ป้านีคิดด้วยความรู้สึกที่เบาใจขึ้นก่อนจะยื่นรอให้เด็กสาวเดินลงมายังจุดเดิม...
‘ป้านีค่ะ’ (o_o) ฉันเรียกชื่อป้านีเบา ๆ ด้วยดวงตาที่เริ่มแดงก่ำเนื่องจากตนเองยังไม่หายใกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
‘ยังไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น ป่ะ...เราไปคุยกันที่บ้านป้าดีกว่านะ’ ป้านีรีบเข้ามาโอบกอดฉันหลังจากเห็นหน้าที่ซีดเผือดพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำของฉัน
จากนั้นป้านีก็พาฉันเดินออกมาจากบ้านเพื่อไปที่บ้านของท่านทันที โดยเมื่อเราสองคนออกมาก็พบเข้ากับพี่รามที่ยืนคอยชะเง้อคอมองรออยู่ที่หน้าด้วยความเป็ห่วงอยู่นานแล้ว
และทันทีที่พี่รามเห็นฉันถือถุงเสื้อผ้ากับข้าวของออกมาด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เขาก็รีบกุลีกุจอเข้ามาช่วยถือของทันที ก่อนจะเดินมากระซิบกระซาบที่ด้านข้างป้านีด้วยความอยากรู้
‘เป็ไงบ้างครับป้า มันทำอะไรน้องลินหรือเปล่า ผมนี่ตั้งใจว่าถ้าหากป้ายังไม่ออกมาอีกแค่นาทีเดียวนะ ผมจะบุกเข้าไปแล้วเนี้ย’ พี่รามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างไม่คิดจะล้อเล่น
ส่วนป้านีที่ได้แต่ส่งสายตาเอ็ดให้พี่รามกลับไป เนื่องจากท่านกลัวว่าฉันจะรู้สึกอึดอัดใจ เพราะเพิ่งเจอกับเหตุการณ์ไม่ดีมาเมื่อครู่นี้อยู่
เมื่อเราสามคนเดินมาจนถึงบ้านป้านี ป้านีก็ได้บอกให้พี่รามเอาเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ของฉันไปเก็บไว้ยังห้องที่ท่านเตรียมเอาไว้ให้พี่รามก่อนหน้านี้ โดยป้านีท่านได้ให้พี่รามออกมานอนกลางบ้านแทนและยกห้องนั้นให้ฉันนอนไปก่อน
‘ไม่เป็ไรค่ะป้านี ให้พี่รามนอนห้องของพี่รามเหมือนเดิมเถอะค่ะ เดี๋ยวลินนอนกลางบ้านเอง’ ฉันรีบละล่ำละลักบอกสองป้าหลานด้วยความเกรงใจ
‘ได้ยังไงล่ะ พี่เป็ผู้ชายพี่นอนข้างนอกแหละดีแล้ว อีกอย่างจะได้คอยดูเื่ความปลอดภัยด้วย’ พี่รามที่โพล่งขึ้นมาทันที ด้วยกลัวว่าฉันจะลำบากใจ
‘นั่นซิหนูลิน นอนห้องเก่าตารามไปก่อนนั่นแหละ อีกอย่างป้าก็ยังมีห้องอีกห้องหนึ่งเพียงแต่แค่ยังไม่ได้ปัดกวาดเช็ดฝุ่นเลย ยังไงคืนนี้ก็นอนที่นี่ก่อนนะเชื่อป้าเถอะ อีกอย่างเราคนกันเองทั้งนั้นอย่าคิดมาเลยลูก’ ป้านีที่รีบตอบกลับด้วยความรวดเร็วไม่แพ้หลานชายของตน เพราะเมื่อเห็นทีท่าเด็กสาวตรงหน้าดูท่าจะเกรงใจเสียเหลือเกิน
‘แต่ว่า...’ ฉันที่หลุบตาต่ำลงเอ่ยพูดด้วยความกระอักกระอ่วนใจ
‘ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้นแหละจ้ะหนูลิน ไม่ต้องคิดอะไรมากนะ เรานี่ทำเป็อย่างกับไม่เคยมานอนบ้านป้าอย่างงั้นแหละ ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมแหละลูก ป้าเองก็ยังเหมือนเดิม เพราะฉะนั้นหนูก็กลับมาสดใสเหมือนเดิมได้แล้วนะ’ ป้านีที่เข้าใจถึงความรู้สึกของฉันดีได้เดินมากอบกุมมือน้อย ๆ ของฉันแล้วตบเบา ๆ ที่หลังมือด้วยความอบอุ่น พร้อมกับพูดคำพูดที่จี้มาที่ใจของฉัน
จากนั้นความรู้สึกอัดอั้นที่ถาโถมเข้ามาก่อนหน้านี้ ก็ได้แปรเปลี่ยนเป็หยาดน้ำสีใสให้ไหลออกมาอาบแก้มนวลอีกครั้ง
‘ฮึก ฮึก...ป้านี’ ฉันที่กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ถึงกับปล่อยโฮโผล่กอดป้านีด้วยความตื้นตันใจ พร้อมกับคิดย้อนไปถึงความคิดก่อนหน้านี้ของตัวเองที่ตอกย้ำว่าทุกอย่างมันเป็เพราะฉันเองที่ผลักไสทุกคนให้ออกไปจากชีวิต เพียงแค่คิดว่าตัวเองนั้นเข้มแข็งพอจนไม่้าให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจ ทั้งที่ความจริงแล้วทุกคนยังห่วงใยฉันเหมือนเดิมตลอดมา
‘ขอบคุณนะคะป้านี ฮึก ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ...ฮึก ฮึก’ ฉันกอดป้านีแน่นด้วยความรู้สึกโล่งหลังจากกำแพงแห่งความรู้สึกที่ฉันสร้างมาเพื่อกั้นตัวเองออกจากคนอื่นได้พังทลายลง อีกทั้งความรู้สึกเก่า ๆ มากมายเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านสูงวัยกับเด็กน้อยที่มีตลอดมาก็ได้ถาโถมจนทำให้หัวใจที่เหี่ยวแห้งไร้ที่พึ่งมาโดยตลอดได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ความอบอุ่นและความปรารถนาดีของป้านีนั้นช่างเปรียบเสมือนกับน้ำเย็นชุ่มฉ่ำที่บรรจงชโลมราดรดลงมาในวันที่หัวใจดวงนี้ของฉันกำลังจะเหี่ยวแห้งตาย
ป้านีกอดตอบฉันด้วยความอบอุ่นเช่นกัน ก่อนที่ใบหน้าของหญิงวัยกลางคนจะแย้มยิ้มขึ้นมาด้วยความรู้สึกดีใจที่ตัวเองนั้นได้คนที่เปรียบเสมือนหลานสาวกลับมา นั่นก็เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเธอที่รู้สึกถูกชะตาทั้งนึกรักและเอ็นดูเด็กน้อยมาั้แ่เล็กแต่น้อย นั่นจึงทำให้ทุกครั้งที่เธอเห็นความเ็ปที่ฉายออกมาจนกลบความสดใสที่เคยมีของเด็กสาวมาตลอดนั้น มันช่างทำให้เธอรู้สึกเศร้าและปวดใจ เพราะเธอเองก็รักและเอ็นดูสาวน้อยตรงหน้าเหมือนกับลูกหลานแท้ ๆ ไม่แพ้เ้ารามหลานชายแท้ ๆ ของตนเลย
‘พอๆๆ ไม่ต้องร้องแล้วนะลูก ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว เรามีแต่ต้องเดินหน้าเริ่มต้นใหม่ เอาเป็ว่าถ้าหนูลินอยากจะอยู่นานเท่าไรก็ได้เลยนะลูก ดีซะอีกป้าจะได้ไม่ต้องเหงา’ ป้านีที่พูดพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลซึมออกมาที่หางตาของตนเอง ก่อนที่แกจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วชวนทุกคนไปกินข้าว
‘เอ้า...ป่ะ... ไปกินข้าวกินปลากันได้แล้ว’ ป้านีเดินนำไปที่โต๊ะอาหาร โดยที่มีฉันกับพี่รามเดินตามไป
บนโต๊ะอาหารแม้จะไม่มีการพูดคุยกันมากนัก แต่ทว่า...ฉันกลับรู้สึกถึงความอบอุ่นได้ในรอบหลายปี และความรู้สึกนี้ก็ทำให้ฉันได้ตกตะกอนความคิดใหม่ ฉันควรเลือกที่จะละทิ้งความทุกข์ในอดีต และเลือกที่จะเริ่มชีวิตใหม่เพื่อให้ตัวเองได้มีความสุขที่สุดได้แล้ว นั่นก็เพื่อชดเชยอะไรหลาย ๆ อย่างที่ผ่านมาก...
หลายสัปดาห์ผ่านไป ~~
ฉันที่แทบจะไม่ได้กลับไปเหยียบบ้านของตัวเองอีกเลยนับั้แ่วันนั้น จะมีเพียงก็แค่กลับไปเอาพวกหนังสือเรียน เสื้อผ้า ของใช้บางอย่างในตอนที่อดีตแม่เลี้ยงและชายชู้ไม่อยู่บ้าน
จวบจนกระทั่ง...เมื่อวันนี้ได้มาถึง...
มันเป็วันที่ทนายได้นัดเปิดพินัยกรรมที่พ่อของฉันท่านได้ทำเอาไว้และให้มาฟังกันที่บ้านของฉัน ฉันถึงได้กลับมาเหยียบบ้านหลังนี้อีกครั้ง ฉันที่แม้จะรู้สึกคิดถึงบ้านตัวเองอยู่บ้างแต่น่าแปลกที่เมื่อฉันได้กลับมานั่งที่นี่อีกครั้งหัวใจฉันมันกลับรู้สึกโหวงเหวงแปลก ๆ พิกล
รอไม่นานทนายก็ได้เปิดพินัยกรรมที่พ่อฉันเขียนเอาไว้ โดยเริ่มจากรายการทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่พ่อฉันยกให้ฉัน และถึงแม้ว่ามันจะไม่มากมายเท่าไรนัก แต่มันก็พอจะส่งฉันให้เรียนจบและใช้ชีวิตสบาย ๆ ไปได้อีกหลายปี...
‘อ่านผิดหรือเปล่าเนี้ยคุณทนาย ทำไมถึงไม่มีชื่อฉันอยู่ในรายการพวกนี้เลย’ อดีตแม่เลี้ยงของฉันออกอาการไม่พอใจเชิดปากพูดฉอดใส่ทนายทันที หลังจากได้รับรู้ว่าตนเองไม่ได้ในส่วนที่เป็เงินสดและทรัพย์สินเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างอื่นเลย
แต่ทว่า...ฉันเองก็ไม่ได้สนใจในคำพูดหรืออากัปกิริยาของคนตรงหน้า เพราะถึงยังไงในฐานะลูกฉันย่อมมีสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติของพ่อแม่ฉันมันก็ถูกต้องอยู่แล้ว
ฉันยังคงนั่งฟังทนายแถลงพินัยกรรมต่ออย่างเงียบ ๆ และทุกอย่างในพินัยกรรมก็ดูจะเป็ไปตามอย่างที่มันควรจะเป็ เพราะทุกอย่างที่ฉันควรได้ฉันก็ได้
จนกระทั่ง...เมื่อทุกอย่างที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร...แต่ทว่า...มันกลับเป็สิ่งเดียวที่ฉันตั้งใจฟังและลุ้นกับมันมากที่สุด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้