติดต่อกับอวิ๋นโส่วจง ลูกชายคนรองของบ้านสายสามให้มากขึ้น ผู้าุโของตระกูลอวิ๋นได้ยินผู้เฒ่าเฉียวเล่าเื่ที่เกิดขึ้นกับตระกูลอวิ๋นแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงรู้เื่ทั้งหมด
อวิ๋นเจียหรง พี่ชายรองของผู้เฒ่าอวิ๋นจึงหันไปประสานมือคำนับเ้าหน้าที่สองคน “ท่านเ้าหน้าที่ทั้งสอง หลานชายของพวกข้าเป็ชาวบ้านทั่วไป ทั้งยังมีใบทะเบียนบ้าน หากท่านทั้งสองกลับไปตรวจสอบก็จะรู้ว่าจริงหรือเท็จ”
“พวกข้ากลับไปตรวจสอบ หากพวกเขาหนีไปแล้วเล่า?”
อวิ๋นเจียเฉิง น้องชายคนที่สี่เอ่ยขึ้น “หากท่านเ้าหน้าที่กลัวว่าพวกเขาจะหนีไป เช่นนั้นก็ให้คนหนึ่งอยู่ที่นี่ อีกคนหนึ่งให้พวกข้าขับเกวียนวัวไปส่งที่ศาลาว่าการอำเภอเพื่อตรวจสอบ จะไม่ทำให้ท่านเ้าหน้าที่เสียเวลาแน่นอน หลานสะใภ้ของข้าและพวกเด็กๆ เป็สตรี อีกทั้งยังไม่มีหลักฐานว่าพวกเขากระทำความผิด ท่านเ้าหน้าที่ทั้งสองจับพวกเขากลับไปที่ศาลาว่าการอำเภอก็ดูไม่เหมาะสมนัก”
เ้าหน้าที่ทั้งสองได้ยินดังนั้นก็คิดว่าสมเหตุสมผล เพียงแต่ผู้แจ้งความยืนกรานว่าพวกเขาเป็ทาสที่หลบหนีมา แถมยังยินดีเป็พยาน ที่สำคัญคือตอนนี้พวกเขาหาทางลงไม่ได้! ดังนั้นสายตาของทั้งสองคนจึงมองไปที่คู่สามีภรรยาอวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อที่กำลังเกาอย่างบ้าคลั่ง จนมีรอยเืบนใบหน้าและมือ
อวิ๋นเจียวดึงแขนเสื้อของอวิ๋นฉี่ซาน ส่งสัญญาณให้เขาก้มหน้าลง จากนั้นก็กระซิบข้างหูเขาสองสามคำ อวิ๋นฉี่ซานแอบยิ้มให้นาง ก่อนจะหันไปคำนับเ้าหน้าที่ทั้งสองคนแล้วเอ่ยถามว่า “ขอถามท่านเ้าหน้าที่ทั้งสอง ผู้ที่แจ้งความคือใครหรือขอรับ?”
เ้าหน้าที่ร่างอ้วนชี้ไปที่อวิ๋นโส่วจู่ “ก็เขาไง!”
อวิ๋นเจียวยิ้มเยาะ นางเดาไม่ผิดจริงๆ!
หากไม่ใช่พวกเขาที่แจ้งความ พวกเขาจะมาแอบทำตัวลับๆ ล่อๆ อยู่หลังเนินดินทำไมเล่า? ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้นางเห็นพวกคนที่ยุยงปลุกปั่น ต่างก็มองไปที่อวิ๋นโส่วจู่ที่อยู่หลังเนินดินเป็ระยะๆ พอคิดดูแล้ว คนพวกนั้นน่าจะเป็คนที่อวิ๋นโส่วจู่จ้างมา ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!
อวิ๋นฉี่ซานเอ่ยต่อ “ท่านเ้าหน้าที่ทั้งสองรู้หรือไม่ว่าเขาเป็ท่านอาสี่ของพวกข้า เป็น้องชายแท้ๆ ของท่านพ่อข้า! อีกอย่างสองวันก่อน ท่านอาสี่ไปรีดไถ่เงินคนขับรถม้าในอำเภอ พวกข้าบังเอิญไปเห็นเข้า จึงไปขัดขวางแผนการของเขา ดังนั้นเขาจึงอยากแก้แค้น เลยมาใส่ร้ายครอบครัวของพวกเรา!”
เขารู้ว่าอวิ๋นโส่วจงได้ตกลงกับผู้เฒ่าอวิ๋นแล้ว โดยเอาเงินค่ารถม้าไปหักล้างค่าเลี้ยงดูบิดามารดาหกปี ดังนั้นจึงไม่พูดถึงเื่ที่ขโมยรถม้าขึ้นมาอีก ส่วนเื่หอนางโลม... อวิ๋นฉี่เยว่เตือนเขาตอนก่อนเข้านอนแล้วว่า ห้ามพูดเื่นี้อีก
ทันทีที่อวิ๋นฉี่ซานพูดจบ ทุกคนก็ตกตะลึง มีเื่แบบนี้ด้วยหรือ... เ้าหน้าที่ทั้งสองก็ยิ่งไม่แน่ใจ เพียงแต่พวกเขาเอ่ยปากว่าจะจับคนกลับไปที่ศาลาว่าการอำเภอไปเสียแล้ว ตอนนี้กลับไม่จับคน มันจะดูเหมือนว่าพวกเขาทำเล่นๆ ไม่จริงจังหรือ ยิ่งไปกว่านั้น หากพวกเขาจับคนกลับไปที่ศาลาว่าการอำเภอ ก็เท่ากับว่าพวกเขาก็ได้ทำงานแล้ว
เมื่อมีผู้ต้องสงสัย แน่นอนว่าต้องตรวจสอบ ต่อให้ตรวจสอบแล้วพบว่าอีกฝ่ายเป็ผู้บริสุทธิ์ แต่มีผู้แจ้งความมา และพวกเขาก็ได้ตรวจสอบแล้ว ก็ถือว่าทำงานแล้ว ส่วนเื่ที่สตรีและเด็กๆ จะเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือไม่ นั่นไม่ใช่เื่ที่พวกเขาต้องสนใจอยู่แล้ว เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทั้งสองคนจึงตัดสินใจที่จะจับคนกลับไป
อวิ๋นเจียวเห็นสายตาของพวกเขาเปลี่ยนไป ก็รู้ว่าเื่ราวอาจจะแย่แล้ว จึงแสร้งทำเป็ไม่เข้าใจ ดึงแขนเสื้อฟางซื่อพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวว่า “ท่านแม่ ข้ากลัว ท่านหาคนไปตามพี่ใหญ่ให้กลับมาจากสำนักศึกษาในตำบลได้หรือไม่เ้าคะ? พี่ใหญ่เคยบอกว่าอาจารย์ฉีให้ความสำคัญและปฏิบัติต่อพี่ใหญ่อย่างดีมิใช่หรือเ้าคะ? ท่านอาจารย์ต้องยอมให้พี่ใหญ่ลากลับบ้านแน่ๆ!”
“เจียวเอ๋อร์ไม่ต้องกลัว พี่รองจะปกป้องเ้า!” อวิ๋นฉี่ซานได้ยินดังนั้นก็รีบจับมืออวิ๋นเจียว แสดงออกว่าตนสามารถปกป้องนางได้เช่นเดียวกับพี่ใหญ่
ส่วนฟางซื่อเข้าใจความหมายของอวิ๋นเจียว นางชื่นชมในความเฉลียวฉลาดของบุตรสาว ในขณะเดียวกันก็ร่วมแสดงละครกับนาง ทำสีหน้ากังวลแล้วเอ่ยว่า “แต่ตอนนี้จะให้ใครไปตามพี่ใหญ่ของเ้าเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นอาจารย์ของพี่ชายเ้าเป็บัณฑิตจวี่เหริน ให้ความสำคัญกับกฎระเบียบมากที่สุด คงไม่ยอมให้พี่ใหญ่ของเ้าลากลับบ้านหรอก”
คำพูดของอวิ๋นเจียวบอกใบ้ว่าพี่ชายของนางเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาในตำบล ส่วนคำพูดของฟางซื่อบอกใบ้ว่าฐานะอาจารย์ฉีเป็ถึงบัณฑิตจวี่เหริน แน่นอนว่าทันทีที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายมีคนเรียนอยู่กับฉีจวี่เหริน สีหน้าของเ้าหน้าที่ทั้งสองคนก็เปลี่ยนไป
อย่าว่าแต่บัณฑิตขั้นจวี่เหรินมีสถานะสูงส่งเพียงใดในแคว้นต้าเยี่ย เพียงแค่บอกว่าฉีจวี่เหรินผู้นี้เคยเข้าออกศาลาว่าการอำเภอหลายครั้ง และทุกครั้งท่านนายอำเภอเป็คนออกมาส่งแขกด้วยตัวเอง ก็เห็นได้ชัดว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับท่านนายอำเภอมากเพียงใด
เ้าหน้าที่ทั้งสองคนไม่คิดว่าครอบครัวนี้จะมีคนเรียนอยู่ที่สำนักศึกษา แถมยังเป็ลูกศิษย์ของฉีจวี่เหรินอีกด้วย เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว เดิมทีหลังจากที่ฟางซื่อยืนกรานว่าครอบครัวพวกเขามีใบทะเบียนบ้าน และย้ำให้พวกเขากลับไปตรวจสอบที่ศาลาว่าการอำเภอ พวกเขาก็เริ่มเชื่อบ้างแล้ว พอรู้ว่าครอบครัวนี้ยังมีคนเรียนอยู่ที่สำนักศึกษาด้วย พวกเขาก็ยิ่งเชื่อสนิทใจ
อย่าว่าแต่ทาสที่หลบหนีมา ต่อให้เป็ทาสที่ได้รับอิสรภาพคืนกลายเป็ชาวบ้านธรรมดาแล้ว ภายในสามชั่วอายุคนก็ไม่มีสิทธิ์สอบเคอจวี่ แคว้นต้าเยี่ยมีการแบ่งชนชั้นวรรณะอย่างเข้มงวด ไม่มีทาสคนใดกล้าใช้เอกสารปลอมไปสอบเคอจวี่แน่ หากถูกจับได้ ถือเป็ความผิดร้ายแรงถึงขั้นปะาชีวิตทั้งตระกูล!
เห็นได้ชัดว่าครอบครัวนี้ไม่ใช่ทาสที่หลบหนีมา! แต่เหตุใดถึงไม่บอกแต่แรกว่ามีคนในครอบครัวเป็ศิษย์ของฉีจวี่เหรินเล่า? เื่นี้ทำเอาพวกเขาเดือดร้อนไม่ใช่น้อย! หากเป็ชาวบ้านธรรมดา พวกเขาจะกลั่นแกล้งอย่างไรก็ได้ แต่เื่นี้กลับเกี่ยวข้องกับลูกศิษย์ของฉีจวี่เหริน...
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ไฟโทสะในใจของพวกเขาทั้งสองคนก็พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาเป็คนเ้าเล่ห์ จึงไม่ได้แสดงอาการโกรธออกมาในทันที แต่แสร้งทำเป็ให้ฟางซื่อนำใบทะเบียนบ้านออกมา
ฟางซื่อรีบไปหยิบกล่องไม้จีชื่อ [1] ลายดอกอิ๋งชุนฮวา [2] ขนาดเล็กออกมา นางเปิดกล่องต่อหน้าเ้าหน้าที่ทั้งสองคน หยิบสมุดทะเบียนบ้านที่อยู่ในกล่องออกมายื่นให้พวกเขา
ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ ฟางซื่อไม่กลัวว่าเ้าหน้าที่ทั้งสองคนจะเล่นตุกติก ตราประทับของศาลาว่าการอำเภอทั้งสองคนรู้จักดี แม้พวกเขาจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่ลายมือของเสมียนประจำศาลาว่าการอำเภอพวกเขาก็จำได้ดี
เชิงอรรถ
[1] ไม้จีชื่อ (鸡翅木) เป็ชื่อเรียกของไม้เนื้อแข็งชนิดหนึ่งที่มีลวดลายคล้ายกับปีกไก่
[2] อิ๋งชุนฮวา (迎春花) ดอกวินเทอร์จัสมิน