“ไม่เป็ไรแล้วนะ”
จื่ออู่กอดอวิ๋นลั่วแน่นไม่ยอมปล่อย
“ยังจะนิ่งอยู่อีก รีบกลับกันเถอะ ไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป!” อูิหลิงเตือนทั้งคู่ จื่ออู่จึงประคองอวิ๋นลั่วยืนขึ้น จากนั้นทั้งสามคนก็รีบออกจากป่า
หลังจากพาอวิ๋นลั่วกลับมายังกระโจม อูิหลิงก็รีบรักษาาแให้นางทันที แม้ว่าแผลจะดูน่ากลัวแต่ไม่ได้ลึกถึงกล้ามเนื้อหรือกระดูก เพียงมีเืไหลออกมามากเท่านั้นจึงทำให้อวิ๋นลั่วหมดสติไป จื่ออู่โอบกอดนางเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
หลังจากรักษาาแให้อวิ๋นลั่วแล้ว อูิหลิงก็เดินออกไปโดยไม่ได้พูดอะไร ให้พื้นที่แก่คนทั้งสองได้อยู่ด้วยกัน
อวิ๋นลั่วไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่ นอกจากตัวเองก็ไม่มีใครอีก นางลุกขึ้นยืนในที่ที่ไม่คุ้นเคย ด้านหลังมีดอกอิงร่วงโรย บนต้นไม้เต็มไปด้วยดอกอิงบานสะพรั่ง
“มีใครอยู่หรือไม่” อวิ๋นลั่วะโออกไป แต่ไม่มีใครตอบรับ
ลมแรงพัดผ่าน กลีบดอกอิงปลิวไปทั่วท้องฟ้า ลมแรงจนนางต้องหลับตา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เบื้องหน้าก็ปรากฏร่างของใครคนหนึ่ง
“พี่จื่ออู่!”
อวิ๋นลั่วรีบวิ่งไปหาเขาด้วยความดีใจ ปรารถนาจะเข้าไปโอบกอด แต่กลับถูกอีกฝ่ายหลบเลี่ยง
“พี่จื่ออู่ เหตุใดท่านถึงหลบข้า”
ในแววตาของอวิ๋นลั่วเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว คนเบื้องหน้าไม่ได้พูดอะไร แต่เมื่อนางเข้าไปใกล้เขาก็ดึงกระบี่ที่เอวออกมา ก่อนจะชี้มาทางนางเพื่อกันไม่ให้เข้าใกล้
“ข้าไม่ใช่จื่ออู่!”
ในที่สุดคนคนนั้นก็เอ่ยออกมา อวิ๋นลั่วส่ายหน้าไม่เชื่อ
“โกหก ท่านคือจื่ออู่ ท่านคือพี่จื่ออู่ที่อยู่กับข้ามาั้แ่เด็กและคอยปกป้องข้ามาตลอด!”
ชายผู้นั้นยืนอยู่ท่ามกลางสายลม กลีบดอกไม้ปลิวหล่นอยู่รอบกาย ผ้าผูกผมสีเขียวที่รัดเส้นผมดำขลับพลิ้วไหวไปตามแรงลม ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขึ้นวางลงบนหน้ากากที่สวมอยู่
“ท่านจะทำอะไร” อวิ๋นลั่วใ
อีกฝ่ายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแ่เบา
“อยากเห็นหรือไม่ อยากเห็นไหมว่าภายใต้หน้ากากนี้ใช่จื่ออู่ของเ้าหรือเปล่า” เสียงนั้นช่างน่าหลงใหล ทำให้อวิ๋นลั่วสติหลุดไปครู่หนึ่ง
“อยากเห็นหรือไม่” เขาถามอีกครั้ง
อวิ๋นลั่วพยักหน้า
“อย่าเสียใจเสียล่ะ...” คำพูดนี้ก้องอยู่ในหูของนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดูเหมือนไกลห่างแต่ก็เหมือนใกล้ ไร้ซึ่งความแน่นอน
ชายผู้นั้นค่อยๆ ถอดหน้ากากออก ขณะที่กำลังจะเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนก็มีลมแรงพัดมา กลีบดอกไม้ปลิวเต็มท้องฟ้าจนกลายเป็กำแพงบุปผาคั่นระหว่างคนทั้งสอง บดบังการมองเห็นของอวิ๋นลั่ว กลีบดอกเหล่านี้แหลมคมราวกับใบมีด บาดลงบนร่างของนางในตอนที่เดินผ่านจนได้รับาเ็
ความเ็ปแสนระทมทุกข์ แต่อวิ๋นลั่วก็กัดฟันก้าวไปข้างหน้า ยื่นมือคว้าแขนเสื้อของจื่ออู่ผ่านกำแพงดอกไม้
“พี่จื่ออู่…”
อีกฝ่ายยืนเงียบอยู่ที่เดิม ปล่อยให้คนตรงหน้าทนต่อความเ็ปโดยไม่เคลื่อนไหวใดๆ
“พี่จื่ออู่!” อวิ๋นลั่วะโเสียงดัง ในเวลานั้นกลีบดอกไม้ก็บาดเข้าที่ดวงตาของนาง ดวงตาทั้งสองข้างถูกหยาดโลหิตอาบย้อม ต่อมาก็กลายเป็สีดำมืดมัว
“กรี๊ด!”
อวิ๋นลั่วสะดุ้งตื่น ภาพในความฝันทำให้นางหอบหายใจจนหน้าอกกระเพื่อมไหวขึ้นลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเริ่มดึงสติกลับมาอีกครั้งถึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็เพียงความฝัน
โชคดีที่เป็เพียงความฝัน!
จิตใจของอวิ๋นลั่วเต็มไปด้วยความสับสน ในตอนที่ยังไม่ทันได้ตั้งสติให้ดีก็ถูกใครคนหนึ่งรวบกอดไว้ กลิ่นอายช่างคุ้นเคยเป็อย่างมาก แม้ไม่ได้พบเจอเขามาหลายเดือน แต่ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจน
นางซุกใบหน้ากับอ้อมแขนของเขา สุดท้ายน้ำตาก็ไหลรินอย่างไม่อาจควบคุม เสื้อผ้าของจื่ออู่เปียกชุ่ม รับรู้ได้ถึงััอุ่น
จื่ออู่กระชับอ้อมแขนทั้งสองข้างให้แน่นขึ้น มองดูใบหน้าซีดเซียวของอวิ๋นลั่วด้วยความปวดใจ “ฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว”
“ท่านไม่้าข้าแล้ว...” อวิ๋นลั่วสะอื้น
“้าสิ!”
“แล้วเหตุใดถึงหลบเลี่ยงข้าล่ะ” อวิ๋นลั่วเงยหน้ามองจื่ออู่ด้วยดวงตาที่พร่ามัวเพราะน้ำตา
“ข้าไม่ได้หลบเลี่ยงเ้า!” จื่ออู่ตอบกลับด้วยท่าทีจริงจัง
“จริงหรือ”
จื่ออู่พยักหน้า “จริงสิ!”
หยาดน้ำตาที่ไหลรินพลันถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้ม อวิ๋นลั่วยกมือขึ้นปาดน้ำตาและถอนหายใจโล่งอก จากนั้นก็เอ่ยด้วยท่าทีซุกซน “ข้าใแทบตาย คิดว่าท่านไม่้าข้าแล้ว ฮี่ๆ”
ความไร้เดียงสานี้ทำให้จื่ออู่รู้สึกละอายใจต่อนาง เขาจึงโอบกอดหญิงสาวไว้อีกครั้ง ในเวลานี้ก็ตระหนักถึงความกลัว หลังจากอีกฝ่ายรอดพ้นเคราะห์กรรมมาได้
“ลั่วเอ๋อร์ ลั่วเอ๋อร์...” จื่ออู่พร่ำกระซิบซ้ำไปซ้ำมาที่ข้างหูของอวิ๋นลั่ว ลมหายใจแสดงถึงความรู้สึกสั่นไหว
“พี่จื่ออู่ เป็อะไรไปหรือ” การแสดงออกของจื่ออู่ทำให้อวิ๋นลั่วตื่นตระหนก
“สัญญากับข้าว่าหลังจากนี้จะไม่ทิ้งข้าไปไหนอีก”
หลังจากได้ยินเช่นนี้ ในใจของอวิ๋นลั่วก็เต็มไปด้วยความสุขอย่างไม่มีสิ่งใดเปรียบ “แน่นอน ลั่วเอ๋อร์สาบานว่าจะไม่อยู่ห่างกายพี่จื่ออู่ไปตลอดชีวิต”
น้ำเสียงแจ่มชัดของนางทำให้จื่ออู่โล่งใจ แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือบาง
“ข้ากลัว...”
ความจริงแล้วตอนที่จื่ออู่เห็นร่างกายของอวิ๋นลั่วเต็มไปด้วยเื ก็รู้สึกตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็มาก่อน ซึ่งนั่นกระทบกระเทือนจิตใจจนทำให้หายใจไม่ออก เป็ครั้งแรกที่เขาเกิดกลัวขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุม จนสงบสติอารมณ์ลงไม่ได้
“ข้าไม่เป็อะไรแล้ว!”
รอยยิ้มสดใสของอวิ๋นลั่วทำให้ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มที่หาได้ยากออกมา เพียงแต่ว่ารอยยิ้มนั้นถูกซ่อนไว้ใต้หน้ากากจึงไม่มีผู้ใดเห็น อวิ๋นลั่วเงยหน้ามองจื่ออู่ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นมือไปยังใบหน้าของเขา ปลายนิ้วแตะลงบนหน้ากากอย่างแ่เบา ััหนาวเย็นทำให้ในใจนางรู้สึกเ็ป
จื่ออู่จับมือนางแล้วเอ่ยช้าๆ “เมื่อเื่ต่างๆ จบลง ข้าจะเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับตัวข้าให้เ้าฟัง” เขาคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว หากสวมหน้ากากนานเกินไปจะเป็การทำลายตัวตนของเขา ควรต้องถอดมันออก ตราบใดที่ไม่ได้เป็การทำร้ายอวิ๋นลั่ว เขาก็พร้อมจะยอมรับผลที่ตามมาทั้งหมด
“ท่านพูดจริงหรือ!”
“อืม”
อวิ๋นลั่วโถมกายเข้าหาจื่ออู่อย่างมีความสุข โอบรอบคอเขา พร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดีเหลือเกินพี่จื่ออู่!”
อูิหลิงที่เพิ่งเดินเข้ามา เคาะประตูเบาๆ “ข้ามาขัดจังหวะหรือเปล่า”
เมื่อถูกอูิหลิงล้อ แก้มของอวิ๋นลั่วก็เปลี่ยนเป็แดงก่ำ
“พี่ิหลิง!”
ิหลิงก้าวเข้าไปประคองนางให้นั่งดีๆ พร้อมกับดุเสียงเบา “นั่งดีๆ ก่อน อาการาเ็ยังไม่หายดี”
อวิ๋นลั่วแย้มยิ้ม มองิหลิงด้วยสีหน้าไร้พิษภัย เห็นเช่นนี้อูิหลิงก็กลืนคำตำหนิกลับไป แล้วได้แต่ลอบถอนหายใจ
“ดื่มยาเถิด”
อวิ๋นลั่วไม่กลัวรสขมจึงดื่มยาหมดรวดเดียว ทว่าตัวยาช่างเข้มข้นทำให้นางถึงกับแลบลิ้นออกมาเพราะรู้สึกขมมาก แม้ไม่ได้หวาดเกรง แต่ยานี้ช่างเข้มข้นเหลือเกิน
“ข้าให้” ผลไม้ผลเล็กถูกวางลงบนมือของอวิ๋นลั่ว นางก็รีบเอาใส่ปากโดยไม่ลังเล เนื้อผลไม้มีน้ำอยู่ด้านในเป็จำนวนมาก อีกทั้งอวิ๋นลั่วก็กินเข้าไปด้วยความรีบร้อน หยาดน้ำจากผลไม้จึงไหลออกมาตรงมุมปาก
จื่ออู่รีบหันหน้าไปทางอื่น อูิหลิงมองการกระทำของทั้งคู่อย่างสงวนท่าที ไม่กล้าหัวเราะออกมา เกร็งจนเกือบจะปวดท้อง
“เหมือนว่าเ้าทั้งสองจะพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว ไม่เป็ไรใช่หรือไม่” อูิหลิงถามอวิ๋นลั่วด้วยท่าทีไม่มั่นใจ ทว่าอีกฝ่ายรีบพยักหน้าให้ทันที “เ้าค่ะ เราสองคนไม่เป็ไรแล้ว”
“เ้าสองคนไม่เป็ไร แต่ข้านี่สิมีเื่จะพูด” ท่าทีของิหลิงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่ยังยิ้มหัวเราะ แต่ตอนนี้สีหน้ากลับมืดมน
อวิ๋นลั่วรู้ว่านางกำลังโกรธ จึงก้มศีรษะลงไม่กล้าพูดอะไร
“อวิ๋นลั่ว เ้าช่างเอาแต่ใจเหลือเกิน สถานการณ์ในตอนนี้เป็อย่างไรไม่ใช่ว่าเ้าไม่รู้ เ้าเดินทางมายังสถานที่อันตรายเช่นนี้เพียงลำพังได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้มาผู้เดียว...” เพราะกลัวว่าิหลิงจะโกรธ อวิ๋นลั่วจึงหลุดปากออกไป แต่เมื่อพูดไปแล้วก็ตระหนักได้ว่าตนเองช่างเผลอไผล จึงรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ ไม่ใช่ ข้าหมายถึง...”
“เ้ามากับใคร”
“นางมากับิโยว” เป็อูิเยี่ยที่เดินเข้ามาจากด้านนอก
ก่อนหน้านี้ท่านแม่ให้อิ๋นเฟิงส่งจดหมายมาถึงเขา เล่าเื่ที่อูิโยวแอบหนีออกมาจากหุบเขาไป่หลิงพร้อมกับบุตรสาวคนโตของตระกูลอวิ๋น แต่เมื่อมาถึงเทือกเขาจู่เสียก็เกิดเื่ต่างๆ มากมายจึงทำให้เขาลืมเื่นี้ไปเสียสนิท
เมื่อได้ยินเื่ของอวิ๋นลั่ว อูิเยี่ยจึงนึกถึงน้องชายและรีบมาหาเพื่อไตร่ถามนาง ในเมื่ออวิ๋นลั่วมาถึงป่าใต้พิภพแห่งนี้แล้ว ิโยวเองก็ต้องมาถึงด้วยเช่นกัน แต่เหตุใดกลับไม่พบเขา
“ิโยวอยู่ที่ใด” อูิเยี่ยถามอวิ๋นลั่ว
อีกฝ่ายรู้ว่าไม่สามารถปกปิดต่อไปได้อีก จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเล่าเื่ที่เกิดขึ้นให้ฟัง
หลังจากฟังเื่ที่เกิดขึ้นแล้ว ทุกคนต่างก็ตระหนกจนเหงื่อเย็นผุดซึม ิหลิงเอ่ยถามเพราะ้าคำยืนยันอีกครั้ง “เ้าแน่ใจหรือว่าิโยวไม่เป็ไร”
อวิ๋นลั่วเองก็ไม่รู้ว่าควรแสดงออกอย่างไร เพราะในเวลานี้นางเองก็ไม่มั่นใจนัก จื่ออู่ที่อยู่ด้านข้างจึงช่วยนางวิเคราะห์สถานการณ์
“ในเมื่อลั่วเอ๋อร์บอกว่าตอนที่นางกลับไปก็เห็นเพียงซากงูและศพของคนที่โจมตี ก็หมายความว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณชายอู บางทีหลังจากลงมือสังหารอีกฝ่ายแล้วเขาอาจจะออกไปในทันที ส่วนที่ว่าเหตุใดจึงไม่มายังเทือกเขาจู่เสียนั้น…ตอนนี้ยังไม่อาจคาดเดาได้ขอรับ”
อูิเยี่ยขมวดคิ้ว ใบหน้ามืดมนและน่ากลัว
“เ้ากับิโยวเล่นอะไรกัน ตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี”
“ท่านพี่ิหลิงไม่ต้องกังวล ิโยวต้องไม่เป็ไรแน่เ้าค่ะ”
อวิ๋นลั่วปลอบใจิหลิง นางรู้ว่าเื่นี้เกิดขึ้นเพราะนาง แม้อูิโยวจะเคยบอกว่าต่อให้นางไม่ไปขอความช่วยเหลือ ไม่ช้าหรือเร็วเขาก็จะหนีออกจากหุบเขาไป่หลิงอยู่ดี ทว่านางก็มีส่วนผิด แล้วจะไม่รู้สึกอะไรได้อย่างไรกัน
จื่ออู่จับมืออวิ๋นลั่วแล้วตบเบาๆ เพื่อบอกให้นางไม่ต้องกังวล
“บางทีคุณชายรองอูอาจจะมาถึงั้แ่หลายวันก่อนแล้ว รอดูอีกสักสองสามวัน หลังจากนั้นค่อยหาทางกันอีกที”
แม้ว่าจื่ออู่จะเอ่ยออกไปเช่นนั้น แต่อันที่จริงในใจกลับมีความคิดบางอย่าง เขานึกถึงชายที่สวมผ้าปิดหน้าซึ่งบังเอิญพบกันในป่าใต้พิภพ ทำให้พอจะคาดเดาถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้
นอกหน้าต่างท้องฟ้ามืดมิด อูิโยวนอนหลับสนิทกว่าทุกวันโดยไม่ฝันอะไร เขาบิดกายก่อนจะลงจากเตียง ทันทีที่เปิดม่านเตียงออกก็เห็นว่าหลิ่วไป๋เจ๋อยืนอยู่ข้างหน้าต่าง หันหน้ามองออกไปไม่ขยับเขยื้อน
“กำลังคิดสิ่งใดอยู่”
อูิโยวหยิบถ้วยขึ้นมาแล้วรินน้ำให้ตนเอง ก่อนจะยกขึ้นดื่มจนหมด
หลิ่วไป๋เจ๋อไม่ตอบ แต่หันกลับมาและนั่งลงที่โต๊ะด้านข้าง
“กินอะไรสักหน่อยเถอะ” หลิ่วไป๋เจ๋อดันจานขนมไปเบื้องหน้าของอูิโยว อีกฝ่ายไม่ได้เกรงใจอยู่แล้วจึงเอื้อมหยิบขนมชิ้นหนึ่งไปกิน
“กี่ยามแล้ว” อูิโยวมองท้องฟ้าข้างนอก ไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหน
“โหย่วสือ[1]ผ่านไปเกินครึ่งแล้ว”
“มืดขนาดนี้แล้วหรือ!”
—------------------------------------
[1] โหย่วสือ หมายถึง ่เวลาที่พระอาทิตย์ตก ก่อนยุคถังคือเวลา 18:00-20:00 หลังยุคถังคือ 17:00-19:00
