ซ่งอี้เฉินขมวดคิ้วฟังไทเฮาพูดต่อไป “สตรีทั้งสองคนที่องค์หญิงใหญ่ส่งมาให้ หากกำจัดได้ก็กำจัด หากกำจัดไม่ได้ก็ปล่อยพวกนางไว้ที่นั่น ไม่รู้ว่านางไปหาสตรีอย่างว่ามาจากที่ใด เพียงฝึกพวกนางให้เป็นางจิ้งจอกหว่านเสน่ห์ล่อลวงบุรุษ ไม่รู้ว่านางสุขภาพเป็เช่นไร แม้พระมารดาขององค์ชายในอนาคตจะมิได้มาจากตระกูลที่มีชื่อเสียง ทว่าก็ไม่อาจมาจากหญิงสกปรกชั้นต่ำและสายเืที่ไม่ดีพวกนั้นได้”
ซ่งอี้เฉินพยายามปฏิเสธ “เสด็จแม่ นี่เพียงแค่คัดเลือกซิ่วหนี่ว์เท่านั้น หากคิดจะเลือกอีกครั้ง เกรงว่าจะทำให้ประชาชนไม่พอใจ”
ไทเฮาพยักหน้าตรัสว่า “อายเจียเองก็คิดถึงประเด็นนี้เช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ปล่อยให้คนสนิทไปจัดการ ทว่าก็ไม่อาจให้เกิดข้อผิดพลาดในเื่องค์ชายได้เช่นกัน วันก่อนที่งานเลี้ยงร้อยบุปผา อายเจียได้เลือกสตรีที่ดีจากตระกูลใหญ่เหมาะจะพาตัวเข้าวังหลวง”
เป็จริงดังคาดแล้วก็มาจริงๆ
ซ่งอี้เฉินก้มศีรษะลงและเก็บความคิดของเขาไว้ในเงามืด
ไทเฮาเห็นว่าองค์หญิงใหญ่ส่งสตรีให้เขา ทั้งยังเห็นเขาอยู่กับอู๋เจาหรงตลอดทั้งวันทั้งคืน นางจึงไม่พอใจอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าสตรีจากตระกูลใดที่ต้องทนทุกข์ทรมานอีก
ขณะที่ไทเฮากำลังจะกล่าวต่อ จู่ๆ กลับมีเสียงดังมาจากนอกประตู ขันทีรีบเข้ามาทูลว่าเป็เหยียนเฉิงเซี่ยงขอเข้าเฝ้า นางยังไม่ทันตรัสสิ่งใด เหยียนเฉิงเซี่ยงก็ก้าวมาอยู่ตรงหน้าแล้ว และเอ่ยว่า “ท่านพี่......” เมื่อเห็นซ่งอี้เฉิน เขาถึงกับแสดงสีหน้าตกตะลึงครู่หนึ่ง
ไทเฮารีบตรัสขึ้นว่า “มีเื่อันใดจึงต้องรีบร้อนเพียงนี้ ไม่เห็นหรือว่าอายเจียกำลังพูดคุยกับฮ่องเต้อยู่!”
เหยียนเฉิงเซี่ยงตอบ “พ่ะย่ะค่ะ” ก่อนจะไปยืนอยู่ด้านข้าง ในเวลานี้เขาหาได้มีความสง่างามเหมือนยามที่อยู่ในราชสำนักไม่ เวลานี้เขาเป็เพียงน้องชายในครอบครัวทั่วไปที่กำลังถูกพี่สาวคนโตสั่งสอน
แววตาของซ่งอี้เฉินเผยให้เห็นร่องรอยการดูถูก องค์หญิงใหญ่พูดถูกเื่หนึ่ง ไม่ว่าปีนขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงเพียงใดก็ไม่อาจกลายเป็หงส์ได้
เมื่อไทเฮาเห็นว่าเหยียนเฉิงเซี่ยงลังเลที่จะพูด นางจึงหันไปทางซ่งอี้เฉินพลางตรัสว่า “เื่แต่งตั้งคน อายเจียได้สั่งการไปแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะเข้าวังหลวง นี่ก็ดึกมากแล้ว ฮ่องเต้กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
ซ่งอี้เฉินโค้งคำนับแล้วออกจากตำหนักไป อย่างไรก็ตามเขายังคงอยู่ด้านนอกเดินไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้ามาจากเรือนด้านข้างเพื่อซ่อนตัวและแอบฟังอยู่เงียบๆ
เหยียนเฉิงเซี่ยงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ตื่นเต้นใอย่างยิ่ง “วันก่อนขณะที่ข้าดูแลฮูหยินและบุตรสาวนั้น มีมือสังหารลอบเข้าไปที่จวนเฉิงเซี่ยง”
ไทเฮาตรัสอย่างร้อนใจว่า “มีมือสังหาร มีมือสังหาร เ้าลนลานทำอันใด? เ้าไม่อยู่ในจวนอีก หรือยังกลัวว่าจะถูกลอบสังหารหรือ?”
“ท่านพี่ ข้ากลับไปก็รู้สึกว่าคงจะมิได้เกิดเื่อันใด ทว่าวันนี้ข้าไปห้องหนังสือ จึงได้รู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ”
“เล่าทุกอย่างมาให้หมด”
“มีคนแอบเข้าไปในห้องลับที่อยู่ในห้องหนังสือเพื่อขโมยหนังสือพันธสัญญาทำลายตระกูลอวิ๋น”
ไทเฮาตกตะลึง นางถึงกับลุกขึ้นยืนตัวตรงพร้อมตรัสถามว่า “มันถูกขโมยไปได้หรือไม่?”
“มิได้ถูกขโมยไป หนังสือสัญญาหล่นบนพื้น คาดว่าพวกเราพบตัวได้ทันเวลาและมือสังหารไม่ทันที่จะเอามันออกไป”
“ผู้ใดกำลัง้าหาหนังสือสัญญานั้น?” ไทเฮาครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงถามว่า “มีองครักษ์เกราะดำเฝ้าอยู่มิใช่หรือ? มีองครักษ์เกราะดำตระกูลอวิ๋นแล้วยังปล่อยให้มือสังหารลอบเข้าไปได้อีกหรือ?”
“มือสังหารใช้เล่ห์เหลี่ยมหลบหลีกการสอดแนมขององครักษ์เกราะดำได้ ราวกับว่าคุ้นเคยกับองครักษ์เกราะดำเป็อย่างดี ได้ยินจากองครักษ์เกราะดำที่ต่อสู้กับเขาว่า กระบวนท่านั้นดูเหมือนจะเป็วิชาการต่อสู้ของตระกูลอวิ๋น”
“เป็กระบวนท่าการต่อสู้ของตระกูลอวิ๋น!” ไทเฮาลุกขึ้นยืนทันที “หรือว่าตระกูลอวิ๋นยังมีคนรอดชีวิต?”
“ทุกคนในตระกูลอวิ๋นถูกสังหารจนสิ้นแล้ว อวิ๋นอู๋เหยียนก็ถูกฮ่องเต้สังหารจนตาย สารเลวนั่นที่เหลือเพียงคนเดียวก็พิการทั้งมือและเท้า”
“ตอนนั้นฉีตงหยวนอยู่ที่ใด?”
“อยู่กับนางรำในเรือนโกวหลาน” เหยียนเฉิงเซี่ยงกล่าวอย่างเหยียดหยามว่า “ฉีตงหยวนถูกพวกเราทำร้ายได้รับาเ็ ยามนี้กลายเป็คนพิการ มือขวาพอจะยกกระบี่ได้ ทว่าก็เพียงเพื่อแสดงเท่านั้น ไม่สามารถทำอันใด”
“กัวจื่อถูเล่า?” ไทเฮาเริ่มรู้สึกคล้ายตนเองสูญเสียการควบคุม น้ำเสียงจึงอ่อนลงเล็กน้อย “คืนนั้นกัวจื่อถู อยู่ที่ใด?”
“กัวจื่อถูอยู่ในจวน เขายิงธนูไปที่ไหล่ของมือสังหาร และช่วยชีวิตคนไว้หลายคน ทว่าขณะที่คนร้ายกำลังจะถูกจับได้ กลับมีคนเข้ามาช่วยเหลือไป!” เหยียนเฉิงเซี่ยงกล่าวพร้อมปาดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ ท่านว่าตระกูลอวิ๋นยังมีคนรอดชีวิตอยู่หรือไม่?”
ไทเฮาสีหน้าเคร่งขรึม นางยกปลอกนิ้วยาวของตนฟาดไปที่โต๊ะไม้ นางแผดเสียงที่เต็มไปด้วยไอสังหาร “ตรวจสอบ ตระกูลอวิ๋นยังมีผู้ที่เหลือรอดอยู่หรือไม่ จะต้องกำจัดให้สิ้นซาก ไปสืบมาและไปที่คุกหลวงยืนยันกับเ้าสารเลวนั่น ในเมื่อมีผู้ที่กำลังตามหาหนังสือพันธสัญญา เช่นนั้นจะต้องได้ข่าวเกี่ยวกับเ้านั่นด้วยเป็แน่ เราจำเป็ต้องล่อพวกมันออกมา และกำจัดทิ้งทั้งหมด”
“เื่นี้ข้ารู้อยู่แล้ว!” เหยียนเฉิงเซี่ยงตอบกลับทันที
ไทเฮาเหลือบมองเขาพลางตรัสอย่างไม่พอใจว่า “ในเมื่อเป็เช่นนี้ เ้ายังตื่นตระหนกอันใดอีก?”
“ข้า...…” เหยียนเฉิงเซี่ยงพูดไม่ออกไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อทราบข่าว เขาก็ตื่นใโดยไม่ทราบสาเหตุ และรีบมาเข้าเฝ้าไทเฮาทันที ทว่าหลังจากบอกเล่าเื่ราวทั้งหมดแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงรู้สึกกังวลใจ กลัวว่าตระกูลอวิ๋นในยามนั้นจะยังมีคนรอดชีวิต
“เ้าอย่าลืมว่า เ้าเป็เฉิงเซี่ยงของแคว้นนี้” ไทเฮาถอนหายใจพลางตรัสว่า “เื่นี้จะจัดการอย่างไร?”
“ฮูหยินพยายามโน้มน้าวนางแล้ว” เหยียนเฉิงเซี่ยงตอบอย่างเร่งรีบ
ไทเฮามองเขาอย่างไม่พอใจ “ยังต้องโน้มน้าวอันใดอีก หากไม่ยอมก็ฆ่าทิ้ง เปลี่ยนคนใหม่”
“ขอรับ ท่านพี่!”
ซ่งอี้เฉินไม่สนใจเื่ที่เกิดขึ้นต่อไป เขาหันหลังเดินออกจากตำหนักอี้คุน
มีคนรู้ความลับของห้องหนังสือไม่มาก ขณะที่เหยียนเฉิงเซี่ยงหลุดปากออกไปนั้น อวิ๋นอู๋เหยียนมิได้อยู่ในเหตุการณ์ หลังจากเขายับยั้งไม่ให้เหยียนเฉิงเซี่ยงพูดแล้ว นางจึงปรากฏตัวขึ้น
หรือว่า......ตอนนั้นนางได้ยินเื่นี้แล้ว?
เมื่อได้ยินสิ่งที่เหยียนเฉิงเซี่ยงเอ่ย เขาก็รู้สึกแปลกอยู่ในใจ และอดนึกถึงเหยียนอู๋อวี้มิได้
ดวงตาเปล่งประกายราวกับดวงดาราคู่นั้น และยังมีความรู้สึกราวกับเคยรู้จักกันมานาน ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้เขาสงสัยมากยิ่งขึ้น
หน้าตาไม่เหมือนกันนั้นไม่สำคัญ เพราะในโลกนี้มีสิ่งหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าการแปลงโฉม
การไม่มีรอยแผลเป็ที่หน้าอกก็มิได้หมายความว่าไม่ใช่นางเสมอไป ยาจิน่โอสถชั้นเลิศที่ใช้เวลาปรุงยากว่าสามปี ก็สามารถลบรอยแผลเป็ได้เช่นกัน
ทว่าาแเพียงไม่กี่วันนั้นแตกต่างออกไป เหยียนเฉิงเซี่ยงกล่าวว่า กัวจื่อถูยิงธนูไปที่ไหล่ของมือสังหารผู้นั้น อาการาเ็สาหัสถึงเพียงนั้นไม่น่าจะหายเร็วเช่นนี้
เมื่อคิดถึงเื่นี้แล้ว เขาจึงเปลี่ยนทิศทางทันที เว่ยหรูไห่รีบเอ่ยถาม “ฝ่าาจะเสด็จไป......”
“ได้ยินว่าไม่กี่วันมานี้เหยียนฉายเหรินไม่สบาย ข้าจะไปเยี่ยมนางสักหน่อย”
……
เหยียนอู๋อวี้ไม่คิดว่าซ่งอี้เฉินจะมาเยี่ยมอย่างกะทันหัน นางยังคงนอนอยู่บนเตียงด้วยสภาพจิตใจที่อ่อนแอ ทว่ากลับต้องลุกขึ้นทันที ในขณะที่ซ่งอี้เฉินเข้ามาในห้อง เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวของนางที่ไร้เครื่องประทินโฉม เขาจึงหยุดชะงักไป ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าทันทีเพื่อประคองตัวนางพลางตรัสเสียงเบาว่า “อวี้เอ๋อร์ไม่สบาย เหตุใดจึงไม่บอกเจิ้น?”
เหยียนอู๋อวี้เหลือบมองเขาด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจพร้อมหันหลังกลับ นางทูลตอบอย่างเบื่อหน่ายว่า “หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ หม่อมฉันเกรงว่าฝ่าาเห็นใบหน้าเศร้าหมองแล้วจะทำให้ฝ่าาทรงไม่สบายพระทัย และจะส่งผลเสียต่อการดำรงชีวิตของผู้คนในแผ่นดินได้เพคะ”
ซ่งอี้เฉินเริ่มใจอ่อน รอยยิ้มบนใบหน้าพลันสดใสขึ้นเล็กน้อย เขายกมือขึ้นััใบหน้านาง ก่อนจะลอบมองคราหนึ่งและเห็นว่าไม่มีร่องรอยของแป้งทาหน้า จากนั้นจึงแตะใบหูนางอีกครั้งแล้วเลื่อนเบาๆ ด้วยใบหน้าที่เรียบเฉยพลางตรัสว่า “คล้ายอวี้เอ๋อร์ยังคงโกรธกับสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเลี้ยงร้อยบุปผา?”
“หม่อมฉันมิบังอาจเพคะ หม่อมฉันเป็เพียงบุตรสาวเ้าเมือง ไม่มีบิดาที่เป็ขุนนางขั้นหนึ่ง” เหยียนอู๋อวี้สังเกตเห็นท่าทีของเขา และไม่รู้ว่าเขามีเจตนาอันใด อีกทั้งยังมีลางสังหรณ์ที่ไม่ชัดเจน นางจึงหันหน้าแล้วปล่อยให้เขาััจนพอใจ
ไม่พบหน้ากากหนังมนุษย์ ความสงสัยของซ่งอี้เฉินเริ่มลดลง เขาหัวเราะเสียงเบา “ในใจของข้า อวี้เอ๋อร์ดีกว่าทุกคน”
“เหตุใดฝ่าาไม่มาหาหม่อมฉันเพคะ? หม่อมฉันนับวันรออยู่นะเพคะ!” เหยียนอู๋อวี้เริ่มแสดงตัวว่าเป็สนมคนโปรด
“วันนี้มาหาแล้วมิใช่หรือ? มาแล้วย่อมไม่ไปไหน” ซ่งอี้เฉินเหยียดแขนออกเพื่อกอดนางและค่อยๆ วางนางลงบนเตียงด้วยแววตาอ่อนโยน
ซ่งอี้เฉินเปลี่ยนตำแหน่งและกดไหล่ของนางโดยมิได้ตั้งใจ จากนั้นพลันได้ยินเหยียนอู๋อวี้เอ่ยเสียงออดอ้อนว่า “ฝ่าา พระองค์ทำหม่อมฉันเจ็บเพคะ”