มุมปากของเซียวเฉินโค้งขึ้นเป็รอยยิ้มดูแคลน แฝงเสน่ห์ชั่วร้ายจางๆ รอยยิ้มนั้นสามารถยึดครองผู้คน ซือคงไจซิงรู้สึกว่าน่ากลัว
เนื่องจากรอยยิ้มนั้นทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจ
“ข้าก็เล่นพอแล้ว”
เซียวเฉินเอ่ยคำพูดจบ ทัณฑ์แห่งเทพก็ร่วงจากฟ้า น่ากลัวถึงขีดสุด
อัสนีสั่นะเื สายลมคลั่งหวีดหวิว
หากก่อนหน้านี้พลังแห่งสายฟ้าที่เซียวเฉินชักนำคือห้าส่วน เช่นนั้น ตอนนี้ก็คือสิบส่วน สายฟ้ารุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
แม้กระทั่งสถานการณ์ก็เปลี่ยนแปลง
อานุภาพแกร่งกร้าวเช่นนี้ทำเอาสีหน้าของทุกคนที่อยู่ด้านข้างพรั่นพรึง พวกมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ที่อยู่ไกลๆ ก็ใสุดขีดเช่นกัน พวกเขามองเซียวเฉินด้วยสายตาประหลาดใจ
“ทำไมเซียวเฉินจึง...”
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ใ
“เปลี่ยนเป็วิปริตขนาดนี้!” ซูเฉินเทียนก็เช่นกัน ก่อนเข้าเขติญญา เซียวเฉินเพิ่งบรรลุขั้นเสวียนฟ้าหนึ่งชั้นฟ้า แต่ตอนนี้ถึงกับเลื่อนขึ้นไปถึงขั้นเสวียนฟ้าสี่ชั้นฟ้าระดับกลางอย่างน่าสะพรึง ความเร็วในการฝึกวิชาเช่นนี้จะน่ากลัวเกินไปหรือไม่ ต้องรู้ก่อนว่า พวกเขาเข้าสู่เขติญญาแค่สามสี่เดือนเอง!
พร์ในการฝึกวิชาเช่นนี้ เพียงพอจะเรียกว่ามารร้าย!
ทั้งยังมีเจตจำนงกระบี่และพร์แข็งแกร่งสุดขีด ทำให้พวกเขาที่เป็ศิษย์สถานศึกษาชางหวงเช่นเดียวกันต้องเหงื่อตกด้วยความอับอาย
คนเปรียบกับคน เทียบจนมีโทสะตายแท้ๆ!
แต่หลังจากใสุดขีด สายตาก็หยุดนิ่งอยู่ที่การต่อสู้นั้น กระบวนท่ากระบี่ของเซียวเฉินแกร่งกร้าวดุดันผิดปกติ และเป็เคล็ดวิชาที่ไม่เคยเจอในหอเคล็ดวิชาของสถานศึกษาชางหวงมาก่อน
“วิชากระบี่ของศิษย์น้องเล็กยอดเยี่ยมมาก!” กู้สิงเฉินและซูเฉินเทียนชมเชยพร้อมกัน คัมภีร์กระบี่ทัณฑ์์ของเซียวเฉินมาจากเคล็ดวิชาขั้นศักดิ์สิทธิ์ ย่อมยอดเยี่ยมเป็ธรรมดา เคล็ดวิชาส่วนหนึ่งก็ล้ำค่าควรเมือง
“ไม่รู้ว่าหากเสิ่นเล่ยใช้วิชากระบี่ชุดนี้แล้วจะเป็เช่นไร น่าจะไม่เลวกระมัง” ฉู่เฉินเฟิงยิ้มกล่าว เขาชื่นชมเสิ่นเล่ย
ถึงอย่างไร บุรุษย่อมปรารถนาหญิงงาม
แต่เขากลับรู้สึกว่า เซียวเฉินและเสิ่นเล่ยต้องมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดาต่อกัน
เสิ่นเล่ยเป็สาวงามน้ำแข็งเลื่องชื่อ นอกจากผู้าุโใหญ่แล้ว นางยังไม่เคยมีสีหน้าท่าทีดีๆ ให้ใคร ทว่าเซียวเฉินเป็ข้อยกเว้นนั้น
มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ปรายตามองไป ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมีคนเอ่ยถึงเซียวเฉินและเสิ่นเล่ยต่อหน้านางในเวลานี้แล้วทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยมีอคติกับเสิ่นเล่ยมาก่อนชัดๆ หรือว่าเป็...
คิดถึงตรงนี้ มู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ก็หน้าแดง รีบส่ายศีรษะ
เป็ไปไม่ได้ เป็ไปไม่ได้เด็ดขาด
จะเป็หมอนั่นไปได้อย่างไร...
ตูม!
เสียงดังสนั่นดึงความคิดของทุกคนกลับมา
เห็นซือคงไจซิงใช้สองมือค้ำฟ้า ราวกับหัตถ์แห่ง์ปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า เด็ดดารา ตะวัน และจันทรา เคลื่อนดาราแปรเป็การต่อสู้ เวิ้งนภาพลันสั่นะเื ดารานับไม่ถ้วนร่วงหล่นเป็วงกว้างกลายเป็ดาวตกดั่งจะดับสูญโลกา
ดาวตกวาบผ่าน ในความเจิดจรัสซ่อนเจตนาสังหารนับพันนับหมื่น
“ข้าจะให้เ้าได้เห็นท่าไม้ตายของตระกูลซือคง หัตถ์เทพยุทธทลายนภา!” ซือคงไจซิงหยิ่งผยองสุดขีด ด้วยท่าไม้ตายจากเคล็ดวิชาของตนเอง เขาจึงมีความมั่นใจเหนือธรรมดา และในการโจมตีครั้งนี้ ยามที่เซียวเฉินพ่ายแพ้ คือจุดจบของการหยามเกียรติเขา
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจในชั่วขณะนี้
เซียวเฉินจะรอดชีวิตจากท่าไม้ตายของสำนักดารากรได้หรือไม่?
สายตาของทุกคนจ้องมองบนร่างของเซียวเฉิน
ส่วนเซียวเฉินเก็บเบิกฟ้าและยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้น
สายตาเฉยชา
แต่ทุกคนรู้สึกถึงกลิ่นอายอันตรายจากร่างของเซียวเฉิน
สีหน้าของพวกโม่เส้าชิง หวังเจวี๋ยกลับแปรเปลี่ยน
เนื่องจากพวกเขารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายนั้น
หรือว่า การสืบทอดสุดท้ายอยู่ที่เซียวเฉิน?
สายตาของคนทั้งสามลึกล้ำ
สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไร แม้พวกเขาคิดจะได้รับการสืบทอดนั้น แต่ลงมือเวลานี้ก็ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนัก ไม่เช่นนั้น จะกลายเป็ว่าประมุขน้อยของกลุ่มอิทธิพลสูงสุดของเขติญญารังแกคนไร้สำนักผู้หนึ่ง
ดูท่า ได้แต่ทำตามสถานการณ์
ให้ซือคงไจซิงผลาญพลังเขาก่อน แล้วพวกเขาค่อยฉกฉวยผลประโยชน์ภายหลัง
เื่นี้โทษผู้อื่นไม่ได้ ได้แต่โทษว่าซือคงไจซิงและเขามีบุญคุณความแค้นต่อกันมาก่อน
วิ้งวิ้ง!
เวลานี้ สายลมคลั่งกวาดม้วนขึ้น วาตะเมฆาแปรผัน
ปราณปิศาจจางๆ ขุมหนึ่งปกคลุม รัศมีของเซียวเฉินเปลี่ยนเป็ลึกล้ำประหนึ่งบึงน้ำลึก ในความไพศาลแฝงความเย็นเยียบดั่งฤดูหนาวจัด ทำให้คนกลัวจนตัวสั่น เห็นแล้วล่าถอย
นั่นคือ อานุภาพกดดัน!
เซียวเฉินถึงกับมีอานุภาพกดดันบนร่าง
ในระดับขั้นเดียวกันจะมีอานุภาพกดดันได้อย่างไร?
ทุกคนใสุดขีด เซียวเฉินสร้างความประหลาดใจให้พวกเขามามากพอแล้ว บัดนี้ ต้องมองเขาเสียใหม่!
เ้าหมอนี่เป็มารร้ายจากสารทิศใดกันแน่!
แข็งแกร่งขนาดนี้เชียว?
ราวกับเขามีไพ่ตายไม่หมดสิ้น
จากนั้น เื่ที่ทำให้คนประหลาดใจสุดๆ ก็เกิดขึ้น เซียวเฉินกระทืบเท้า เหินร่างขึ้นนภา อัสนีสายหนึ่งวาดผ่าน ด้านหลังของเซียวเฉินมีปีกงอก กลายเป็นกเผิงั์ปีกทองกระพือปีกขึ้นนภา ปิดฟ้าบังตะวัน
“นี่มันอะไรกัน?”
มีคนร้องอุทาน ทุกคนอ้าปากค้าง จ้องตาโต
“เซียวเฉินกลายเป็นกเผิงั์ปีกทอง!”
“เหตุใดคนจึงเปลี่ยนเป็สัตว์ปิศาจได้?”
“...”
ชั่วขณะก็มีเสียงร้องอุทานไม่หยุด แม้แต่พวกมู่หรงเชี่ยนเอ๋อร์ก็เป็เช่นนี้ เสิ่นเล่ยมองนกเผิงั์ปีกทองบนนภากว้างด้วยสีหน้าสะท้านนิดๆ
เซียวเฉินได้พบโชควาสนาอันใดในประตู์...
เด็กหนุ่มคนนั้นยังเคยถูกตนเองถือกระบี่ไล่สังหาร แต่นับจากนั้น เหมือนเขาจะออกหน้าช่วยตนเองทุกครั้งที่ประสบเคราะห์และตกอยู่ในอันตราย
เด็กหนุ่มคนนั้นเหนือล้ำกว่านางมานานแล้ว
“กี๊ซ!”
นกเผิงแหงนหน้ากู่ร้องยาวนานดังสะท้านเก้าชั้นฟ้า
นกเผิงั์ปีกทองทอดตาลงมองซือคงไจซิงแล้วพูดภาษามนุษย์ “ซือคงไจซิง รับความตาย!”
เสียงดังสะท้อน
จากนั้น ปีกของนกเผิงั์พัดลำแสงออกมา เจิดจรัสสุดขีด อานุภาพที่บรรจุอยู่มีปริมาณมหาศาล ไร้หนทางคลี่คลาย
หัตถ์เทพยุทธทลายนภาของซือคงไจซิงปรากฏขึ้นอีกครั้ง ดาวตกพุ่งใส่เซียวเฉิน ทว่าปวงดาราดับสูญภายใต้แสงเสวียนสายนั้น แสงเสวียนแรงกล้าทิ่มแทงั์ตาของทุกคนจนเ็ป ในเวลานี้เอง เสียงโหยไห้ดังมา ทุกคนทอดถอนใจ
เซียวเฉินแพ้แล้วหรือ...
หลังจากพวกเขาลืมตาก็พากันสูดลมหายใจหนาวเหน็บ เซียวเฉินที่แปลงเป็นกเผิงยังบินวนอยู่บนท้องฟ้า ส่วนแขนทั้งสองข้างของซือคงไจซิงถูกฟันขาด
โลหิตสดไหลนองพื้น
“นี่...”
เซียวเฉินแสดงออกว่าไม่หยุดมือ ดวงตาของนกเผิงยิงแสงสีทองทะลุร่างของซือคงไจซิงในพริบตา โลหิตสดกระฉูดเป็ลำและสาดกระจาย ซือคงไจซิงมีสีหน้าพรั่นพรึง แต่เขาส่งเสียงไม่ออกแล้ว
ม่านตาค่อยๆ หด
สุดท้ายล้มตึงลงบนพื้น ทุกคนก็ยังไม่ได้สติคืนมา
ซือคงไจซิง ประมุขน้อยของสำนักดารากรถูกสังหาร
ผู้สังหาร คือเซียวเฉิน!
ผู้เข้มแข็งของสำนักดารากรทุกคนยังไม่ได้สติคืนมา ประมุขน้อยของสำนักดารากรของพวกเขาถูกฆ่าต่อหน้าต่อตา อีกทั้งพวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะลงมือขัดขวาง
เมื่อเซียวเฉินคืนสู่ร่างมนุษย์ก็เดินมาตรงเบื้องหน้าของเสิ่นเล่ยโดยไม่เหลือบแลซากศพซือคงไจซิงสักนิด
“ข้าสังหารคนน่าชังนั่นแทนเ้า มีรางวัลอะไรให้ข้าหรือไม่?” เซียวเฉินยิ้มกล่าว เสิ่นเล่ยหน้าแดงไม่พูดไม่จา ดวงตาโตคู่นั้นมองเซียวเฉิน แลดูใสซื่อน่ารัก
เซียวเฉินยิ้ม “ล้อเ้าเล่นหรอก พวกเราไปหาพวกเชี่ยนเอ๋อร์และศิษย์พี่ซูกัน”
“อืม” เสิ่นเล่ยพยักหน้า
จากนั้น สายตาของเซียวเฉินมองไปทางสำนักดารากรแล้วเอ่ยช้าๆ “ข้าทำเื่ที่พวกเ้าไม่กล้าทำแทนให้ พวกเ้าสมควรขอบคุณข้านะ คราวนี้ สำนักดารากรของพวกเ้าก็เปลี่ยนประมุขน้อยที่ดีกว่าได้แล้ว”
“บังอาจ!”