หลายวันมานี้ไป๋เยว่ซินพยายามเรียนรู้ทุกอย่างจากคนตระกูลไป๋ จึงทำให้นางเริ่มจะทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นมาบ้าง อีกทั้งนางยังรู้สึกสนุกกับมันมากอีกด้วย
บางครา์อาจจะเห็นใจที่นางเคยประสบเคราะห์ร้าย จึงมอบชีิวิตที่แสนเงียบสงบเช่นนี้มาให้นาง
่ฤดูร้อนพืชผักที่สามารถปลูกได้ก็จะมี แตงกวา ถั่วฝักยาวและฟัก ไป๋เยว่ซินไม่อยากจะรั้งรอเวลาอีก นางคิดว่าควรจะลงมือทำได้แล้ว จึงชักชวนคนในบ้านเริ่มทำการเพาะปลูกทันที ท่านลุงใหญ่ของนางนั้นมีความรู้เื่นี้อยู่บ้าง อีกทั้งยังบอกว่าแต่ก่อนตอนที่ท่านปูยังมีชีวิตอยู่ก็เคยเพาะปลูกผักพวกนี้ไปขาย แต่ระยะหลังยิ่งทำยิ่งขาดทุนจึงไม่ทำอีก วันนี้ได้กลับมาปลูกผักอีกครั้ง มันทำให้ท่านลุงใหญ่และท่านพ่อของนางรู้สึกเหมือนว่าได้ย้อนเวลากลับไปสมัยวัยเด็กอีกครา
ไป๋ฟานไปช่วยบิดาตัดไม้มาทำเป็เสาหลักและไม้เถาเพื่อให้ใบของพืชผักได้เลื้อยไปเกาะเกี่ยวได้สะดวก ส่วนป้าสะใภ้ใหญ่และท่านแม่ของนางก็ชวยกันรดน้ำเพาะปลูก ไป๋เซียงและอาหลิงกำลังก่อไฟทำอาหาร ส่วนนางเองก็กำลังช่วยไป๋ฟานใช้เชือกมัดไม้เถาที่สวน
ไป๋เยว่ซินมองดูพี่ชายตนคราหนึ่ง เพราะครอบครัวของนางรักใคร่ปรองกองกันมาก นางจึงไม่ได้เรียกไป๋ฟานอย่างห่างเหินว่าญาติผู้พี่ แต่กลับเรียกเขาว่าพี่ใหญ่ และเรียกไป๋เซียงว่าพี่รอง ส่วนนางคือน้องเล็ก ่เวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเช่นนี้ มันทำให้ไป๋เยว่ซินรู้สึกผูกพันกับพวกเขามากขึ้นเรื่อยๆ
"พี่ใหญ่"
"หืม?"
ไป๋ฟานที่กำลังใช้เชือกมัดไม้เถาเมื่อได้ยินน้องสาวเอ่ยเรียกจึงหันมายิ้มให้นาง ไป๋เยว่ซินจ้องมองพี่ชายตนพลางมีท่าทีครุ่นคิด ก่อนจะตัดสินใจเอ่ยออกไป
"พี่ใหญ่ ท่านอยากสอบเป็ขุนนางจริงๆหรือ"
ไป๋ฟานพลันชะงักไปคราหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยตอบ
"แน่นอนอยู่แล้ว ทำไมกัน หรือว่าเ้าไม่อยากให้พี่ใหญ่ไปสอบ"
ไป๋เยว่ซินยิ้มและส่ายหน้าเล็กน้อย
"ที่ไหนกัน ข้าเพียงเป็ห่วงท่าน ข้าเคยได้ยินมาว่าขุนนางที่นครหลวงพวกนั้นทั้งเ้าเล่ห์ทั้งกลับกลอก ข้ากลัวว่าท่านเข้าไปเป็ขุนนางแล้ว จะเสียรู้พวกเขา"
ไป๋ฟานเมื่อได้ฟังในใจก็เย็นวาบคราหนึ่ง ที่สำนักศึกษาเขาเองก็เคยได้ยินเื่เหล่านี้มาจากสหายที่มีบิดาและพี่น้องอยู่ในแวดวงขุนนางที่นครหลวงเช่นเดียวกัน ไม่คิดเลยว่าน้องเล็กจะเข้าใจเื่พวกนี้ด้วย
"เ้านี่ รู้เยอะไม่เบาเลยนะ"
"ข้าก็ต้องไปสืบเสาะข่าวคราวมาอยู่แล้ว พี่ใหญ่ ข้ารู้ว่าท่านกำลังแบกความหวังของทุกคนในบ้านเอาไว้ แต่ข้าอยากให้ท่านยึดความ้าของตนเองเป็หลัก ข้าเพียงเป็ห่วงท่าน แต่ถ้าท่านยังยืนยันที่จะเดินบนเส้นทางนี้ ข้าก็พร้อมจะสนับสนุนท่าน"
ไป๋ฟานยื่นมือมาลูบศีรษะน้องสาวด้วยความเอ็นดู
"พี่ใหญ่เข้าใจแล้ว เ้าไม่ต้องกังวล พี่ใหญ่จะดูแลตนเองเป็อย่างดี อย่างไรพี่ใหญ่ก็ต้องสอบเป็ขุนนางให้ได้ บ้านเราจะได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้บ้าง"
"เช่นนั้นข้าจะสนับสนุนพี่ใหญ่เอง"
สองพี่น้องยิ้มให้กันอย่างอ่อนโยน ไป๋เยว่ซินที่ได้ยินไป๋ฟานยืนยันหนักแน่นว่าอย่างไรก็ต้องสอบเป็ขุนนางให้ได้ นางก็ไม่อาจจะทัดทานเขาได้อีก วันเวลานับจากนี้ นางคงทำได้เพียงสนับสนุนเขาให้บรรลุความตั้งใจแล้ว
ใช้เวลาอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดงานก็แล้วเสร็จไปเกือบครึ่ง
วันนี้ไป๋เซียงกับอาหลิงทำก๋วยเตี๋ยวคลุกน้ำมันพริกเป็อาหารว่างให้ทุกคนได้กินรองท้องระหว่างพักให้หายเหนื่อยก่อนจะไปทำงานต่อ ไป๋เยว่ซินกินจนหมดชาม นางรู้สึกว่าอาหารชาวบ้านธรรมดาพื้นๆเช่นนี้กลับรสชาติดีกว่าอาหารในวังหลวงเป็ไหนๆ
ตอนนี้ไม่มีงานในสวนให้เหล่าสตรีอย่างพวกนางทำแล้ว ที่เหลือล้วนเป็งานหนักๆของบุรุษ ป้าสะใภ้ใหญ่ และท่านแม่ของนาง รวมไปถึงอาหลิงรีบกลับบ้านไปเตรียมมื้อเย็นก่อนแล้ว ไป๋เซียงเองก็ไปจ่ายตลาด ไป๋เยว่ซินยังอยากอยู่ชมธรรมชาติอีกสักหน่อยจึงบอกว่าจะตามกลับบ้านไปทีหลัง อย่างไรเสีย ท่านลุง ท่านพ่อและพี่ชายก็ยังอยู่ที่นี่ นางค่อยรอกลับพร้อมพวกเขาก็ไม่ใช่ปัญหาอันใด
หญิงสาวเดินตรงมาตามทางเล็กๆไม่ไกลจากแปลงผักมากนัก เบื้องหน้ามีต้นลิ้นจี่ต้นหนึ่งที่กำลังออกผลกลมโตชวนให้ลองลิ้ม นางเอื้อมมือไปเด็ดผลที่อยู่ต่ำๆมาชิมผลหนึ่ง พบว่ามีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ให้ความรู้สึกสดชื่นเป็อย่างมาก
อยู่ๆในหัวของไป๋เยว่ซินก็คิดถึงชาลิ้นจี่ขึ้นมา
นางจำได้ว่าเสด็จแม่เคยมีตำราอาหารเล่มหนึ่งซึ่งเป็ความลับสุดยอดของสูตรอาหารจากแดนพิเศษเอาไว้ใน อีกทั้งยังมีแมวดำหนึ่งตัวคอยช่วยชี้แนะ นางไม่รู้ว่าท่านแม่ไปได้มันมาจากที่ใด นางจำได้ว่ายามเสด็จแม่เปิดตำราเล่มนั้นออกมาจะเกิดแสงสีขาวเจิดจ้า มีสูตรอาหารที่แปลกตามากมายอยู่ในนั้น อีกทั้งยังสามารถเลือกเครื่องปรุงที่หน้าตาแปลกประหลาดออกมาปรุงอาหารได้ด้วย เสด็จแม่สอนนางถึงวิธีใช้ของมันจนนางจำได้ขึ้นใจ
ทว่าหลังจากที่เสด็จแม่ทรงสิ้นพระชนม์จากไป ตำราอาหารแสนวิเศษและเ้าแมวดำตัวนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้นางจะจำวิธีการทำอาหารในนั้นได้ทั้งหมด แต่หากขาดวัตถุดิบที่มาจากตำราวิเศษเล่มนั้นก็ไม่อาจทำมันออกมาได้
ไป๋เยว่ซินมีสีหน้าหม่นหมองคราหนึ่ง
ช่างเถอะ ชะตาชีวิตของคนเราก็เป็เช่นนี้ ขอเพียงนับแต่นี้นางขยันอีกสักหน่อย หาลู่ทางทำกินอย่างไม่ย่อท้อ ย่อมต้องสำเร็จผลเป็แน่
หญิงสาวเด็ดลิ้นจี่มาหลายพวงก่อนจะวางลงในกระบุงที่นำติดมาด้วย ดวงตาคู่สวยมองขึ้นไป้ายอดต้นไม้พบว่าลิ้นจี่ที่อยู่บนกิ่งสูงนั้นลูกใหญ่กว่ากิ่งด้านล่างเสียอีก นางจึงตัดสินใจปีนขึ้นไปบนต้นลิ้นจี่เพื่อเก็บมันมาเพิ่ม ต้นลิ้นจี่ต้นนี้ไม่ได้สูงเท่าใดนัก แต่ไหนแต่ไรตอนเป็องค์หญิงใหญ่ นางก็ปีนกำแพงแอบหนีออกไปเที่ยวเล่นนอกวังหลวงอยู่บ่อยครั้ง ปีนต้นลิ้นจี่เพียงเท่านี้จะนับเป็อันใดกัน!
แต่เพราะไม่ทันระวังทำให้ไป๋เยว่ซินพลัดตกลงมาจากต้นลิ้นจี่โดยไม่ทันตั้งตัว
หญิงสาวตื่นตระหนกเป็อย่างมาก นางหลับตาเตรียมยอมรับความอัปยศ ครานี้ไม่ขาหักก็คงแขนหักเป็แน่!
แต่รออยู่นานกลับไม่รู้สึกถึงความเ็ป แต่กลับััได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของตนกำลังซบอยู่กับแผงอกของใครบางคน
เป็พี่ใหญ่หรือ?
ไป๋เยว่ซินรีบลืมตาขึ้นไปมอง ภาพตรงหน้าทำเอานางถึงกับปั้นสีหน้าไม่ถูก
"แม่นางไป๋ ข้าเพิ่งรู้ว่าเ้าตระกละถึงเพียงนี้ ถึงขนาดปีนขึ้นไปกินลิ้นจี่บนยอดไม้ ดูสิ น้ำลิ้นจี่เลอะเทอะเต็มปากเ้าแล้ว"
เขากำลังเอ่ยหยอกเย้านาง แววตาที่มองก็ล้ำลึกราวมหาสมุทร ไป๋เยว่ซินที่เห็นเช่นนั้นก็รีบผละออกมากจากชายหนุ่ม พร้อมกับทำท่าทีปัดกระโปรงตนเพื่อแก้เก้อ
หยางซีไม่ได้ดึงดันจะอุ้มนางอีก ก่อนหน้านี้เขาเห็นว่านางออกมาเดินเล่นเพียงลำพัง จึงตามมา ผู้ใดจะรู้ว่าอดีตองค์หญิงใหญ่ผู้สูงส่งกลับกำลังปีนขึ้นไปบนปลายยอดต้นลิ้นจี่อย่างเอาเป็เอาตาย
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นนางทำเื่เช่นนี้ยามที่นางปลอมตัวเป็บุรุษก็กินดื่มเที่ยวเล่นจนติดเป็นิสัย ทั้งปีนกำแพงวังหลวง ปีนต้นไม้ ไปเที่ยวหอนางโลมเพราะความอยากรู้อยากเห็นนางก็ทำมาแล้ว
แต่ยามนี้มันกลับดูน่ารักน่าชังกว่าแต่ก่อนเสียอีก
ไป๋เยว่ซินไม่อยากจะอยู่ใกล้ๆหยางซีนานจึงรีบเอ่ยกับเขาทันที
"ขอบคุณใต้เท้าหยางมากเ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน"
หยางซียกยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ๆนาง พลางเอ่ยถาม
"แม่นางไป๋ชอบกินลิ้นจี่หรือ หืม?"
หยางซียื่นหน้าเข้ามาใกล้ไป๋เยว่ซินจนนางได้กลิ่นหอมสุราอ่อนๆจากกายของเขา นางย่นหัวคิ้วพลางถอยหลังไปสองก้าว หญิงสาวรีบเก็บลิ้นจี่ใส่กระบุง ก่อนจะยกมันขึ้นมา แต่นางกลับยกไม่ขึ้นเพราะมันหนักเกินไป จึงคิดจะไปตามพี่ชายมาช่วย แต่ยังไม่ทันได้ทำเช่นนั้น หยางซีก็เป็คนยกกระบุงนั้นไปเสียแล้ว
ไป๋เยว่ซินยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ หยางซีนี่เป็คนเช่นไรกัน หรือเขาเกิดชอบเ้าของร่างนี้จึงมาตามตอแยอย่างนั้นหรือ
นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าเขาจะเป็พวกผู้ชายเ้าชู้เช่นนี้
หยางซีมีหรือจะมองไม่ออกถึงความคิดของไป๋เยว่ซิน แต่เขากลับทำเป็ไม่รู้ไม่เห็น
"นำทางสิ ข้าจะไปส่ง"
ไป๋เยว่ซินอยากจะปฏิเสธ แต่ยามนี้นางไม่มีปัญญาแบกกระบุงลิ้นจี่นี่กลับไปได้ จึงต้องยอมตามน้ำไป นางพาเขาเดินมาจนถึงแปลงผักแต่เมื่อมาถึงกลับไม่พบใครสักคน นางขมวดคิ้วมุ่นพลางเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย
"พวกเขาไปที่ใดกัน หรือว่ากลับบ้านไปหมดแล้ว อย่างนั้นข้าจะเอาลิ้นจี่กลับไปเช่นไรเล่า?"
"ข้าไปส่ง นำทางเถอะ"
ไป๋เยว่ซินหันมามองหยางซีคราหนึ่งด้วยความอึดอัด ก่อนจะพยักหน้าให้เขาอย่างจนใจ
ช่างเถอะ ก็แค่ไปส่งที่บ้านมีอันใดน่ากระอักกระอ่วนใจกันเล่า
ระหว่างทางคนทั้งสองไม่ได้เอ่ยสนทนาอันใดกันแม้เพียงครึ่งประโยค หยางซีมองออกว่าไป๋เยว่ซินพยายามหลีกเลี่ยงการสนทนากับเขา นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจว่านางคือิจูจริงๆ
หากเป็ไป๋เยว่ซินคนเก่าคงแสดงท่าทีเขินอายไปนานแล้ว แต่นี่นอกจากนางจะไม่เขินอายแล้ว ยังทำท่าทางราวกับเขาจะไปเผาบ้านนางเสียอย่างนั้น
เมื่อเข้ามาในหมู่บ้านผู้คนก็จับจ้องพวกนางเป็ตาเดียว ไป๋เยว่ซินรีบเดินเพราะอยากให้ถึงบ้านเร็วๆ เดินอยู่นานในที่สุดก็มาถึงเสียที นางรีบเดินเข้าไปในลานบ้าน ก่อนจะยกมือขึ้นเท้าสะเอวพลางเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ
"ท่านพ่อ ท่านลุงใหญ่ พี่ใหญ่ พวกท่านทิ้งข้า ข้าไปเก็บลิ้นจี่เพียงครู่เดียวกลับมาก็ไม่เห็นพวกท่านแล้ว!"
คนทั้งหมดรับหันขวับมามอง ก่อนจะพบว่าไป๋เยว่ซินเพิ่งกลับมาถึงบ้าน ไป๋จงเองก็ใไม่น้อย
"เยว่เอ๋อร์ เ้าไปที่ใดมากัน พ่อคิดว่าเ้าไปเดินเล่นในตลาดพร้อมพี่สาวเ้าเสีกอีก อ้าว แล้วนั่นคือผู้ใดกัน เ้าพาบุรุษจากที่ไหนมาบ้านเรากัน?"
ทุกคนต่างมองไปที่หยางซีเป็ตาเดียว ในขณะที่บรรยากาศเริ่มจะอึดอัดเข้าไปทุกขณะ อยู่ๆไป๋เซียงก็กลับมาจากตลาดพอดี เมื่อนางเห็นหยางซีก็รีบเข้าไปทำความเคารพเขา ก่อนจะหันไปเอ่ยกับทุกคนในบ้าน
"นี่คือใต้เท้าหยางคนนั้นที่ช่วยข้าและน้องเล็กเอาไว้เ้าค่ะ ว่าแต่เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?"
ไป๋เยว่ซินรีบเอ่ยตอบตัดบทอย่างรวดเร็ว
“เขาช่วยข้าแบกลิ้นจี่กลับมา”
“ตายแล้ว น้องเล็ก เ้าใช้ไต้เท้าหยางส่งเดชได้อย่างไรกัน!”
ไป๋เซียงเอ่ยขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนก ไป๋เยว่ซินกลับหลอกตาไปมาด้วยความเหนื่อยหน่าย ผู้ใดใช้เขาส่งเดชกัน เขาเต็มใจทำเองต่างหากจะมาโทษนางได้อย่างไร
ด้านคนในตระกูลไป๋เมื่อได้ยินว่าหยางซีคือผู้มีพระคุณ ก็มีท่าทีนอบน้อมต่อเขาเป็อย่างมาก อีกทั้งยังหาน้ำมาให้เขาดื่มและเอาผลไม้ที่พอจะมีติดบ้านออกมารับรองเขา หยางซีเองก็ไม่รังเกียจ
ไป๋เยว่ซินมองดูหยางซีนั่งสนทนาพูดคุยกับครอบครัวนางอยางไม่ถือตนก็ขมวดคิ้วมุ่นคราหนึ่ง
เหมือนหยางซีจะดูแปลกไป แต่แปลกอย่างไรนางก็บอกไม่ถูก
หยางซีอยู่กินมื้อเย็นที่บ้านของนาง คนที่บ้านนางชอบเขามาก ยิ่งรู้ว่าเขาเป็แม่ทัพก็ยิ่งเกรงอกเกรงใจมากกว่าเดิม
เวลาล่วงเลยมาจนพระอาทิตย์ลาลับ ท้องฟ้าถูกอาบย้อมด้วยสีดำ หยางซีจึงขอตัวกลับ ไป๋เยว่ซินเป็คนเดินมาส่งเขาที่หน้าประตูบ้าน ตอนที่เดินออกมาจากในบ้าน นางก็ยื่นลิ้นจี่ให้เขาจำนวนหนึ่ง
"ให้ท่าน วันนี้ขอบคุณมาก"
หยางซีมองดูสาวน้อยที่ยื่นลิ้นจี่มาตรงหน้าตนคราหนึ่ง ก่อนจะรับมันมาถือเอาไว้
ในขณะที่กำลังจะหันหลังเดินจากไปก็ได้ยินนางเอ่ยกับเขาด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน
"หากไม่จำเป็ ท่านอย่ามาที่นี่อีก และไม่ต้องให้คนของท่านนำของมีค่าอันใดมาให้ครอบครัวข้าอีก ท่านและข้าสถานะเราสองคนแตกต่างกัน ข้าไม่อยากถูกผู้คนกล่าวหาว่าไม่เจียมตน"
เอ่ยจบนางก็เดินกลับเข้าบ้านไปโดยไม่หันกลับมามองเขาอีก หยางซีไม่เอ่ยอันใดเพียงเดินจากไปเงียบๆ
ไป๋เยว่ซินชะงักฝีเท้า นางหันกลับไปมองยังประตูบ้าน อยู่ๆในใจพลันรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ดูเหมือนว่าก้อนเนื้อใต้หน้าอกของนาง กำลังส่งเสียงร่ำไห้ด้วยความเ็ปอย่างไรอย่างนั้น