ลั่วหยิ่งก้าวขึ้นมากล่าวว่า “หากว่าด้วยความแตกฉานเื่พิษแล้ว ย่อมไม่พ้นเซียนพิษฮวาเมิ่งหยิ่งแห่งหุบเขาไป่ฮวา ได้ยินมาว่าสามปีก่อนเสวี่ยะเฟย[1]แห่งเมืองหลวงต้องพิษประหลาด เหล่าหมอหลวงล้วนไม่มีวิธีการรักษา ต่อมาเป็จิงเทียนไท่จื่อที่เดินทางมาขอยาถอนพิษถึงหุบเขาไป่ฮวาด้วยตัวเอง เสวี่ยะเฟยจึงหายดี! แต่ยังได้ยินมาอีกว่า ฮวาเมิ่งหยิ่งเป็คนนิสัยประหลาดอย่างยิ่งยวด ไม่ว่าทำเื่ใดล้วนทำตามที่ตนเองชอบเท่านั้น หากเป็คนที่เขาชมชอบ เขามอบเงินให้พันตำลึงโดยไม่กะพริบตา หากเป็คนที่เขาไม่ชอบต่อให้โขกศีรษะให้เขาจนหัวแตก ตายต่อหน้าเขาก็ไม่ช่วยชีวิต!”
เฟิ่งเฉี่ยน “แต่ขอเพียงเป็มนุษย์ ย่อมต้องมีจุดอ่อน”
เซวียนหยวนเช่อ “แต่ขอเพียงเป็มนุษย์ ย่อมต้องมีจุดอ่อน”
ทันทีที่เอยออกไป คนทั้งสองมองตากันอย่างประหลาดใจ
ลั่วหยิ่งตะลึงงันเช่นกัน คิดไม่ถึงว่าฝ่าาและฮองเฮาจะใจตรงกันเช่นนี้ พูดประโยคเดียวกัน
“ฝ่าา ฮองเฮา พวกท่านตรัสถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ! เซียนพิษท่านนี้มีจุดอ่อนที่ปลิดชีวิตได้จริงๆ...เขาเป็จะกละตัวฉกาจ! อาหารที่ชอบกินที่สุดก็คือ...หมูสามชั้นซอสน้ำแดงพ่ะย่ะค่ะ!”
เฟิ่งเฉี่ยนตกตะลึง องคาพยพทั้งห้าบนใบหน้าจึงกระตุก ในใจหัวเราะงอหงาย นางไม่ได้ฟังผิดกระมัง นี่มันบังเอิญเกินไปแล้ว! นางทำอาหารเป็เพียงสองอย่าง ข้าวผัดไข่และหมูสามชั้นซอสน้ำแดง คิดไม่ถึงว่าจะตรงกันพอดี
เซวียนหยวนเช่อััได้ถึงสีหน้าท่าทางของนางที่เปลี่ยนไป เขาเลิกคิ้ว “เ้าทำหมูสามชั้นซอสน้ำแดงเป็หรือ”
เฟิ่งเฉี่ยนหัวเราะ “ทำน่ะทำเป็ แต่ข้าต้องใช้เชื้อไฟจุดิญญาและเนื้อของหมูเทพ!”
เซวียนหยวนเช่อลุกขึ้นทันใด “เื่นี้รอช้าไม่ได้ เ้ารีบตามเจิ้นไปป่าหมอกดำสักเที่ยว!”
“ป่าหมอกดำหรือ” เฟิ่งเฉี่ยนไม่เข้าใจ
ลั่วหยิ่งอธิบายแทนว่า “ในป่าหมอกดำไม่เพียงมีหมูเทพ ยังมีเชื้อไฟจุดิญญา สิ่งที่ท่าน้าล้วนหาได้ที่นั่น”
เฟิ่งเฉี่ยนพยักหน้า “เช่นนั้นพวกท่านรีบไปรีบกลับ ข้าจะรอพวกท่านอยู่ที่นี่”
อาการป่วยของนางยังไม่หายดี นางยังอยากจะพักฟื้นร่างกายให้ดี
“ไม่ได้ เ้าต้องไปด้วย!” ไม่ให้โอกาสปฏิเสธแม้แต่น้อย
เฟิ่งเฉี่ยนพูดอย่างไม่พอใจ “ข้าป่วยจนเป็เช่นนี้แล้ว ท่านยังให้ข้าไปอีกหรือ ยังมีความเป็คนอยู่หรือไม่”
เซวียนหยวนเช่อหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา
ลั่วหยิ่งมองซ้ายทีขวาทีแล้วอธิบายว่า “เหนียงเหนียง ท่านเข้าใจฝ่าาผิดแล้ว! ระยะทางไปป่าหมอกดำห่างจากที่นี่ประมาณหนึ่งวัน จากป่าหมอกดำมาถึงหุบเขาไป่ฮวายังต้องใช้เวลาอีกหนึ่งวัน หากพวกเรากลับมาจากป่าหมอกดำเพื่อรับฮองเฮา เกรงว่าจะเสียเวลาในการรักษาไท่ฟู่”
เฟิ่งเฉี่ยนกระจ่างแจ้งทันที “ที่แท้เป็เช่นนี้ พูดแต่แรกสิ!”
รู้จักแต่ทำหน้าบึงหน้าตึงทั้งวี่ทั้งวัน ไม่ยอมอธิบายให้ชัดเจน ใครจะรู้เล่าว่าท่านเจตนากลั่นแกล้งข้าให้ทุกข์ทรมานหรือไม่
เซวียนหยวนเช่อแค่นเสียงร้องฮึ จากนั้นเดินออกไปจากห้อง
รอเมื่อสองนายบ่าวออกไปจากห้อง มู่ชิงเซียวก็มาถึง ใบหน้าคมสันของเขาเปี่ยมไปด้วยความละอายใจ
“แม่นางเฟิง ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้ปกป้องเ้าให้ดี”
เฟิ่งเฉี่ยนรู้สึกอุ่นใจ นางพูดกับเขาว่า “คุณชายมู่ พวกเราเป็สหายกัน ข้ารู้ว่าท่านได้พยายามเต็มกำลังแล้ว ต่อไปอย่าเอ่ยวาจาราวกับเป็คนอื่นคนไกลเช่นนั้นอีก นอกจากท่านไม่เห็นข้าเป็สหายของท่าน”
มู่ชิงเซียวหัวเราะ “ในเมื่อเป็สหาย ต่อไปท่านอย่าได้เรียกข้าว่าคุณชายมู่อีกเลย ท่านเรียกชื่อของข้าตรงๆ เถิด!
“เช่นนั้นไม่ดีกระมัง ท่านาุโกว่าข้า งั้นข้าเรียกท่านว่า พี่ใหญ่มู่ ก็แล้วกัน ท่านเรียกชื่อของข้าได้ เฉียนเฉี่ยน” เฟิ่งเฉี่ยนพูด
มู่ชิงเซียวยิ้มอบอุ่น “ได้ เฉียนเฉี่ยน”
ด้านนอกประตูจวนสกุลมู่ เฟิ่งเฉี่ยนติดตามเซวียนหยวนเช่อขึ้นรถม้าออกไป เพื่อสะดวกในการทำงาน พวกเขาเปลี่ยนรถม้าเป็รถม้าธรรมดาสามัญคันหนึ่ง นอกจากลั่วหยิ่งแล้วยังมีองครักษ์อีกหกนายติดตามคุ้มกัน
มู่ฮูหยินและมู่ชิงเซียวเป็ตัวแทนของครอบครัวสกุลมู่ออกมาส่งเสด็จ
“เพื่ออาการป่วยของท่านพ่อ ทำให้ฝ่าาต้องออกเดินทางไปทั่ว ช่างละอายใจจริงๆ เพคะ! พระมหากรุณาธิคุณที่ฝ่าาทรงมีต่อสุกลมู่ สกุลมู่จดจำเอาไว้ในใจแล้วเพคะ วันหน้าจะต้องตอบแทนแผ่นดิน ตอบแทนฝ่าาเพคะ!” มู่ฮูหยินประสานมือเป็หมัดด้วยความตั้งใจแน่วแน่
เซวียนหยวนเช่อโบกมือ “ดูแลไท่ฟู่ให้ดี รอเจิ้นกลับมา”
มู่ฮูหยินถวายพระพรอีกครั้ง มองออกถึงความซาบซึ้งใจจริงๆ
รถม้ากำลังจะเคลื่อนตัว มู่ชิงเซียวก้าวเข้ามามอบห่อสัมภาระให้เฟิ่งเฉี่ยนสองห่อ เขาพูดยิ้มๆ “เฉียนเฉี่ยน ข้างในเป็ของว่างที่ข้าไปเดินทางนับพันลี้เพื่อซื้อมา ไม่รู้ว่าจะถูกปากเ้าหรือไม่ ระยะทางแสนไกล เ้าต้องระวังสุขภาพ ข้างในยังมีเสื้อคลุมกันลมหนังสุนัขจิ้งจอก เอาไปใส่กันหนาวได้!”
เฟิ่งเฉี่ยนรับมาอย่างยินดี ทั้งยังยิ้มตอบ “ขอบคุณพี่ใหญ่มู่!”
มู่ฮูหยินขมวดคิ้วไอแค่กๆ รีบก้าวเข้าไปคั่นกลางระหว่างคนทั้งสอง “เวลาไม่เช้าแล้ว ฝ่าายังต้องเร่งเดินทางอีก!”
รถม้าค่อยๆ วิ่งห่างออกไปไกล เฟิ่งเฉี่ยนฟุบร่างกับขอบหน้าต่าง โบกมืออำลามู่ชิงเซียว กระทั่งมองไม่เห็นแล้วนางจึงหันหน้ากลับไปก้มหน้าก้มตาแกะห่อสัมภาระออกดู
หนึ่งในห่อสัมภาระเป็เสื้อคลุมกันลมหนังจิ้งจอกสีม่วงอ่อน สีอ่อน รูปแบบเรียบง่าย ตรงใจนาง ห่อสัมภาระอีกห่อหนึ่งใส่ของว่างหลากหลายสีสันมา ทันที่ที่เห็นก็ทำให้คนเจริญอาหารขึ้นมา...
“พี่ใหญ่มู่ใส่ใจยิ่งนัก คิดการรอบคอบ!” พูดจางึมงำพร้อมกับหยิบของว่างชิ้นหนึ่งส่งเข้าปาก ของว่างละลายทันทีที่เข้าปาก รสชาติอร่อยที่สุด!
พลันรับรู้ได้ถึงบรรยากาศรอบข้างที่เยียบเย็นลง รังสีเย็นวาบลอยขึ้นมาเหนือศีรษะ นางเงยหน้ามองไปประสานสายตากับดวงตาเ็าของเซวียนหยวนเช่อ ในใจนางพลันสะดุด ทำไมเล่า หรือนางทำผิดอะไรใช่หรือไม่
“แค่กๆ ท่านจะลองดูสักชิ้นหรือไม่”
นางยื่นของว่างชิ้นหนึ่งให้เขา เซวียนหยวนเช่อไม่ขยับ ได้แต่มองนางเฉยๆ น้ำเสียงตักเตือนดังขึ้น “เจิ้นขอเตือนเ้า ให้ระมัดระวังฐานะของตนเอง!”
เฟิ่งเฉี่ยนงุนงง ทว่าแจ่มแจ้งขึ้นมาทันใดเช่นกัน นางพูดด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “พี่ใหญ่มู่เป็สหายของข้า พวกเราไม่ได้ทำเื่ที่พบหน้าผู้คนไม่ได้ ข้าไม่ระวังฐานะของตนเองอย่างไรกัน”
เซวียนหยวนเช่อหัวเราะเสียงเย็น “เ้าแน่ใจว่าเขาคิดอย่างนี้เหมือนกัน”
“แน่นอน!” เฟิ่งเฉี่ยนพูด “หรือท่านคิดว่าเขาชอบข้าหรือ จะเป็ไปได้อย่างไรกัน คนแบบข้าถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องอยู่ลำพังโดดเดี่ยวจนชรา!”
แววตาของนางหม่นวูบลง ตอนนางอายุสิบขวบก็กลายเป็มือสังหารอาชีพคนหนึ่ง ในชีวิตของนางนอกจากสังหารคนแล้วก็ยังคงเดินอยู่บนเส้นทางของการสังหารคน ดังนั้นแต่ไรมานางไม่เคยใคร่ครวญเื่ความรัก และไม่เชื่อว่าจะมีคนมาชมชอบมือสังหารคนหนึ่ง นางรู้สึกว่าตนเองจะอยู่คนเดียวจนแก่ชรามาโดยตลอด แต่ยังดีที่มีศิษย์พี่ที่อยู่ลำพังคนเดียวเป็เพื่อนนาง
ั์ตาเ็าของเซวียนหยวนเช่อคมปลาบขึ้นเล็กน้อย ทั้งๆ ที่เมื่อสักครู่เห็นความเ็ปพาดผ่านดวงตาของนางแท้ๆ เขามองประเมินนาง ราวกับตั้งใจอ่านนางให้ทะลุปรุโปร่ง แต่มองอย่างไรก็มองไม่ออก
“เจิ้นขอเตือนเ้าอีกครั้ง เ้าเป็ฮองเฮา อย่าได้ทำร้ายผู้อื่นและทำร้ายตนเอง!”
เฟิ่งเฉี่ยนไม่พอใจแล้ว นางโต้แย้งกลับไป “เวลาตัวท่านเองเด็ดดอกไม้ใบหญ้ามาดอมดม ไฉนจึงไม่ใคร่ครวญเสียบ้าง ข้าเพียงแค่คบหาสหายคนหนึ่ง ท่านก็เตือนนี่เตือนนั่น ท่านจะเผด็จการเกินไปแล้วนะ! ก่อนที่ท่านจะเรียกร้องอะไรจากผู้อื่น ลำดับแรกตัวท่านต้องทำให้ได้ก่อน!”
พูดจบแล้วนางพลันรู้สึกได้ถึงความกดข่มจากูเาไท่ซานที่พุ่งตรงเข้าหานาง ราวกับ้าบดขยี้นางจนแหลกเหลว!
เงยหน้าขึ้นประสานสายตากับแววตานิ่งลึกมองไม่เห็นก้นบ่ออันน่าสะพรึงกลัวของเขา นางเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็ฮ่องเต้ของใต้หล้า มีอำนาจสั่งเป็สั่งตายอยู่ในมือ เขา้าสังหารนางย่อมเป็เื่ง่ายราวกับบี้มดตัวหนึ่ง
เมื่อคิดอย่างละเอียด ที่จริงแล้วเขาปฏิบัติต่อนางนับว่าโอนอ่อนผ่อนตามแล้ว และเป็เพราะสาเหตุนี้ จึงทำให้นางค่อยๆ ลืมฐานะของเขา ลืมไปว่าเขาสามารถเอาชีวิตของตนเองได้!
นางไอแค่กๆ ราวกับ้าคลี่คลายบรรยากาศอันตึงเครียดนี้ โลกในยุคสมัยโบราณของนางยังไม่ได้เริ่มขึ้นเลย ก็จะจบลงด้วยเหตุนี้
สตรียืดได้หดได้
กำหมัด!
[1] เฟย หมายถึง ตำแหน่งพระชายาในองค์จักรพรรดิ สามารถมีได้สี่คน