ตอนนี้ซย่านีมีตั๋วนมผงแล้วเธอจึงซื้อนมผงที่ตนเอง้าได้อย่างราบรื่น หลังจากจัดการเื่อาหารของลูกชายคนเล็กเรียบร้อย เดิมทีซย่านีเตรียมตัวจะกลับบ้านแต่แล้วเธอก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้จึงมุ่งหน้าขี่รถสามล้อไปยังมหาวิทยาลัยปักกิ่งแทน
มหาวิทยาลัยปักกิ่งไม่อนุญาตให้คนเข้าออกไปตามใจชอบแต่คุณลุงยามที่ประตูนั้นเป็คนใจดีมากๆ เขาช่วยโทรไปหาซ่งหานเจียงที่ห้องทดลองให้กับซย่านีด้วย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ซ่งหานเจียงก็รับโทรศัพท์
“สวัสดีครับ?”
เสียงของซ่งหานเจียงดังลอดออกมาจากหูโทรศัพท์ น้ำเสียงนั้นเจือแววทุ้มต่ำและแหบเล็กน้อย ตอนที่เสียงของเขาดังก้องอยู่ข้างหูของซย่านี เธอก็ใจสั่นราวกับถูกไฟช็อตนั่นทำให้เธอต้องดึงหูโทรศัพท์ออกห่างโดยไม่รู้ตัว
ซย่านีกระแอมไอเพื่อปกปิดความรู้สึกไม่เป็ตัวของตัวเองเมื่อครู่นี้ “ฉันเอง ซย่านี”
ซ่งหานเจียงถามปลายสาย “มีเื่อะไรงั้นหรือ?”
ซย่านีเล่าเื่ก่อนหน้านี้ที่เธอไปโรงพยาบาลเพื่อขอซื้อตั๋วนมผงและสุดท้ายก็เจอเข้ากับหยางเหมี่ยนเหวินให้ซ่งหานเจียงฟัง ถึงอย่างไรหยางเหมี่ยนเหวินก็เป็อาจารย์แม่ของเขาจึงไม่ควรปิดบังเื่นี้ไว้แต่ซ่งหานเจียงมักกลับบ้านทุกวันหยุดสุดสัปดาห์เท่านั้น หากเธอรอบอกเขาตอนนั้นทุกอย่างก็คงจะสายไปหน่อย ดังนั้นซย่านีจึงเปลี่ยนเส้นทางมาที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งแทน
ซ่งหานเจียงฟังจบก็นิ่งไปสองสามวินาที “ทำไมเธอถึงไม่ยอมบอกผมเล่า?”
“คุณพูดว่าไงนะ?”
ซ่งหานเจียงกล่าวอีกครั้ง “ก็เื่ที่นมผงของซิงซิงใกล้จะหมดแล้วอย่างไรล่ะ”
ซย่านีพลันเข้าใจขึ้นมาแล้ว “อ่อๆๆ ฉันไม่ได้กลัวว่าจะรบกวนการเรียนของคุณหรอกนะ แค่ฉันมีวิธีหานมผงเองได้ก็เลยไม่อยากรบกวนคุณแล้ว”
ซ่งหานเจียงกล่าว “...ไม่ได้รบกวนหรอก”
ซย่านีตอบ “...อืม”
คนทั้งคู่ไม่มีอะไรจะคุยกันจริงๆ แค่ถือโทรศัพท์ครู่เดียวก็ทำให้ซย่านีอึดอัดมากแล้ว หลังจากผ่านไปสักพักเธอก็กล่าวขึ้นว่า “ฉันไม่มีเื่อื่นแล้วล่ะ แค่อยากมาบอกให้คุณรู้ไว้ก่อน งั้นคุณก็ไปเรียนต่อเถอะนะ”
ทันใดนั้นน้ำเสียงของซ่งหานเจียงก็กลายเป็สลด “อืม”
จากนั้นซย่านีก็รีบวางโทรศัพท์ เธอกล่าวขอบคุณลุงยามที่ป้อมแล้วรีบพาลูกชายคนเล็กกลับบ้าน
เธอยังมีงานต้องทำที่บ้านอีก การค้าของเธอไม่อาจล่าช้าได้
่ไม่กี่วันที่ผ่านมาซย่านีและเซี่ยงเหมยทำการค้าร่วมกัน การไปขายของตามมหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ของกรุงปักกิ่งทำให้กระเป๋าเงินของพวกเธออัดแน่นไปด้วยเม็ดเงินจำนวนมาก
ว่ากันว่าคนเราน่ะหัวใจจะอิ่มเอิบและมีชีวิตชีวาได้ก็ตอนที่เรามีความสุขมากๆ ซย่านีรู้สึกว่าตนเองมีชีวิตชีวามากกว่าตอนที่เพิ่งมาเมืองหลวงครั้งแรกเสียอีก แน่นอนว่าอาจเป็เพราะ่นี้เธอเพิ่งได้กินอะไรดีๆ กับเขาบ้าง ใบหน้าจึงมีน้ำมีนวลขึ้นมาทำให้ตอนนี้หน้าของเธอดูน่ากลัวน้อยลงแล้ว
สิ่งที่น่ายินดียิ่งกว่าก็คือในที่สุดเฝิงหย่งก็ได้ข่าวคราวเื่บ้านตามความชอบของซย่านีแล้ว
สัปดาห์นี้เฝิงหย่งกล่าวว่า “ฉันหาบ้านได้สามหลัง วันนี้เธออยากลองไปดูหน่อยไหม?”
ซย่านีรีบตอบทันที “ได้เลยค่ะ” เธออาศัยอยู่ที่บ้านสามีมานานพอแล้ว จะดีกว่าหากเธอได้ย้ายออกจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด
เฝิงหย่งถามต่อ “แล้วการค้าของพวกเธอล่ะ จะทำอย่างไรเล่า?”
เซี่ยงเหมยชิงพูดตัดหน้าซย่านี “ฉันจะไปขายเอง”
เฝิงหย่งกังวลเล็กน้อย “เธอ...จะไปคนเดียวน่ะหรือ?” ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกภรรยาของตนเองหรอกนะ แต่ภรรยาของเขาเป็คนเช่นไรเขาย่อมรู้ดีที่สุด เธอไม่ใช่คนมีหัวการค้าจริงๆ
เซี่ยงเหมยกลอกตามองเฝิงหย่ง “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ!” ตอนแรกเธอก็ไม่กล้าออกไปขายของคนเดียวจริงๆ นั่นแหละ แต่หลังจากที่เธอออกไปขายของกับซย่านีมาสองวันก็เริ่มมีประสบการณ์บ้างแล้ว เธอคิดว่าตนเองทำได้
“พวกเธอวางใจเถอะ ไม่ใช่ว่าฉันจะออกไปขายครั้งแรกเสียหน่อย ไม่มีปัญหาแน่นอน” เซี่ยงเหมยกล่าวเหมือนกับมีภาพต้นไผ่อยู่ในใจ [1]
ซย่านีตอบ “ได้ เช่นนั้นก็มอบหน้าที่ให้พี่สะใภ้เซี่ยงเหมยก็แล้วกันค่ะ วันนี้พี่ออกไปขายของด้วยตัวเองเป็ครั้งแรก งั้นก็เอาของไปน้อยหน่อยนะคะ พอขายเสร็จก็รีบกลับ แน่นอนว่าหากขายไม่หมดก็ไม่เป็ไรค่ะ ตอนนี้พวกเราทำเงินได้มากแล้ว ไม่ขาดเงินหรอก”
เซี่ยงเหมยรับคำ “เธอวางใจได้เลย”
จากนั้นซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่ก็อยู่ทำการบ้านที่บ้านและถือโอกาสนี้ช่วยซย่านีดูแลน้องชายคนเล็ก ส่วนซย่านีก็ตามเฝิงหย่งไปดูบ้าน ทางด้านเซี่ยงเหมยก็ขี่รถสามล้อไปตั้งแผงขายของ พวกเขาเดินไปคนละทางจึงแยกกันตรงทางเข้าซอย
เดิมทีซ่งวั่งซูกับซ่งตงซวี่อยากตามซย่านีไปดูบ้านด้วยแต่ถูกซย่านีปฏิเสธ เพราะพวกเขายังทำการบ้านกันไม่เสร็จ
ซย่านีกล่าวกับลูก “พวกลูกวางใจเถอะ แม่จะต้องเลือกบ้านที่ลูกๆ ถูกใจกันอย่างแน่นอน พวกลูกช่วยแม่ดูแลซิงซิงให้ดีเดี๋ยวแม่กลับมาแล้วจะเอาของอร่อยๆ มาฝากนะ”
ซย่านีปลอบเด็กทั้งสอง
“เ้าเด็กสามคนนี้แต่ละคนช่างเชื่อฟังจริงๆ” เฝิงหย่งหัวเราะร่า เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจือแววอิจฉา
ซย่านีส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ “อันที่จริงลูกแต่ละคนของฉันน่ะ ช่างทำให้คนเป็แม่คอยเป็ห่วงเสียมากกว่า” พอซย่านีคิดถึงจุดจบของลูกทั้งสามคนในชาติที่แล้ว ซย่านีก็คิดว่าตนเองยังมีเส้นทางอีกยาวไกล เธอมองเห็นสีหน้าของเฝิงหย่งจากทางหางตาแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกล่าว “วางใจเถอะค่ะ วันหน้าพี่เฝิงหย่งจะต้องมีลูกที่ว่านอนสอนง่ายอย่างแน่นอน”
เฝิงหย่างยิ้มพลางส่ายหน้า “จะดื้อหน่อยก็ไม่เป็ไรหรอก...เฮ้อ ทางนี้เลย” เฝิงหย่งนำทางซย่านีเข้าซอยหนึ่งแล้วกล่าวต่อว่า “เพื่อนที่ทำงานของฉันเป็คนแนะนำบ้านหลังนี้ให้เอง ที่นี่มีลานโถงใหญ่[2] ด้านในมีผู้อยู่อาศัยหลายครอบครัวเลยคึกคักยิ่งนัก แม้ว่าจะไม่ใช่บ้านเดี่ยวแต่ข้อดีคือมีห้องน้ำเป็ของตนเอง ต่อไปพวกเธอจะได้เข้าห้องน้ำกันอย่างสะดวกมากขึ้น”
ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตู ซย่านีก็ได้ยินเสียงเด็กๆ พากันหัวเราะบ้างพูดคุยบ้างดังสะท้อนออกมาจากในลานบ้าน เคล้ากับเสียงพูดคุยกันของเหล่าสหายหญิง
อันที่จริงพอซย่านีได้ยินว่าไม่ใช่บ้านเดี่ยวเธอก็รู้สึกผิดหวังขึ้นมา ในอนาคต เธอจะต้องทำการค้าอื่นๆ ต่ออย่างแน่นอน ธุรกิจยางรัดผมนี้เธออาจจะไม่ได้ทำต่อ แต่ก็อาจจะหาธุรกิจอื่นทำแทน ดังนั้นการอยู่บ้านเดี่ยวมันเอื้อต่อความลับทางธุรกิจของเธออีกด้วย
ยังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูไป เธอก็หยุดฝีเท้าลงแล้วส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ยังมีบ้านหลังอื่นอีกไหมคะ?”
เฝิงหย่งเองก็หยุดฝีเท้าลงเช่นกัน เขาหันหน้ามาพูดกับซย่านี “มีอยู่ๆ ฉันไปถามเื่บ้านมาให้เธอหลายที่เลยล่ะ แต่ว่า...” เขายิ้มอย่างกระดากอาย “หากเอาตามความ้าของเธอทั้งหมดก็หายากมากเลย โดยปกติแล้วเรือนหลายหลังที่อยู่ในบ้านหลังเดียวกันมันจะมีคนอาศัยอยู่ก่อนแล้ว การใช้ชีวิตต้องค่อนข้างคับแคบเท่านั้นถึงคิดจะย้ายออกมาเช่าบ้านอยู่เอง ดังนั้นบ้านเดี่ยวจึงมีให้เห็นน้อยมาก ฉันเองก็เคยได้ยินว่าแถวนี้มีอยู่แค่สองหลังเท่านั้น”
ซย่านีตัดสินใจ “เช่นนั้นก็ไปดูสองหลังที่ว่ากันเถอะค่ะ”
เฝิงหย่งพยักหน้ารับ “ได้ งั้นเธอตามฉันมาเลย”
ที่นี่มีเรือนสี่ประสานตั้งอยู่หลายหลังตรอกซอยค่อนข้างคับแคบ เฝิงหย่งพาซย่านีเดินลัดเลาะไปตามซอยเล็กๆ พวกเขาเดินมาไกลมาก ในที่สุดก็มาถึงหน้าประตูสีแดงชาดแห่งหนึ่ง
บ้านหลังนี้ปลูกต้นหลิวไว้หน้าบ้านสองต้นซึ่งต้นใหญ่เกือบเท่าเด็กสองคนโอบ ไม่รู้ว่ามันต้องผ่านลมผ่านฝนมากี่ร้อยปีถึงโตได้เช่นนี้
และเรือนที่สามารถปลูกต้นหลิวสองต้นไว้หน้าประตูบ้านได้เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่บ้านคนธรรมดา
เป็ดังที่คาดไว้เฝิงหย่งกล่าวกับซย่านี “ว่ากันว่าเรือนหลังนี้เคยเป็ที่อยู่ของบัณฑิตมาก่อน”
ซย่านีอุทาน “โอ้”
เฝิงหย่งหยิบกุญแจออกมาไขกลอนประตูจากนั้นก็ผลักบานประตูให้เปิดออก เดิมทีเธอคิดว่าสิ่งที่จะปรากฏสู่สายตาจะต้องเป็ลานบ้านเล็กๆ ที่ดูเรียบง่ายแต่ก็สวยงาม ทว่ามันกลับเหนือความคาดหมายไปมาก คาดไม่ถึงว่าด้านในเรือนจะรกร้างและเต็มไปด้วยวัชพืช
เครื่องเรือนขาหักที่พังไปแล้วถูกวางเกลื่อนกลาดอยู่หลายจุด พื้นที่เดิมทีเคยเรียบเสมอกันตอนนี้กลับเต็มไปด้วยหลุมบ่อ กลางลานบ้านมีสระน้ำสร้างเองอยู่บ่อหนึ่งบนผนังมีรอยเปื้อนอยู่เต็มไปหมด กรอบหน้าต่างเป็สีแดงชาดมีรอยด่างสีแดงสลับสีขาวดูคล้ายกับไม่ได้รับการดูแลรักษามาหลายปี
[1] มีภาพต้นไผ่อยู่ในใจ 胸有成竹 คือ สุภาษิตหมายถึงก่อนจะกระทำการสิ่งใด สิ่งที่สำคัญคือการเตรียมความมั่นใจและวางแผนอย่างรอบคอบไว้ก่อน แล้วจึงจะประสบผลสำเร็จ
[2] ลานโถงใหญ่ 大杂院 คือ โถงบ้านขนาดใหญ่ที่มีคนอยู่รวมกันหลายครอบครัว
