บทที่ 2 เพลิงชุบิญญา สีชาดแรกอรุณ
"ซือซือ เ้าจะทำอะไรอีก?"
คำถามของหลี่เหวินเต็มไปด้วยความกังวลระคนความหวัง เขาเพิ่งเห็นปาฏิหาริย์เล็กๆ เกิดขึ้นกับน้องสาว และตอนนี้ นางกำลังจะทำสิ่งที่ดูเหมือนจะขัดกับหลักการย้อมผ้าทุกแขนงที่เขาเคยร่ำเรียนมา
หลี่ซือซือไม่หันไปมองพี่ชาย สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่บ่อย้อมเก่าคร่ำคร่าเบื้องหน้า ราวกับกำลังสนทนากับิญญาของมัน "พี่ใหญ่ ที่ข้าทำไปก่อนหน้านี้ เป็เพียงการ รักษา และเตรียมการเท่านั้น" นางกล่าว น้ำเสียงเรียบสงบแต่ก้องกังวาน "มันเหมือนกับการล้างาแและใส่ยา แต่ตอนนี้ คือขั้นตอนการ ชุบชีวิตที่แท้จริง"
"ชุบชีวิต?" หลี่เหวินทวนคำอย่างไม่เข้าใจ
"ไฟไม่ได้มีไว้แค่ต้มน้ำให้เดือด แต่ไฟคือการเปลี่ยนผ่าน คือพลังที่หลอมรวมสรรพสิ่ง" นางหันกลับมา ดวงตาเป็ประกายท้าทายโชคชะตา "สีแดงที่ถูกปลุกให้ตื่น ้าบ้านที่อบอุ่นเพื่อพักพิง และไฟจะช่วยเปิดประตูบ้านให้พวกมัน"
หลี่เจิ้งที่ยืนพิงเสาอยู่แค่นเสียงหยัน "ปรัชญาไร้สาระ! เ้าจะต้มผ้านั่นซ้ำไปซ้ำมาหรืออย่างไร? ยิ่งต้มสียิ่งซีด นี่เป็กฎพื้นฐานที่เด็กสามขวบยังรู้!"
"นั่นเพราะท่านใช้แต่ไฟแรงเพื่อเร่งเวลา" ซือซือสวนกลับทันควัน คำพูดของนางคมกริบราวคมดาบ "แต่ท่านลืมไปว่า ของดีต้องใช้เวลา ของล้ำค่าต้องใช้ใจ ไฟที่อ่อนโยนและสม่ำเสมอต่างหาก คือเคล็ดลับของการหลอมรวมที่สมบูรณ์"
หลี่เจิ้งถึงกับพูดไม่ออก เขาถูกเด็กสาวที่เขาตราหน้าว่าอ่อนแอตอกหน้าด้วยปรัชญาการทำงานที่เขาเคยยึดถือแต่กลับหลงลืมไปจนหมดสิ้น
นาง นางกำลังสอนข้าอย่างนั้นรึ? ข้า ปรมาจารย์หลี่เจิ้ง กำลังถูกลูกสาวของตัวเองสอนเื่การควบคุมไฟ! นี่มันน่าขันสิ้นดี! แต่ เหตุใดข้าถึงเถียงนางไม่ออกแม้แต่คำเดียว? ลี่เจิ้งรู้สึกยังงง งง
ซือซือไม่ปล่อยให้ความเงียบครอบงำนานเกินไป นางหันไปหาพี่ชายอีกครั้ง "พี่ใหญ่ ในห้องครัว ยังมีกากเหล้าที่เหลือจากการหมักอยู่หรือไม่?"
คำถามนี้ทำให้ทั้งหลี่เหวินและหลี่เจิ้งตกตะลึงยิ่งกว่าเก่า
"กากเหล้า!?" หลี่เหวินร้องเสียงหลง "ซือซือ เ้าเสียสติไปแล้วหรือ! นั่นมันของหมักดอง จะเอาของเน่าเหม็นเช่นนั้นมาใส่ในบ่อย้อมได้อย่างไร! มันจะทำให้ผ้าเน่าเหม็นไปด้วยนะ!"
"ใช่!" หลี่เจิ้งก้าวเข้ามาผสมโรงทันที คราวนี้เขาไม่อาจทนดูต่อไปได้แล้ว "พอได้แล้วหลี่ซือซือ! เ้าจะเปลี่ยนโรงย้อมของบรรพบุรุษให้กลายเป็ถังหมักของเน่ารึ! ข้าไม่ยอม!"
ซือซือเผชิญหน้ากับบิดาและพี่ชายอย่างไม่เกรงกลัว "พวกท่านเห็นมันเป็แค่ของเน่าเหม็น แต่ข้าเห็นมันคือชีวิต"
"ชีวิตอะไรกัน!?"
"ในกากเหล้ามีพลังที่มองไม่เห็น มันคือพลังที่ช่วยเร่งปฏิกิริยา ทำให้สีที่หลับใหลยอมปล่อยตัวตนที่แท้จริงออกมา" นางอธิบายด้วยภาษาของนางเอง พยายามแปลความรู้ทางเคมีสมัยใหม่ให้คนยุคนี้เข้าใจ "มันคือสะพานที่จะเชื่อมอนุภาคของสีให้ผสานกับเส้นใยได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด"
ในสายตาที่มองเห็นพลังพิเศษของนาง นางเห็นอนุภาคเล็กๆ ในกากเหล้ากำลังเต้นระริก มันคือยีสต์และเอนไซม์ที่พร้อมจะทำปฏิกิริยาทางเคมี นางรู้ว่าสิ่งนี้จะทำหน้าที่เป็สารรีดิวซ์ ที่ดีเยี่ยมในการดึงศักยภาพสูงสุดของสีย้อมธรรมชาติออกมา
"พี่ใหญ่" นางมองลึกเข้าไปในดวงตาของพี่ชาย "ท่านเชื่อข้าหรือไม่?"
คำถามสั้นๆ แต่หนักอึ้งราวขุนเขา หลี่เหวินมองหน้าน้องสาว สลับกับมองหน้าบิดาที่กำลังโกรธจนหน้าเขียว มือของเขากำแน่น เขาทำงานหนักแทบตายมาหลายปี แต่ผลลัพธ์กลับมีแต่ความล้มเหลว แต่น้องสาวของเขา แค่เวลาไม่ถึงชั่วยาม นางกลับทำให้เขาเห็นในสิ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน นั่นคือความหวัง
จะบ้าก็บ้า จะดีก็ดี! อย่างไรเสียโรงย้อมของเรามันก็ไม่เหลืออะไรให้เสียอีกแล้ว! หากต้องล้ม ก็ขอเลือกล้มไปพร้อมกับความหวังที่น้องสาวมอบให้ ดีกว่าจมปลักอยู่กับความสิ้นหวังของท่านพ่อ! หลี่เหวินพยายามหาเหตุผลที่ควรช่วยน้องสาวของเขา
"ข้าเชื่อเ้า!" หลี่เหวินตอบเสียงดังฟังชัด "รออยู่นี่ ข้าจะไปเอามาให้!"
"หลี่เหวิน! เ้าจะบ้าไปกับน้องสาวเ้าด้วยรึ! กลับมานะ!" เสียงของหลี่เจิ้งไล่หลังไป แต่หลี่เหวินไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
ไม่นานนัก หลี่เหวินก็กลับมาพร้อมกับไหใบเล็กที่ส่งกลิ่นเปรี้ยวของกากเหล้าหมักคลุ้งไปทั่วบริเวณ ซือซือรับมันมาอย่างไม่รังเกียจ นางค่อยๆ ตักกากเหล้าใส่ลงไปในบ่อย้อมที่เริ่มร้อนได้ที่
ภาพที่ปรากฏในดวงตาของนางน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก! พลังงานสีทองอ่อนๆ จากกากเหล้าแผ่กระจายไปทั่วน้ำในบ่อ มันเข้าไปกระตุ้นอนุภาคสีแดงที่ยังคงหลงเหลืออยู่ให้ตื่นตัวและมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นนางจึงค่อยๆ จุ่มผ้าผืนนั้นลงไปในบ่ออีกครา
ครั้งนี้นางไม่ได้ปล่อยทิ้งไว้ แต่นางใช้ไม้พายยาวคนผ้าอย่างช้าๆ และสม่ำเสมอ เป็จังหวะที่นุ่มนวลราวกับการหายใจเข้าออก นางควบคุมไฟใตัหม้อให้อยู่ในระดับที่ร้อนแต่ไม่เดือดพล่าน
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า...
หยาดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากของหลี่เหวินที่คอยเติมฟืนให้ไฟคงที่ หลี่เจิ้งเลิกะโด่าทอแล้ว แต่ยังคงยืนมองด้วยสายตาที่ไม่เชื่อถือ ทว่าในใจลึกๆ กลับเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง กลิ่น กลิ่นของสีย้อมในบ่อมันเปลี่ยนไป มันไม่ใช่กลิ่นฉุนเคมีที่คุ้นเคย แต่เป็กลิ่นหอมลึกๆ ของสีย้อมที่ถูกปลุกพลังขึ้นมาอย่างเต็มที่
ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงสู่ทิวเขา แสงสีทองสุดท้ายของวันสาดส่องมายังลานดินหลังบ้านที่ซอมซ่อ...
"พอแล้ว"
ซือซือเอ่ยขึ้นเบาๆ นางใช้ไม้พายเกี่ยวผ้าขึ้นมาจากบ่อ ไอน้ำร้อนกรุ่นลอยขึ้นมาพร้อมกับผ้าสีเข้มที่ชุ่มโชกไปด้วยน้ำย้อม
"เห็นหรือไม่! มันกลายเป็สีน้ำตาลไหม้ไปแล้ว!" หลี่เจิ้งชี้มือมาอย่างผู้มีชัย "ข้าบอกแล้วว่ามันเหลวไหลสิ้นดี! เ้าทำลายมันแล้ว!"
ซือซือไม่ตอบโต้ นางเพียงแค่ส่งสัญญาณให้พี่ชายช่วยจับปลายผ้าอีกด้านหนึ่ง ทั้งสองคนค่อยๆ คลี่ผ้าผืนนั้นออก...
วินาทีที่ผืนผ้าัักับอากาศเย็นและแสงสุดท้ายของวัน ปาฏิหาริย์ก็บังเกิด!
สีน้ำตาลเข้มที่เห็นในตอนแรกค่อยๆ จางหายไป ถูกแทนที่ด้วยสีแดงสดที่เจิดจ้าและลุ่มลึกอย่างที่ไม่เคยมีใครในที่นั้นเคยเห็นมาก่อน!
มันไม่ใช่สีแดงทึมๆ ที่ตายด้านอีกต่อไป
มันคือสีแดงของเืนกพิราบในใจกลางทับทิมชั้นเลิศ
มันคือสีแดงของริมฝีปากหญิงงามยามต้องสะพานโค้งแรกของรอยยิ้ม
มันคือสีแดงของแสงอรุณรุ่งแรกที่สาดส่องผ่านม่านเมฆ
เป็สีแดงที่มีชีวิต มีมิติ และมีจิติญญา!
"โอ้ ์" หลี่เหวินอุทานออกมาอย่างลืมตัว เขาทรุดลงไปนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองผ้าผืนนั้นราวกับเห็นเทพเซียนปรากฏกาย
หลี่เจิ้งยืนนิ่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปเป็หิน แววตาดูแคลนในตอนแรกแปรเปลี่ยนเป็ความตกตะลึงสุดขีด สองขาสั่นเทาจนแทบยืนไม่อยู่ เขาค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาช้าๆ ราวกับกลัวว่าภาพตรงหน้าจะสลายไปหากเขาเคลื่อนไหวเร็วเกินไป
ปลายนิ้วที่สั่นระริกของเขาค่อยๆ ััลงบนผืนผ้า
ััของมันนุ่มนวลและยืดหยุ่นกว่าเดิมมาก ไม่มีร่องรอยของความกระด้างจากการถูกย้อมซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยแม้แต่น้อย ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดคือสี สีแดงนั้นราวกับมีชีวิตชีวาอยู่ภายใต้นิ้วมือของเขา
น้ำตา หยดแล้วหยดเล่า ไหลทะลักออกมาจากดวงตาที่แห้งผากของชายผู้สิ้นหวังโดยที่เขาไม่รู้ตัว
"สีชาดแรกอรุณ" เขากระซิบชื่อสีในตำนานที่ปรมาจารย์รุ่นแรกของตระกูลหลี่เคยทำได้สำเร็จเพียงครั้งเดียว และสูตรของมันได้สูญหายไปกับกาลเวลา "นี่มัน สีชาดแรกอรุณจริงๆ"
เขาทรุดกายลงคุกเข่าต่อหน้าผลงานชิ้นเอกนั้น ร่ำไห้ออกมาราวกับเด็กน้อย ปล่อยให้ความอัปยศ ความเสียใจ ความผิดหวัง และความปีติยินดีที่อัดอั้นอยู่ในใจมานานแรมปีได้ระบายออกมาจนหมดสิ้น
ซือซือมองภาพนั้นด้วยหัวใจที่ซาบซึ้ง นางรู้ว่าผ้าผืนนี้ไม่เพียงแต่ถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ แต่จิติญญาของบิดาและอนาคตของโรงย้อมสกุลหลี่ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นใหม่ในเปลวเพลิงแห่งนี้เช่นกัน
สำเร็จแล้ว ก้าวแรกเราผ่านมันมาได้แล้ว เธอคิดพร้อมทั้งมองไปที่พ่อและพี่ชายอย่างภาคภูมิใจ
ท่ามกลางห้วงอารมณ์อันท่วมท้นนั้นเอง
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงทุบประตูหน้าโรงย้อมดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง ตามมาด้วยเสียงะโที่หยาบคายและป่าเถื่อน จนน่าขนลุก
"เปิดประตู! เปิดเดี๋ยวนี้! ข้าให้เวลาพวกเ้ามามากพอแล้ว! วันนี้ถ้ายังไม่มีเงินมาจ่ายหนี้ ตระกูลหลี่ก็เตรียมตัวขนของออกจากโรงย้อมแห่งนี้ได้เลย!"
เสียงนั้น คือเสียงของพ่อบ้านจากตระกูลสวี!
พายุลูกใหม่ กำลังจะพัดเข้ามาในขณะที่พวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัว
