หลี่หรูอี้เลิกคิ้วงามขึ้นเล็กน้อย ดูเอาเถิด เมื่อครู่คนเ่าั้ล้วนบอกว่าไม่มี ซึ่งเป็คำตอบที่ตรงข้ามกับสวี่เซิ่งนั่วโดยสิ้นเชิง พอนึกย้อนไปหลี่หรูอี้จึงคิดอยู่ในใจว่า นายผู้เฒ่าสวี่เกิดในสายตรงของตระกูลนายทัพ ซึ่งอยู่ในชั้นตระกูลใหญ่ น้องสาวแท้ๆ ของเขาเป็คุณหนูผู้ดูแลเรือน หากเื่ที่คุณหนูผู้ดูแลเรือนสติฟั่นเฟือนจนฆ่าตัวตายแพร่งพรายออกไป ย่อมเป็ชื่อเสียงที่ไม่น่าฟัง พวกเขาจึงไม่ยอมบอกความจริงกับข้า
สวี่เซิ่งนั่วถามด้วยท่าทีค่อนข้างเคร่งเครียดว่า “เื่นี้เกี่ยวข้องกับอาการเจ็บป่วยของท่านปู่ข้าด้วยหรือ”
หลี่หรูอี้เอ่ยทั้งใบหน้าเคร่งขรึมว่า “ตระกูลสวี่ของพวกเ้ามีประวัติเป็โรคประสาท หรือพูดให้ฟังง่ายๆ ก็คือ คนในตระกูลสวี่ของพวกเ้ามีโอกาสเป็โรคประสาทง่ายกว่าคนทั่วไป”
สวี่เซิ่งนั่วหน้าซีดเผือดในทันใด “ว่ามาดังนี้ข้าก็จะเป็โรคประสาทด้วยหรือ”
หลี่หรูอี้มีสีหน้าอ่อนโยน เอ่ยเสียงละมุนว่า “เ้าไม่ต้องตื่นเต้น ท่านปู่ของเ้าได้รับความกระทบกระเทือนใจอย่างมากครั้งยังเป็หนุ่มจึงทำให้เป็โรคประสาท เ้าดีๆ อยู่จะเป็โรคประสาทได้อย่างไร”
เมื่อนั้นสวี่เซิ่งนั่วจึงสบายใจขึ้น แต่ตอนออกไปก็ยังคงมีอาการใจลอยอยู่บ้าง
หลี่หรูอี้กลัวว่าสวี่เซิ่งนั่วจะคิดมากเกินไป จึงพูดเสียงดังไล่หลังไปว่า “คนเราต้องมีสภาพจิตใจที่ดี อย่ามุดเข้าโพรงเขาโค[1] อย่าคิดฟุ้งซ่าน”
เสียงของเจียงชิงอวิ๋นดังขึ้นมาข้างๆ นาง “หรูอี้ เ้าพูดถูกแล้ว”
หลี่หรูอี้เอามือขึ้นทาบอก “จู่ๆ ท่านก็ส่งเสียง ข้าใหมด”
เจียงชิงอวิ๋นเอ่ยเสียงเคร่งขรึม “มี่หนึ่งที่ข้าฝันร้ายทุกวัน ยากจะข่มตาหลับทุกค่ำคืน ดึงดื้อจะมุดเข้าโพรงเขาโค คิดฟุ้งซ่านจนเกือบทำให้ตนเองเป็บ้าไปแล้ว”
“จริงหรือเ้าคะ ยามใดหรือเ้าคะ”
“เมื่อปีกลาย”
“ครานั้นท่านเบื่ออาหาร ร่างกายซูบผอมไปอย่างมาก ท้องไส้ก็ย่ำแย่นัก”
“ถูกต้อง”
“ท่านทำเช่นนี้รังแต่จะทำให้คนที่เป็ห่วงท่านต้องเป็กังวลและเสียใจ วันหน้าท่านอย่าทรมานตนเองเช่นนี้อีกนะเ้าคะ”
“เช่นนั้นควรเปิดใจตนเช่นใด”
“พี่เจียง วันหน้าเมื่ออารมณ์ไม่ดี ก็ให้ท่านนึกถึงเื่ดีๆ เชื่อมั่นว่าชีวิตในภายหน้าจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ก็มองสิ่งต่างๆ ให้กว้างไกล หรือไม่ก็บอกเล่าแก่สหายเพื่อระบายความทุกข์ในใจ จะทำให้อารมณ์สงบลงได้เ้าค่ะ”
หลี่หรูอี้ไม่เคยเห็นเจียงชิงอวิ๋นมีท่าทีที่เงียบขรึมเช่นนี้มาก่อน นางรู้สึกมาตลอดว่าเขาเป็คนเก็บตัวอย่างยิ่ง แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะมากกว่าที่นางคาดไว้เสียอีก หากวันนี้เจียงชิงอวิ๋นไม่ได้เห็นแม่ทัพสวี่กับตาตน ก็คงจะไม่ระบายความในใจของเขาออกมา
นางอยากรู้ว่าเจียงชิงอวิ๋นประสบกับเื่เ็ปใดมากันแน่ จึงได้เป็ทุกข์และเสียใจจนถึงขั้นละทิ้งชีวิต
โจวโม่เสวียนผลักประตูเข้ามาพลางเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาน้อย ที่แท้ท่านกับท่านหมอเทวดาน้อยมาอยู่ด้วยกันนี่เอง” สายตาของเขาสลับมองไปมาระหว่างคนทั้งสอง คาดเดาว่าเมื่อครู่เกิดเื่ใดขึ้น ทำเอาเจียงชิงอวิ๋นสีหน้าไม่เป็ปกติเสียอย่างยิ่ง
เจียงชิงอวิ๋นไม่อยากให้โจวโม่เสวียนเป็กังวล จึงโบกมือให้เขาครั้งหนึ่งแล้วบอกว่า “โม่เสวียน ข้าไม่เป็ไร ข้าแค่กังวลกับอาการเจ็บป่วยของท่านแม่ทัพสวี่เท่านั้น”
หลี่หรูอี้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ท่านชายเพคะ หม่อมฉันสอบถามคนจวนสวี่พอประมาณแล้ว เวลานี้จึงสามารถไปหารือกับพวกเขาว่าจะรักษาท่านแม่ทัพสวี่อย่างไรได้แล้วเพคะ”
เมื่อครู่โจวโม่เสวียนถูกคนจวนสวี่ถามเอาจนหูแทบจะหูดขึ้น จึงถามไปตามตรงว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย ท่านต้องใช้เวลานานเท่าใด จึงจะรักษาท่านลุงสวี่ให้หายได้?”
“หากว่าครอบครัวของท่านแม่ทัพสวี่ฟังคำหม่อมฉันและให้ความร่วมมือในการรักษา” จากนั้นหลี่หรูอี้ก็บอกระยะเวลาอย่างช้าที่สุดไปว่า “สองปี”
โจวโม่เสวียนเอ่ยด้วยความดีใจว่า “เพียงสองปีเท่านั้น เช่นนั้นก็ดี ข้าจะไปบอกพวกเขา พวกเขาจะต้องให้ความร่วมมือเป็แน่” จากนั้นก็ดึงตัวเจียงชิงอวิ๋นออกไปข้างนอก พอหันหน้ากลับมาก็เห็นว่าหลี่หรูอี้ตามมาด้วยแล้ว พลันอดชมนางไม่ได้ว่า “ท่านหมอเทวดาน้อย วิชาแพทย์ของท่านช่างล้ำเลิศนัก ข้าว่าในใต้หล้านี้ต้องไม่มีโรคใดที่ท่านรักษาไม่ได้เป็แน่แท้”
หลี่หรูอี้ส่ายหน้าช้าๆ อย่างถ่อมตน “คนกินธัญพืชทั้งห้าเกิดโรคได้นับร้อย หากว่าโรคใดหม่อมฉันก็ล้วนรักษาได้ เช่นนั้นก็มิใช่หม่อมฉันแล้วเพคะ แต่เป็เทพเซียนบน์”
“เ้าก็เป็หมอเทวดาน้อยแห่งแดนมนุษย์”
“ไม่ผิด นางเป็หมอเทวดาน้อย”
โจวโม่เสวียนเข้าไปโอบไหล่เจียงชิงอวิ๋นอย่างสนิทสนม “ท่านอาน้อย ท่านช่างมีดวงตาเฉียบคมมองเห็นผู้มีฝีมือ ทั้งที่เพิ่งมาถึงดินแดนทางเหนือได้ไม่นาน ก็ค้นพบหมอเทวดาน้อยแล้ว”
เจียงชิงอวิ๋นคิดในใจว่า เป็วาสนา
หลี่หรูอี้อธิบายวิธีรักษากับคนจวนสวี่โดยคร่าวๆ
คนจวนสวี่ย่อมรับปากเป็มั่นเป็เหมาะว่า จะให้ความร่วมมือในการรักษาแม่ทัพสวี่
“กว่าผู้ป่วยจะหลับได้มิใช่เื่ง่าย ก็ให้เขานอนหลับอีกสักพัก ไม่ต้องไปปลุกเขา ในนี้มีโอสถอยู่สามเม็ด รอจนเขาตื่นก็ยังให้ใส่ไว้ในอาหารให้เขาทานอีก เขาจะได้นอนหลับดีๆ อีก วันพรุ่งข้าจะมาใหม่ในเวลานี้”
ตอนที่พวกของโจวโม่เสวียนอยู่ในจวนสวี่นั้น จวนจาง จวนหม่าและจวนหู ทั้งสามจวนต่างส่งคนทยอยมาสอบถามว่า เมื่อใดพวกเขาจะไปที่จวนตน
เดิมทีโจวโม่เสวียนคิดว่าจะไปให้ครบทั้งห้าจวนในคราวเดียว แต่เขาไม่เข้าใจวิชาแพทย์จึงคะเนเวลาไม่ถูก ตอนนี้ไปเพียงสองจวนก็เกือบเป็เวลาเย็นแล้ว เขากลัวว่าหลี่หรูอี้กับเจียงชิงอวิ๋นจะเหน็ดเหนื่อยเกินไป โดยเฉพาะเจียงชิงอวิ๋นที่ร่างกายไม่สู้ดีนักไม่อาจทนต่อความลำบากได้ จึงบอกคนของจวนทั้งสามว่าวันพรุ่งค่อยไป
เมื่อครู่หลี่หรูอี้ได้รู้อาการเจ็บป่วยของแม่ทัพทั้งสามจากคนของสามจวนแล้ว แม้อาการจะหนักแต่ก็ยังไม่ถึงกับจะเสียชีวิต จึงฟังคำและทำตามที่โจวโม่เสวียนจัดการ
“ท่านอาหลี่ เจี้ยนอัน หรูอี้ พบกันใหม่เช้าวันพรุ่งขอรับ” เจียงชิงอวิ๋นจัดองครักษ์จวนเจียงให้ไปส่งคนสกุลหลี่ที่หมู่บ้าน ส่วนตนเองกลับจวนเจียงไปพร้อมกับโจวโม่เสวียน
โจวโม่เสวียนกลัวว่าผู้ใหญ่ในจวนเยี่ยนอ๋องจะเป็ห่วงเขา รวมทั้งอยากให้พระบิดาสูงวัยรู้อาการของผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ทั้งสองคน จึงไม่แม้จะทานอาหารเย็นก็จากไปทันที และก่อนไปก็ยังขอบคุณเจียงชิงอวิ๋นอีกครั้งด้วย
ดวงเดือนลอยเคลื่อนขึ้นสูงแล้ว โจวโม่เสวียนควบม้าด้วยความเร็วกลับมาถึงเมืองเยี่ยน ยามนั้นฟ้ามืดแล้วแต่รถม้าที่หน้าประตูจวนเยี่ยนอ๋องยังคงมีผ่านไปมาไม่ขาดสาย
เยี่ยนอ๋องโจวปิงกำลังต้อนรับขุนนางในพื้นที่ปกครองหลายคนอยู่ในโถงประชุม พอรู้ว่าโจวโม่เสวียนกลับมาจากไปเยี่ยมผู้ใต้บังคับบัญชาเก่าแก่ ก็รีบยุติการสนทนาอย่างรวดเร็ว รอจนทุกคนถอยออกไปแล้วจึงให้คนไปเชิญโจวโม่เสวียนเข้ามา และสอบถามด้วยความเป็ห่วงว่า “อาการเจ็บป่วยของพวกเขาเป็อย่างไรบ้าง”
“ทูลเสด็จพ่อ วันนี้เวลาไม่พอ ลูกไปเยี่ยมท่านลุงได้เพียงสองท่านเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
โจวปิงเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “เ้าเอาแต่ห่วงเล่นจนเสียเวลาหรือไม่”
“ลูกถูกปรักปรำ ลูกวุ่นวายจนแม้แต่อาหารเย็นก็ยังไม่ตกถึงท้องเลย” โจวโม่เสวียนจึงเล่าเื่ที่เขาประสบมาในวันนี้อย่างละเอียด และยังบอกว่า “วันพรุ่งฟ้ายังไม่สาง ลูกก็จะไปรับท่านหมอเทวดาน้อยที่จวนท่านอาน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของโจวปิงค่อยๆ อ่อนโยนลง จนในที่สุดก็เอ่ยทั้งรอยยิ้มบางๆ ว่า “ที่สุดเ้าก็ทำเื่ดีงามได้แล้วเื่หนึ่ง”
“ที่แท้แล้วในพระทัยของเสด็จพ่อ ลูกโตจนป่านนี้เคยทำความดีเพียงเื่นี้หรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“อย่าปากร้าย เ้าไปเยี่ยมเสด็จย่าและเสด็จแม่สักหน่อยเถิด” แม้โจวปิงจะเอ่ยเช่นนี้ แต่รอยยิ้มบนใบหน้าของเขามีแต่เพิ่มขึ้นไม่ได้น้อยลงเลย
หลังจากโจวโม่เสวียนออกไปแล้ว ไม่บ่อยครั้งนักที่โจวปิงจะสงบนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ในใจกลับคำนึงถึงอดีตผู้ใต้บังคับบัญชาหลายคนนั้น หากหมอเทวดาน้อยสามารถรักษาโรคของพวกเขาได้ทั้งหมด ก็นับว่านางสร้างความชอบใหญ่หลวง จะปูนบำเหน็จให้อย่างไรดี น่าเสียดายที่หมอเทวดาน้อยเป็หญิง หาไม่แล้วก็จะแต่งตั้งนางเป็แพทย์ประจำกองทัพเสียเลย
โจวโม่เสวียนไปเยี่ยมเยี่ยนหวังเฟยและนั่งอยู่กับนางไม่นานนัก ด้วยกลัวว่านางจะเหนื่อย จึงไปเยี่ยมฉินไท่เฟยต่อ
ฉินไท่เฟยอายุมากแล้วนอนหลับได้น้อย ใน่เวลานี้จึงยังคงสดชื่นอยู่มาก พอเห็นหลานชายคนเล็กที่ตนรักใคร่เป็ที่สุดมาหา ใบหน้าของนางก็มีรอยยิ้มขึ้นมาทันใด
“เสด็จย่า หลานจะเล่าเื่ประหลาดที่ได้พบมาวันนี้ให้ฟังพ่ะย่ะค่ะ” โจวโม่เสวียนเล่าเื่ที่หลี่หรูอี้ไปตรวจรักษาแม่ทัพทั้งสองอีกครั้ง โดยเน้นเื่ของแม่ทัพสวี่เป็พิเศษ
ฉินไท่เฟยเคยพบกับแม่ทัพสวี่ และยังรู้ว่าคนผู้นี้วิกลจริต แต่ก็นึกไม่ถึงว่าอาการจะรุนแรงจนถึงขั้นจำญาติทั้งหกไม่ได้ ซ้ำยังจะสังหารคนอีกด้วย พลันเอ่ยปลงอนิจจังว่า “แม้แต่เืเนื้อเชื้อไขตนแท้ๆ ก็ยังจำไม่ได้ หนำซ้ำยังจะลงมือสังหาร คนเราหนอ จะเป็โรคใดก็อย่าได้วิกลจริตเลย”
“เสด็จย่า ท่านหมอบอกว่านี่เป็โรคประสาท และไม่ให้พวกเราดูแคลนผู้ป่วยด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“วันนี้ท่านอาน้อยของเ้าคอยอยู่กับพวกเ้าตลอดเลยหรือ”
.............................
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] มุดเข้าโพรงเขาโค หมายถึง ดื้อดึง รั้นจะทำในสิ่งที่ไม่คุ้มค่า (เขาวัวปลายแหลมและตัน มุดเข้าไปมีแต่สร้างความลำบากให้ตนเอง)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้