เ้าหน้าที่ร่างอ้วนคืนทะเบียนบ้านให้กับฟางซื่อ และยืนยันต่อหน้าทุกคนว่าครอบครัวของฟางซื่อไม่ใช่ทาสหลบหนี รวมถึงทุกคนในครอบครัวไม่มีประวัติเป็ทาส
จากนั้นเขากับเ้าหน้าที่ร่างผอมก็เดินตรงไปหาอวิ๋นโส่วจู่ที่กำลังเกาตัวอย่างเมามัน โดยไม่สนใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขามัดอวิ๋นโส่วจู่ด้วยเชือกโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ก่อนหน้านี้ อวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อมัวแต่เกาตัว จึงไม่ได้สนใจการสนทนาระหว่างฟางซื่อกับเ้าหน้าที่ร่างอ้วน ไม่รู้ว่าหลังจากที่อวิ๋นเจียวกับฟางซื่อบอกว่าอวิ๋นฉี่เยว่เป็ศิษย์ของฉีจวี่เหรินแล้ว ท่าทีของเ้าหน้าที่ร่างอ้วนก็เปลี่ยนไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฟางซื่อหยิบเอาทะเบียนบ้านออกมา!
“ท่านเ้าหน้าที่ ท่านมัดผิดคนแล้วขอรับ ต้องมัดพวกนาง!” อวิ๋นโส่วจู่รีบเอ่ยขึ้น ตอนนี้เขาทั้งคันและร้อนใจ เสียงแหลมเล็กของเขาทำให้ทุกคนต้องเอามือปิดหู
“ใช่ๆ ท่านเ้าหน้าที่ พวกนางเป็ทาสหลบหนีเ้าค่ะ ท่านวางใจเถิด จับพวกนางไปเลย พอสามีกับลูกชายคนโตของพวกนางกลับมา พวกข้าจะช่วยท่านจับตาดูพวกเขาไว้”
หลิ่วซื่อบิดตัวไปมาด้วยความทรมาน อาการคันทำให้นางอดไม่ได้ที่จะเกาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่นางบิดตัวไปมา เนื้อขาวๆ บริเวณเอวก็โผล่ออกมา ดึงดูดสายตาของชายว่างงานในหมู่บ้านต่างจ้องมองกันเป็ตาเดียว
สะใภ้น้อยใหญ่ และหญิงสาวที่ยังไม่ได้ออกเรือนในหมู่บ้าน บ้างก็อายจนเอามือปิดตา บ้างก็หัวเราะเยาะ
ถึงกับมีบางคนที่ใจกล้าบ้าบิ่นก็ะโแซวว่า “หลิ่วซื่อ หากเ้าคันมาก ก็มาให้พวกเราเกาให้สิ คนเดียวไม่พอ เรามาสองคน สองคนไม่พอ พวกเรามากันทั้งกลุ่ม ฮ่าๆๆ...”
ผู้าุโตระกูลอวิ๋นต่างส่ายหัว อวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อทำให้วงศ์ตระกูลอวิ๋นต้องอับอายขายขี้หน้าคนโดยแท้!
‘เพียะ...’ ‘เพียะ...’ เ้าหน้าที่ร่างอ้วนกับเ้าหน้าที่ร่างผอมตบหน้าอวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อคนละฉาด จนทั้งสองคนมึนงง
“บัดซบ! พวกเขามีทะเบียนบ้าน ไม่ใช่ทาสหลบหนีเสียหน่อย!”
เ้าหน้าที่ร่างผอมพูดต่อจากเ้าหน้าที่ร่างอ้วน “ไม่เพียงแต่จะไม่ใช่ทาสหลบหนี พวกเขายังไม่มีประวัติเป็ทาสด้วย!”
“เ้ากับอวิ๋นโส่วจงเป็พี่น้องกันมิใช่หรือ? ห๊ะ? พวกเ้าสองคนกำลังเล่นตลกกับพวกข้าอยู่หรือไง? ใส่ร้ายป้ายสี แถมยังขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ ต้องลงโทษหนักขึ้นเป็สองเท่า!”
“ไปกันเถอะ คร้านจะพูดกับพวกมันให้มากความแล้ว พากลับไปที่ศาลาว่าการอำเภอก่อนแล้วค่อยว่ากัน” เ้าหน้าที่ร่างอ้วนมัดทั้งสองคนอย่างแ่า
ตอนนี้ทั้งสองคนทั้งคัน และถูกมัดจนขยับไม่ได้ ทรมานจนแทบขาดใจ ยิ่งไปกว่านั้นคำพูดของเ้าหน้าที่ร่างอ้วนราวกับน้ำเย็นที่สาดลงมาบนตัวพวกเขาจนเย็นะเืั้แ่หัวจรดเท้า
อวิ๋นโส่วจู่มองฟางซื่อและคนอื่นๆ ด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เขาส่ายหัวแล้วะโว่า “เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้ อวิ๋นโส่วจงขายตัวเองเป็ทาสตอนอายุสิบสามปี ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านต่างก็รู้ดี!”
“ใช่ๆ ท่านเ้าหน้าที่ ทะเบียนบ้านของพวกเขาต้องเป็ของปลอมแน่ๆ พวกท่านโดนพวกเขาหลอกแล้ว!”
เมื่อทั้งสองเห็นว่าเ้าหน้าที่ทางการไม่เชื่อ อวิ๋นโส่วหลี่จึงรีบหันไปขอความช่วยเหลือจากผู้าุโตระกูลอวิ๋น “ท่านลุงและท่านอาทั้งหลาย ช่วยเป็พยานให้ข้าด้วยขอรับ ตอนนั้นอวิ๋นโส่วจงขายตัวเองเป็ทาสตอนอายุสิบสามปี”
“เพื่อให้ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องขายอวิ๋นฮวาเอ๋อร์เพื่อแลกกับข้าวสาร เื่นี้พวกท่านก็รู้กันดีมิใช่หรือขอรับ? ตอนนั้นเขายังถูกขับออกจากตระกูลเพราะเื่นี้เลย”
เมื่อได้ยินดังนั้น เ้าหน้าที่ทั้งสองคนและชาวบ้านต่างก็หันไปมองบรรดาผู้าุโ อวิ๋นเจียหรงประสานมือคำนับพวกเ้าหน้าที่ “ท่านเ้าหน้าที่ทั้งสอง ตอนนั้นโส่วจงออกจากบ้านไปตอนอายุสิบสามปีจริง ตอนที่เขาจากไปก็ถูกขับออกจากตระกูลจริง”
“แต่เื่ที่เขาถูกขับออกจากตระกูลนั้น เป็ข้อเสนอของพ่อแม่เขา หาได้เกี่ยวข้องกับการขายตัวเป็ทาส ยิ่งไปกว่านั้นท่านเ้าหน้าที่ทั้งสองก็ตรวจสอบความถูกต้องของทะเบียนบ้านที่ฟางซื่อนำมาแล้ว พวกเ้าหยุดพูดจาเหลวไหลกันเสียที!”
“ถ้าหากพวกเขาหนีไปล่ะ?” อวิ๋นโส่วจู่ะโโหยงๆ
เ้าหน้าที่ทั้งสองขมวดคิ้ว ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีเหตุผล แต่ทะเบียนบ้านของครอบครัวพวกเขานั้นถูกต้องจริงๆ ถ้าเช่นนั้น...
“เ้าสี่ พวกเ้าสองคนหยุดได้แล้ว โส่วจงเป็พี่รองของพวกเ้า น้องชายที่ไหนอยากให้พี่ชายตัวเองต้องเดือดร้อนกัน?”
ทันใดนั้น ผู้คนก็หลีกทางให้จางต้าไห่ ผู้ใหญ่บ้านรีบเดินเข้ามา และคำนับเ้าหน้าที่ทั้งสองคน
ผู้ใหญ่บ้านคอยช่วยเหลือดูแลหมู่บ้าน จึงต้องไปติดต่อราชการที่ศาลาว่าการอำเภอบ่อยๆ และเคยพบกับพวกเ้าหน้าที่ทั้งสองมาก่อน ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนจึงรู้จักจางต้าไห่
เช้าวันนี้เขาออกไปทำธุระ พอกลับมาถึงหมู่บ้านก็ได้ยินข่าวลือว่ามีคนแจ้งความว่าอวิ๋นโส่วจงและครอบครัวเป็ทาสหลบหนี เขาจึงรีบรุดมาที่นี่ทันที
“สะใภ้โส่วจง ลำบากพวกเ้าแล้ว” คำพูดของผู้ใหญ่บ้านเป็การยืนยันว่า อวิ๋นโส่วจงและครอบครัวไม่ใช่ทาสหลบหนี
จะต้องรู้ว่าแจ้งย้ายทะเบียนบ้าน ต้องผ่านการตรวจสอบจากผู้ใหญ่บ้านก่อน เพราะจริงๆ แล้วคนที่ช่วยเหลืองานของศาลาว่าการอำเภอในการบริหารจัดการหมู่บ้านก็คือผู้ใหญ่บ้าน
จากนั้นจางต้าไห่ก็หันไปพูดกับเ้าหน้าที่ทั้งสองคน “ทะเบียนบ้านของพวกเขา ข้าพาเ้าบ้านของพวกเขาไปดำเนินการที่ศาลาว่าการอำเภอด้วยตัวเอง”
“ตอนนั้นข้ารู้เื่ที่อวิ๋นโส่วจงออกจากบ้านไปตอนอายุสิบสามปี เขาไม่ได้ขายตัวเองเป็ทาส เพียงแต่ถูกอาจารย์ของเขาดูตัว แล้วพาเขาออกเดินทางท่องยุทธภพ”
“ตอนนั้นข้าก็รู้เื่ที่เขาถูกขับออกจากตระกูล นั่นก็เป็คำขอของอาจารย์เขาเช่นกัน หากโส่วจงไม่ยอมออกจากตระกูล อาจารย์เขาก็จะไม่ยอมพาโส่วจงไป และไม่ยอมให้ข้าวสารแก่ตระกูลอวิ๋น”
“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือตอนนั้นโส่วจงถูกอาจารย์เขาแลกตัวไปด้วยข้าวสาร แต่ไม่ได้ขายตัวเองเป็ทาส”
“เป็ไปไม่ได้ ท่านผู้ใหญ่บ้าน ท่านพูดโกหก! ท่านเ้าหน้าที่ เขาต้องโดนอวิ๋นโส่วจงติดสินบนแน่ๆ ท่านแม่เคยบอกข้า บอกว่าอวิ๋นโส่วจงเป็ทาส บอกว่าทุกคนในครอบครัวของเขาเป็ทาส! ท่านแม่บอกว่าตอนนั้นอวิ๋นโส่วจงขายตัวเองเป็ทาส...”
เมื่อได้ยินดังนั้น อวิ๋นโส่วจู่ก็พลั้งปากพูดออกมา ใบหน้าของผู้ใหญ่บ้านพลันดำคล้ำ “ข้าไม่มีสิทธิ์ออกทะเบียนบ้านให้ใคร ติดสินบนข้าแล้วได้ประโยชน์อะไร?”
ที่ผู้ใหญ่บ้านยอมพูดแทนครอบครัวของพวกนางมากมายขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาตั้งใจช่วยเหลือพวกนางมากแล้ว
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นโส่วจู่ยังใส่ร้ายผู้ใหญ่บ้านอีก ฟางซื่อจึงมองสองสามีภรรยาอย่างเ็า ก่อนจะพูดเสียงดังว่า “ไม่ทราบว่ามีชาวบ้านคนไหนขับเกวียนเป็บ้าง มาช่วยข้าหน่อยเถิด” ตอนที่ซื้อวัว ทางนั้นแถมเกวียนบรรทุกของมาให้ด้วย
ทันทีที่ฟางซื่อพูดจบ ก็มีชาวบ้านหลายคนอาสาออกมา “พวกข้าขับเป็”
ไม่นานทุกคนก็ช่วยฟางซื่อเตรียมเกวียนเสร็จ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อฉีซานเอ่ยอาสาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “ท่านน้า ข้าขับเกวียนเป็ขอรับ”
ฟางซื่อเอ่ยยิ้มๆ “เช่นนั้นก็รบกวนเ้าหนุ่มช่วยไปส่งท่านเ้าหน้าที่ทั้งสองกลับไปที่อำเภอหน่อย”
เดิมทีเ้าหน้าที่ทั้งสองคนได้รับมอบหมายให้ออกตามหาบุคคลสำคัญ จำต้องตรวจสอบตามรายทางอย่างละเอียด พวกเขาจึงเดินเท้ามาที่นี่
ตอนนี้ฟางซื่ออาสาไปส่งพวกเขาที่ศาลาว่าการอำเภอ พวกเขาจึงไม่ปฏิเสธ เ้าหน้าที่ทั้งสองโยนอวิ๋นโส่วจู่กับหลิ่วซื่อขึ้นเกวียน เมื่อเห็นพวกเขาดิ้นรนโวยวาย ก็ยัดผ้าเข้าไปอุดปากพวกเขาทันที
เพราะการแจ้งความเท็จของอวิ๋นโส่วจู่ ทำให้พวกเขาเกือบทำเื่ผิดพลาด หากจับกุมครอบครัวลูกศิษย์ของฉีจวี่เหรินจริงๆ ถ้าหากศิษย์คนนั้นไปของร้องฉีจวี่เหริน ให้ไปหาท่านนายอำเภอที่ศาลาว่าการ เช่นนั้นพวกเขาคงซวยแน่ถึงตอนนั้นโดนโบยก็แค่เื่เล็ก แต่ไม่รู้เลยว่าจะรักษาอาชีพเ้าหน้าที่ทางการไว้ได้หรือไม่ ใส่ร้ายป้ายสีพี่ชาย ใส่ร้ายผู้ใหญ่บ้าน ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่
เ้าหน้าที่ทั้งสองคนที่ยังหาตัวบุคคลสำคัญไม่พบ จึงตัดสินใจใช้สองคนนี้เพื่อไถ่โทษ ในใจคิดไว้แล้วว่าพอกลับไป ต้องเอาผิดทั้งสองคนนี้ให้ได้
เพื่อป้องกันไม่ให้เ้าหน้าที่ทั้งสองคนพูดจาเหลวไหล ผู้ใหญ่บ้านจึงไปส่งทั้งสองคนออกจากหมู่บ้านด้วยตัวเอง พร้อมกับแอบยัดเงินให้กับพวกเขาคนละสองตำลึง
เงินนี้ฟางซื่อฝากผู้ใหญ่บ้านไปให้ พญายมนั้นพบเจอง่าย แต่ผีรับใช้รับมือยาก [1] ฟางซื่อรู้ดีว่าเื่นี้มีความร้ายแรงแค่ไหน
หลังจากพวกคนที่มามุงดูเหตุการณ์แยกย้ายกันไปแล้ว ฟางซื่อก็เชิญผู้าุโตระกูลอวิ๋นหลายคนอยู่กินข้าวด้วย แต่เนื่องจากอวิ๋นโส่วจงไม่อยู่บ้าน มีเพียงผู้หญิงกับเด็กๆ บรรดาผู้าุโจึงปฏิเสธ
เชิงอรรถ
[1] พญายมนั้นพบเจอง่าย แต่ผีรับใช้รับมือยาก (阎王易见,小鬼难缠) หมายถึง ผู้มีอำนาจสูงสุดอาจเข้าถึงได้ง่าย แต่ผู้ใต้บังคับบัญชากลับสร้างปัญหาและยากที่จะรับมือ