“แข่งขันประลองยุทธ์หรือ?”
“เหวินซาน ตระกูลจิ่งของเราไม่เคยมีงานประลองยุทธ์ใหญ่เช่นนี้มาก่อน ทำไมจู่ๆ เ้าจึงมีความคิดเช่นนี้?”
แค่จิ่งเหวินซานพูดถึงเื่การประลองยุทธ์ คนทุกคนในที่นั่นก็วิพากษ์วิจารณ์กันใหญ่โต
“ทำไมจู่ๆ ถึงจะจัดการประลองยุทธ์ขึ้น?” คนพูดมีเส้นผมขาวโพลน น้ำเสียงสงบนิ่งไร้คลื่น นั่งอยู่บนที่นั่ง สวมชุดผ้าไหมยาวสีดำ เนื้อผ้าละเอียดแวววาว บนชุดปักลายนกกระเรียนมงกุฎแดงสีทองหม่น ชุดตัดเย็บอย่างดีดูเป็ระเบียบเรียบร้อย เหมาะสมกับเขาที่ถึงแม้ศีรษะจะขาวโพลน ดวงตาดูเ็าเข้มงวด และริมฝีปากที่โค้งมนไร้อารมณ์ แต่ก็ยังดูน่าเกรงขาม ทำให้เขาดูสูงส่งสง่างาม
สามารถนั่งมีรวมกลุ่มกับคนอายุรุ่นนี้บนที่นั่งหลักนี้ได้ คนคนนี้ต้องฐานะไม่ธรรมดาแน่ จิ่งเหวินซานเองก็มีท่าทางเกรงกลัวอยู่สามส่วน เอาใจเจ็ดส่วน ประสานมือยิ้มประจบ “เรียนท่านปู่ นี่เป็เื่ที่จิ่งเคอกลับมาแล้วบอกข้าเมื่อวานขอรับ ว่าวรยุทธ์ของจิ่งฝานพัฒนาไปมาก แข็งแกร่งจนน่าใ เกรงว่าอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าและท่านในตอนนี้มาก ดังนั้นข้าจึงคิดว่าตระกูลจิ่งของเราน่าจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกขั้นแล้ว”
“แปลกใจ?” สองคำนี้จิ่งเหวินซานพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ดวงตาขุ่นมัวนั้นถูกหนังตาอันหนาหนักบดบังไว้ ั์ตามีรอยยิ้มหัวแต่แฝงไปด้วยแววเกลียดชัง “จิ่งฝานมีความสามารถถึงเพียงนี้ก็นับเป็ความภาคภูมิใจของเราตระกูลจิ่ง เราก็ควรทำให้คนภายนอกได้รู้เสียเลยว่าตระกูลจิ่งในวันหน้าไม่อาจดูเบาได้”
คนทั้งห้องไม่ทันได้สนใจแววตาที่เต็มไปด้วยความเสแสร้งและน้ำเสียงของเขาตอนที่พูดสองคำนั้น เพราะทุกคนกำลังใเื่ ‘วรยุทธ์ของจิ่งฝาน’ ‘แข็งแกร่งยิ่งกว่าข้าและท่านในตอนนี้มาก’ อยู่
ไม่ต้องพูดถึงคนด้านล่างที่ใ แม้แต่ผู้าุโที่นั่งอยู่้ายังมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรง ดวงตาที่คล้อยเหมือนจะปิดตลอดเวลาจู่ๆ ก็แข็งค้าง โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่ก่อนหน้านี้ยังคงนิ่งสงบไร้คลื่น หลังจากจิ่งเหวินซานพูดถึงเื่การประลองยุทธ์ก็กลับแหลมคมขึ้นมาดุจมีด สายตาสาดซัดไปที่จิ่งฝานราวกับ้าิญญาเขา หากไม่สนใจแววตา ดูแค่ใบหน้าก็ยังนับว่านิ่งสงบอยู่ ไม่เหมือนคนด้านล่างที่แสดงสีหน้าตกตะลึงอย่างไม่เก็บอาการ
จิ่งเฟิงกั๋วกดเสียงต่ำ ถามช้าๆ “เป็ความจริงหรือ?”
ถึงแม้คำถามจะมุ่งไปที่จิ่งเหวินซาน แต่สายตากลับไม่ละไปจากจิ่งฝานเลย
จิ่งเหวินซานตั้งใจจะตอบก็ถูกจิ่งฝานหัวเราะขัดบท “ท่านลุงใหญ่พูดเล่นแล้ว ่นี้ถึงแม้วรยุทธ์ข้าจะพัฒนาไปมาก แต่จะให้เก่งกว่าท่านลุงใหญ่หรือท่านปู่ทวดยังคงห่างไกลอีกมาก คาดว่าท่านพี่จิ่งเคอเองคงจะพูดเกินไปอยู่สักหน่อย”
“จิ่งฝาน เ้าอย่าได้ถ่อมตัวไป หากนี่เป็เื่จริง ก็ถือเป็ความโชคดีของตระกูลจิ่งของข้าแล้ว ต่อไปเ้าต้องไปได้ไกลอย่างแน่นอน!”
จิ่งเหวินซานที่กำลังจะปฏิเสธกลับถูกคนขัดบทอีกครั้ง ในใจรู้สึกโกรธเคีอง แต่เมื่อหันศีรษะไปมองก็พบว่าคนพูดเป็ถึงรุ่นปู่ จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนคำพูดกลับลงไป หากเทียบกับท่านผู้าุโที่นั่งอยู่้าผู้นั้นที่ไม่ต้องโกรธก็ยังน่ายำเกรงแล้ว ท่านนี้กลับต่อให้ไม่ยิ้มก็ยังแฝงแววขบขัน หากอ๋าวหรานอยู่ก็คงจะจำได้ นี่คือคนที่เขาเคยเจอตอนไปงานเลี้ยงอาหารครั้งแรกของตระกูลจิ่ง...ผู้าุโจิ่งเฟิงจั๋ว
จิ่งเหวินซานรีบรับคำ “ใช่แล้ว ข้าก็อายุปูนนี้แล้ว เก่งกว่าข้าก็คือเก่งกว่าข้า ไม่มีความจำเป็ต้องปิดบัง ข้าก็มิใช่คนชอบริษยา คาดว่าปู่ทวดของเ้าเองก็เช่นกัน พวกเรารุ่นาุโก็กำลังรอให้พวกเ้ารุ่นหลังๆ ทำให้ตระกูลจิ่งของเรายิ่งใหญ่ชื่อเสียงขจรไกลอยู่”
ที่วรยุทธ์ของจิ่งฝานสามารถล้ำหน้าจิ่งเหวินซานได้ สำหรับคนตระกูลจิ่งแล้วเป็เื่ที่น่าใจริงๆ เพราะวรยุทธ์ของจิ่งเหวินซานนั้นยอดเยี่ยมจนเป็ที่กล่าวขานกันในตระกูลจิ่ง นี่จึงเป็เหตุผลที่หลายปีมานี้เขาไม่ยอมลงให้กับจิ่งเหวินเหอ ถีงอยากจะชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลก็ไม่ใช่ว่าจะหลับหูหลับตาทำไปอย่างไร้ความกลัวเกรงได้
จิ่งเหวินซานไม่ได้สนใจเื่วิชาแพทย์เท่าไรนัก แต่ในด้านวรยุทธ์กลับตั้งอกตั้งใจเป็อย่างมาก เขาเป็คนที่มีพร์เื่นี้ ั้แ่เด็กก็แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพี่น้อง หากพูดถึงเื่วรยุทธ์ เขาจะเป็คนที่ถูกหยิบยกขึ้นมาชื่นชมอยู่เสมอ จึงทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเองและโอหังเป็อย่างมาก น่าเสียดายที่สุดท้ายเหล่าผู้าุโในตระกูลก็เลือกจิ่งเหวินเหอเป็ผู้นำตระกูลหลังจากที่ใช้เวลาขบคิดกันอยู่นานสองนาน เื่นี้สำหรับจิ่งเหวินซานแล้วทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างรุนแรง เป็เื่ที่ติดอยู่ในใจเขามานานหลายปี จะวางก็วางไม่ลงเสียที
เื่ที่ผ่านไปแล้วอย่าเพิ่งไปพูดถึงมันเลย เอาแค่เื่ในตอนนี้เป็พอ
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับจิ่งเหวินซานที่แฝงรอยยิ้มซ่อนมีด จิ่งฝานก็ยังคงยิ้มอย่างสงบนิ่ง “เื่นั้นแน่นอนอยู่แล้วขอรับ หากสามารถทำเพื่อตระกูลจิ่งได้ ข้าก็ยินดีที่จะทำ แต่เมื่อเทียบกับท่านลุงใหญ่แล้ว ข้ายังห่างชั้นอีกมากนัก”
ผู้าุโที่นั่งอยู่้าตำแหน่งหลักเริ่มอดรนทนไม่ไหว ขมวดคิ้วเป็ปม มุมปากยิ่งเหยียดลงมากกว่าเดิม “ใช่ก็ใช่ ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ ผลักไปผลักมาทำอะไร อนาคตของตระกูลจิ่งต้องฝากไว้ในมือเ้า! โอนอ่อนไม่เด็ดขาด ไม่มีท่าทีของผู้นำตระกูลเลยแม้แต่น้อย! ตำแหน่งนายน้อยแห่งตระกูลนี้เ้าทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ก็รีบยกให้คนอื่นเสีย!”
คำพูดนี้ตรงใจจิ่งเหวินซานยิ่งนัก ความพยายามอย่างยากลำบากในการเสแสร้งในเวลาปกตินั้นจู่ๆ ก็ะเิออกจนเกือบจะยิ้มกว้างออกมา แต่แล้วก็รีบกดลงไปใหม่ “ท่านปู่พูดเกินไปนะขอรับ จิ่งฝานอย่างไรเสียก็ยังไม่โตเป็ผู้ใหญ่เต็มที่ บางเื่ยังทำได้ไม่ดีนักก็เป็เื่ธรรมดา เื่นี้ต้องโทษข้าที่พูดมากเกินไป”
แล้วคนด้านล่างคนอื่นๆ ก็เริ่มเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ “จิ่งฝานก็ยังเป็แค่เด็กเท่านั้น อย่าเข้มงวดกับเขานักเลย”
“นั่นสิ ท่านพี่เองก็อ่อนโยนบ้างเถิด”
บางคนก็ว่า “จิ่งฝานเองก็ต้องฟังผู้ใหญ่บ้าง มีความสามารถก็ไม่ต้องแอบต้องซ่อน”
จิ่งเฟิงกั๋วไม่สนใจคนด้านล่างที่พูดมาก เอาแต่นั่งอยู่้าไม่พูดสักคำ สีหน้าเ็า ท่าทางน่าเกรงขาม
จิ่งฝานแอบซ่อนความเ็าที่อยู่ลึกสุดในดวงตา ความเ็านั้นยิ่งกว่าความเ็าในดวงตาของจิ่งเฟิงกั๋วหลายหมื่นเท่า หากมุมปากกลับประดับไปด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนดังเดิม “ท่านปู่ทวดพูดถูกแล้ว ข้าเองก็รู้สึกว่าตำแหน่งผู้นำตระกูลจิ่งนี้ควรจะต้องกล้าหาญเด็ดขาดบ้างถึงจะดี ถ้าเช่นนั้นสู้หาคนอื่นมาเป็นายน้อยดีหรือไม่? เช่นจิ่งเคอก็ไม่เลวนะขอรับ”
จิ่งเฟิงกั๋วได้ยินก็โกรธจัด ตบโต๊ะไปหนึ่งฝ่ามือ โต๊ะตัวนั้นก็สั่นเหมือนกับใบหน้าเขาตอนนี้ “นี่เ้าคิดจะประชดข้าหรือ? คิดว่าตระกูลจิ่งไม่มีใครนอกจากเ้าแล้วใช่หรือไม่? หา!”
คำสุดท้ายตวาดจนน่ากลัวจนทำให้คนด้านล่างเงียบกันไปตามๆ กัน จิ่งฝานโค้งยิ้มที่มุมปาก
จิ่งเฟิงกั๋วส่งเสียงเฮอะหนักๆ ออกมา “ในเมื่อเ้าไม่ยินดีเป็นายน้อยตระกูลจิ่ง งั้นข้าก็จะไม่บังคับเ้า”
คนทั้งหมดที่นั่งอยู่ได้ยินคำนี้ก็พากันเงยหน้า มองจิ่งเฟิงกั๋วอย่างตกตะลึง สีหน้ายากจะเชื่อ คำพูดนี้หมายความเช่นไร หรือว่าจะปลดจิ่งฝานออกจากตำแหน่งนายน้อยของตระกูล?
จิ่งเฟิงจั๋วพูดอย่างร้อนรน “พี่ใหญ่ ท่านพูดอะไร ตำแหน่งนายน้อยประจำตระกูลสามารถปลดกันได้ง่ายๆ หรือ? จิ่งฝานยังเด็ก พูดคำไม่เหมาะสมออกมานิดหน่อย ท่านก็อย่าไร้เหตุผลไปกับเขาด้วยเลย!”
จิ่งเฟิงกั๋วแทบจะพ่นควันออกมาจากจมูกแล้ว “ข้ามีเหตุผลยิ่ง! ข้าก็แค่ทำตามความ้าของเขา! คนที่ไม่อยากดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูล จะสามารถรับผิดชอบภาระของผู้นำตระกูลได้หรือ? แล้วจะเอาเขาไว้ทำอะไร”
ด้านล่างก็มีลูกชายของจิ่งเฟิงกั๋ว เห็นบิดาโกรธจึงรีบเกลี้ยกล่อมว่า “ท่านพ่อ ท่านอย่าเอาแต่โกรธนักเลย จิ่งฝานเป็เด็กดี พวกเราล้วนรู้ดี หลายปีมานี้เขาก็ทำเพื่อตระกูลจิ่งไม่น้อย”
จิ่งเฟิงกั๋วไม่ได้ถูกเกลี้ยกล่อมจากผู้คนจนความโกรธคลายลงแต่อย่างใด แต่กลับเกรี้ยวกราดยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ตบโต๊ะดังติดๆ กัน “ข้าเอาแต่โกรธ? ทุกคนล้วนไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้วใช่หรือไม่! วันนี้ข้าจะขอพูดให้ชัดๆ ตรงนี้ไปเลย แข่งขันประลองยุทธ์ใช่ไหม? ดี นี่เป็โอกาสดีทีเดียว”
“เหวินซาน!”
เื่ราวดำเนินไปเกินจากที่เขาคาดไว้ แต่ก็เป็ไปตามความ้าของเขา จิ่งเหวินซานจึงแอบได้ใจอยู่ลึกๆ แต่แล้วจู่ๆ เขาก็ถูกเรียกชื่อ จึงรีบหุบยิ้ม ทำสีหน้าจริงจัง “ท่านปู่มีอะไรจะสั่งหรือขอรับ”
“เื่การประลองยุทธ์ยกให้เ้าจัดการ อย่าให้พลาด รอบนี้ส่งเทียบเชิญไปให้ทั่ว เชิญลูกหลานรุ่นเยาว์ของตระกูลอื่นให้มาร่วมด้วย ผู้ที่ได้ที่หนึ่งก็จะได้เป็นายน้อยของตระกูลจิ่ง”
จิ่งเหวินซานรีบตอบรับ สงสัยแล้วถามว่า “หากผู้ที่ได้ที่หนึ่งไม่ใช่ลูกหลานของตระกูลจิ่งเราจะทำอย่างไรขอรับ?”
จิ่งเฟิงกั๋วตบโต๊ะ ท่าทางราวกับถูกความเขลาของจิ่งเหวินซานทำให้โกรธจนแทบทนไม่ไหว ะโว่า “งั้นก็เอาที่หนึ่งในบรรดาลูกหลานตระกูลจิ่ง ใครได้ไปคนนั้นก็จะได้เป็ผู้นำตระกูล นี่ยังต้องให้ข้าสอนอีกหรือ? หากเอาที่หนึ่งมาไม่ได้ เ้าก็คิดให้ดีๆ แล้วกันว่าอีกไม่กี่ปีให้หลังจะทำอย่างไร”
จิ่งเหวินซานถูกตวาดจนสีหน้าไม่สู้ดี ตอบรับไปอย่างเกรงกลัวว่า “ขอรับ”
จิ่งเฟิงจั๋วพูดอย่างร้อนรน “พี่ใหญ่! ท่านอย่าเหลวไหลนักเลย ยังไม่ต้องพูดถึงเื่ตำแหน่งนายน้อยของตระกูล แค่ตระกูลจิ่งของเรา หลายปีมานี้ก็หลบเร้นมาโดยตลอด ไม่เคยยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงภายนอก การประลองยุทธ์ครั้งนี้เกรงว่าจะดึงตระกูลจิ่งของเราออกสู่โลกภายนอก อีกอย่าง หากสุดท้ายไม่ได้ที่หนึ่ง มิเป็การตบหน้าตัวเองหรือ?”
จิ่งเหวินซานรีบยิ้มตอบรับ “ท่านปู่เฟิงจั๋วอย่าเพิ่งโกรธไปเลย ท่านปู่เฟิงกั๋วเองก็ทำเพื่อตระกูลจิ่งเรา ตระกูลจิ่งหลายปีมานี้เอาแต่หลบซ่อนและยอมคน ในแผ่นดินใหญ่นี้...พูดได้ว่ามีคนที่เคารพยำเกรงตระกูลจิ่งของเราอยู่ไม่มากแล้ว”
ใบหน้าของจิ่งเฟิงจั๋วที่ยิ้มอย่างสนุกสนานอยู่ตลอดก็เริ่มโกรธขึ้นมาบ้าง “ตระกูลจิ่งเราเป็หมอรักษาคน ทำทุกอย่างโดยไม่ผิดต่อคุณธรรมในใจก็พอแล้ว เหตุใดต้องให้ผู้อื่นมาเคารพยำเกรง?”
จิ่งเหวินซาน “นั่นมันเมื่อก่อนขอรับ ตอนนี้โลกเริ่มวุ่นวายไปหมดแล้ว ไม่กี่ปีมานี้ตระกูลที่ถูกล้มล้างไปก็มีอยู่ไม่น้อย ตระกูลจิ่งเรากิจการใหญ่โต ถือเป็เนื้อชั้นดีที่ไม่ว่าใครก็อยากจะกิน ตอนนี้คนที่ปรารถนาในตระกูลจิ่งของเราก็คงมีไม่น้อยแล้ว”
จิ่งเฟิงจั๋ว “เ้า...”
ไม่เพียงแค่จิ่งเฟิงจั๋วที่หมดคำพูด คนด้านล่างก็มีสีหน้าเป็ทุกข์ แม้แต่จิ่งเฟิงกั๋วเองก็ยังขมวดคิ้วแน่น
จิ่งเหวินซานแค่เห็นสีหน้าของทุกคนก็รู้ได้ทันทีว่าตนเองพูดได้ตรงจุด “เื่การประลองยุทธ์ ข้าก็คิดแล้วคิดอีกมาทั้งคืนถึงได้ตัดสินใจ ในเมื่อจิ่งฝานมีความสามารถล้ำหน้าข้าได้ แน่นอนว่าข้าย่อมรู้สึกยินดีเป็ที่สุด เพราะเขาคือที่พึ่งในอนาคตของเราตระกูลจิ่ง ข้าเชื่อว่าในโลกนี้คงมีเด็กรุ่นเยาว์น้อยมากที่จะมีพร์เช่นนี้”
จิ่งเหวินซานดื่มชาอึกหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “การประลองยุทธ์ครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำเพื่อลากตระกูลจิ่งเราออกสู่โลกภายนอก ก็แค่ถือโอกาสนี้ให้เราได้ผูกสัมพันธ์กับตระกูลอื่น และให้พวกเขาได้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของตระกูลจิ่งเรา จะได้หยุดคุกคามพวกเราตระกูลจิ่งเสียที”
จิ่งเฟิงจั๋ว “แต่วรยุทธ์ของจิ่งฝานยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นจริงหรือ? ข้าจำได้ว่าตอนแข่งฝึกซ้อมในตระกูลครั้งก่อนก็ไม่มีทีท่าจะล้ำหน้าเ้าไปได้”
จิ่งเหวินซานยิ้มแล้วพูดว่า “เื่นี้ท่านไม่ต้องกังวลไป ต่อให้ไม่เก่งกว่าข้า วรยุทธ์ของจิ่งฝานก็ไม่ธรรมดา ในแผ่นดินใหญ่นี้ก็ถือเป็คนที่โดดเด่น ส่วนเื่ได้ที่หนึ่งนั้น เราก็เขียนไว้บนเทียบเชิญอย่างชัดเจนว่าจุดมุ่งหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์เป็สำคัญ สำคัญอยู่ที่การแลกเปลี่ยนกัน พัฒนาไปด้วยกัน ถึงตอนนั้นต่อให้พ่ายแพ้ก็ไม่ใช่เื่น่าอายอะไร การสร้างความน่าเกรงขาม นอกจากการประลองยุทธ์แล้ว เรายังสามารถให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาเื่วิชาแพทย์และศาสตร์แห่งพิษของเราได้อีกด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ในใจจิ่งเฟิงจั๋วก็เริ่มสั่นคลอน
คนอื่นก็มีสีหน้าเห็นด้วย เริ่มแสดงความคิดเห็นว่าที่จิ่งเหวินซานพูดก็มีเหตุผล ความคิดนี้ฟังดูไม่เลวเลยทีเดียว
จิ่งเฟิงจั๋วนึกถึงจิ่งฝานแล้วมองเขาอย่างลังเล “จิ่งฝาน เ้าคิดเห็นอย่างไร?”
จิ่งฝานยิ้มขอบตาโค้งมน “ท่านลุงใหญ่พูดถูก ข้าเองก็เห็นด้วย”
จิ่งเฟิงกั๋วส่งเสียงหึแรงๆ ออกมาอีกที “อายุแค่นี้ก็เสแสร้งเก่งถึงเพียงนี้แล้ว!”
ลูกชายของจิ่งเฟิงกั๋วจึงรีบเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ “ท่านพ่อ ท่านพูดอะไร จิ่งฝานเสแสร้งตรงไหนหรือขอรับ? เขาก็พูดอย่างจริงจัง ทั้งอ่อนน้อมและรู้ความเป็ยิ่งนัก”
จิ่งเฟิงจั๋ว “นั่นสิ พวกเราได้มารวมตัวกันทั้งสี่รุ่นนี้ไม่ใช่เื่ที่จะเกิดขึ้นบ่อยนัก หากไม่ใช่เหวินซานเรียกทุกคนมารวมตัวกันเพื่อปรึกษาเื่นี้ พวกเราก็ล้วนยุ่งอยู่แต่กับตัวเอง น้อยนักที่จะได้มาพูดคุยกันเช่นนี้ ทุกคนก็สามัคคีกัน ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันเถิด”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้