จะเกิดอะไรกับิ่จื้อรุ่ยได้ เขาไม่ไประรานผู้อื่นก็ดีเท่าไรแล้ว
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อกล่าวว่า "ไม่มีอะไร พวกเราลืมไปหมดแล้วล่ะ อย่างไรเสียมัจจุราชน้อยจอมอันธพาลแห่งเมืองหลวงผู้นี้ก็เป็ลูกศิษย์ของจวนพวกเ้า"
ซูเจี้ยนอันกล่าวแย้งเรียบๆ "หาใช่ลูกศิษย์ของจวนเรา แต่เป็ลูกศิษย์ของท่านอาสามของข้า ถึงอย่างไรก็อย่าว่าร้ายผู้อื่น เขาเป็เพียงเด็กสิบกว่าขวบ ตอนเ้าสิบกว่าขวบยังไม่แน่ว่าจะแข็งแรงสู้เขาได้"
บุรุษดวงตาดอกท้อยิ้มเยาะ "เขา..."
พอเห็นเด็กหญิงตัวอวบอ้วนจ้องตนเองตาแป๋ว สีหน้าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาก็ไม่พูดต่อ อมยิ้มกล่าวว่า "หากมีคนเรียกข้าว่าพี่ชาย ข้าถึงจะมีอารมณ์เล่าให้ฟังต่อ"
เฉียวเยว่แค่นเสียงหึ สะบัดหน้าหนี หันไปพูดกับซูเจี้ยนอัน "ข้าไม่เห็นอยากฟังสักนิด พี่ใหญ่ ท่านจะไม่ฟังข่าวจากข้าหน่อยหรือ"
นางยังไม่ลืมเื่นี้หรอกนะ
ซูเจี้ยนอันยิ้ม "ได้ เฉียวเยว่พูดให้พี่ใหญ่ฟังซิ เ้ามีสิ่งใดจะรายงาน?"
เฉียวเยว่ยิ้มพลางยักคิ้วหลิ่วตา "ท่านทายสิ"
คุณชายสองสามคนเห็นนางทำท่ามีเลศนัยก็ถอนหายใจ "เด็กบ้านของพวกเ้านี่เลี้ยงยากจริงๆ"
ซูเจี้ยนอันมีความอดทนกับเฉียวเยว่ค่อนข้างมาก เขาลูกศีรษะของซาลาเปาน้อย แล้วเอ่ยว่า "เฉียวเยว่บอกพี่ใหญ่ได้หรือไม่ พี่ใหญ่จะซื้อเนื้อให้กินด้วยนะ"
เฉียวเยว่ตอบทันควัน "พวกท่านมองเอียงไปทางองศาที่สี่สิบห้า คุณหนูหน้าตางดงามหลายคนรวมตัวอยู่ที่นั่น"
คราวนี้ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อที่ดวงตาแทบหลุดออกจากเบ้า นี่รวมไปถึงทุกคนในกลุ่มด้วย
เฉียวเยว่แสดงท่าบ่งบอกว่านี่ข้าเสียเปรียบพวกเ้าอยู่นะ แล้วเอ่ยว่า "ข้าอุตส่าห์หาข้ออ้างว่ามาตามหาฉีอันแล้วมาแจ้งข่าวให้กับพวกท่าน ข้าดีหรือไม่?"
หางตาของซูเจี้ยนอันขยับขึ้นลงด้วยความสงสัย
เขาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง "เ้าเด็กน้อยควรถูกตีก้นจริงๆ"
เฉียวเยว่รู้สึกไม่เป็ธรรม นางตอบอย่างจริงจัง "พี่ใหญ่ไม่รู้จักความดีของข้าสักนิด เหตุใดข้าไม่บอกพี่รอง ไม่บอกผู้อื่น ข้าทำทั้งหมดนี้ก็เพราะใคร่ครวญถึงท่านหรอกนะ ท่านเป็คนซื่อ ข้ากลัวว่าท่านจะหาภรรยาไม่ได้ พวกเขาแต่ละคนดูเฉียบคมกันทั้งนั้น พร้อมจะ่ชิงแม่นางที่ทั้งสะสวย และเฉลียวฉลาดไปอย่างง่ายดาย"
ซูเจี้ยนอันหน้าแดงเล็กน้อย เอ่ยว่า "อย่าพูดเหลวไหล"
เฉียวเยว่เข้ามากระซิบข้างหูเขา "ข้าดูมาแล้ว ข้ารู้จุดเด่นของพวกนางทุกคน ท่านพี่ดูรูปโฉมของพวกนางให้ดี ข้าจะแอบบอกท่านว่าพวกนางแต่ละคนมีอุปนิสัยอย่างไร"
ได้ยินนางยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ ซูเจี้ยนอันก็บีบจมูกน้อยๆ ของนาง "เด็กดี"
"ดูท่าคุณหนูเจ็ดคงจะมีเื่เด็ดเก็บไว้ให้พี่ซูเพียงคนเดียว" ท่านนี้คือซื่อจื่อน้อยแห่งจวนลู่อ๋อง เฉียวเยว่เคยพบเขามาแล้วครั้งหนึ่ง ในความทรงจำของนางคนผู้นี้ยังเป็หนุ่มแท้ๆ แต่ดูมืดมนอึมครึมชอบกล มักทำให้คนรู้สึกว่าคบหาด้วยยาก
เฉียวเยว่ตอบเสียงดังฟังชัด "ข้าช่วยพี่ชายคิดหาวิธีแต่งภรรยาอยู่นะ"
ซื่อจื่อน้อยแค่นเสียงหึพ่นออกทางจมูก เอ่ยว่า "แม่หนูน้อยอย่างเ้าจะออกความคิดอะไรได้"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อหัวเราะเอ่ย "เหล่าสิง เ้าไม่รู้อันใด เด็กน้อยคนนี้ก็เหมือนกับนกสี่เชว่ [1] ในตำนานหนุ่มเลี้ยงวัวกับสาวทอผ้านั่นไง มีประโยชน์มากมายทีเดียว"
ไม่รู้ทำไมเฉียวเยว่ถึงรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ไม่น่าฟัง
ดวงหน้าน้อยทำสีหน้าเคร่งขรึม "เ้าสิเป็นก ครอบครัวของเ้าล้วนเป็นกกันทั้งบ้านเลย"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อตกตะลึง ก่อนหัวเราะออกมา "โอ้ เด็กน้อยของบ้านเ้านี่คิดลึกจริงๆ"
"ยิ่งไปกว่านั้น พี่ใหญ่ของข้าไม่น่าสงสารเหมือนหนุ่มเลี้ยงวัวเสียหน่อย" นางจ้องชายหนุ่มดวงตาดอกท้ออย่างไม่พอใจ "พี่ใหญ่ของข้าจะแต่งงานกับสตรีที่งดงามที่สุดในใต้หล้า"
ซูเจี้ยนอันลูบศีรษะเด็กหญิงตัวน้อย "เฉียวเยว่เด็กดี เวลาพูดกับผู้ใหญ่ต้องรู้จักมีมารยาท เข้าใจหรือไม่?"
เฉียวเยว่เข้าใจพี่ใหญ่ของนาง จึงกล่าวทันที "ขออภัยเ้าค่ะ ท่านลุง คราวหน้าข้าจะไม่เถียงท่านอีกแล้ว"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อ "..."
เฉียวเยว่ยิ้มถามว่า "พี่ชาย พวกท่านกำลังคุยอะไรกันอยู่หรือ?"
"พวกเขาคุยแต่เื่โคลงกลอนบทกวี น่าเบื่อที่สุด" ฉีอันยื่นมือออกไป "พี่ชายอุ้มข้า"
เขายังไม่ละทิ้งความคิดนี้
ซูเจี้ยนอันตัดสินใจอุ้มเด็กทั้งสองพร้อมกัน แต่พอลองดูแล้วก็พบว่า เขาอุ้มเด็กอ้วนสองคนไม่ไหวจริงๆ จึงกล่าวว่า "เฉียวเยว่จูงน้องชายได้หรือไม่"
เฉียวเยว่ตอบอย่างเชื่อฟัง "ได้"
นางจูงฉีอันยืนขึ้น ถามว่า "พวกเ้าล้วนศึกษาที่กั๋วจื่อเจียนกันหมดเลยหรือ
ท่าทางอยากรู้อยากเห็นมาก
ซื่อจื่อน้อยตอบ "ก็แน่อยู่แล้ว หากกั๋วจื่อเจียนยังสอบไม่ติด ก็ไม่รู้จะไปทำสิ่งใดได้อีก"
เฉียวเยว่พูดต่อทันที "เอาไว้ข้าสิบขวบเมื่อไร จะไปศึกษาที่กั๋วจื่อเจียน ข้าจะต้องกลายเป็เด็กฉลาดที่สุด และเป็จ้วงหยวนหญิง [2] ด้วย"
"อื้อหือ เด็กน้อยคนนี้มีความคิดมากมายทีเดียว แต่เ้าจะไหวหรือ" ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อเอ่ยถาม
เฉียวเยว่แสดงท่าว่าแน่นอนอยู่แล้ว "บิดาข้าเฉลียวฉลาดหรือไม่"
ชายหนุ่มดวงตาดอกท้อจริงจังขึ้นมาทันที "อาจารย์ซูมีวิชาความรู้กว้างขวาง ทำให้ข้าเคารพเลื่อมใส"
เฉียวเยว่กวาดมองโดยรอบ แล้วถามอีกว่า "แล้วพี่สาวของข้าเฉลียวฉลาดหรือไม่"
มีคนพูดต่อ "คุณหนูห้าสกุลซูปราดเปรื่องมากความสามารถเป็ที่กล่าวขวัญในเมืองหลวง"
เฉียวเยว่ยิ้มออกมา "ตระกูลของพวกเราล้วนมีแต่คนที่มากความรู้ความสามารถ แล้วพวกท่านยังสงสัยสติปัญญาของข้าอยู่อีกหรือ?"
นี่...
เมื่อไตร่ตรองอย่างถ้วนถี่ ก็ไม่มีปัญหาจริงๆ เพียงแต่เหตุผลแบบนี้ ฟังอย่างไรก็เป็ตรรกะวิบัติชัดๆ
"เมื่อสติปัญญาของข้าไม่มีปัญหา เช่นนั้นข้าย่อมสามารถเป็จ้วงหยวนหญิงได้"
"ข้าเป็ด้วย ข้าเป็ด้วย พวกเราจะเป็จ้วงหยวนด้วยกัน" ฉีอันะโโลดเต้น
"แม่หนูน้อย เ้ารู้หรือไม่ ดูเหมือนว่าสตรีไม่อาจเข้าร่วมการสอบเคอจวี่ได้ พี่สาวเ้าหรือแม้แต่ตัวเ้าเองจะเก่งกล้าสามารถเพียงใด ก็เป็เพียงสตรี"
เฉียวเยว่หัวเราะเยาะ สะกิดฉีอันทีหนึ่ง
ฉีอันก้าวไปข้างหน้าแล้วก็ยืนโพสต์ท่านิ่ง เฉียวเยว่เข้ามาเสริมอีกคน หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดพร้อมกัน "ใครว่าสตรีด้อยกว่าบุรุษ"
"พรืด"
เสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่ว
ซูเจี้ยนอันเห็นเด็กน้อยร่าเริงสองคนดูท่าจะไม่ยอมจบจริงๆ ก็เป็ห่วงว่าถ้าเป็เช่นนี้ต่อไป เฉียวเยว่ของพวกเขาจะแต่งไม่ออก จึงพยายามเกลี้ยกล่อมนาง "เฉียวเยว่พาฉีอันไปเล่นทางฝั่งของิเยว่ดีหรือไม่ ทางนี้เป็สระน้ำ พี่ชายไม่วางใจ"
เฉียวเยว่ทำท่าสงสัย "ไม่วางใจอันใดหรือ ข้าไม่เป็ไร ข้าจูงฉีอันอยู่ ไม่มีปัญหาแน่นอน"
ซูเจี้ยนอันพูดอีกว่า "ทางนี้มีแต่บุรุษ เ้าเพิ่งพูดเองมิใช่หรือว่าบุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิด เ้าอยู่ตรงนี้ พี่ชายย่อมไม่อาจวางใจ ทางนี้คนไม่ดีเยอะ จะสอนให้เ้าเสียคนเปล่าๆ ไปเล่นตรงโน้นดีหรือไม่?"
เฉียวเยว่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้าอย่างจริงจัง "เช่นนั้นข้าจะพาฉีอันกลับไปหาท่านย่าแล้วกัน"
ซูเจี้ยนอันคลางแคลงใจ แต่ไม่กล้าต่อความกับญาติผู้น้องคนนี้ เอาแน่ไม่ได้จริงๆ ว่านางจะเอ่ยสิ่งใดออกมาบ้าง
"ได้ กลับไปกันดีๆ นะ"
เฉียวเยว่พยักหน้าอย่างหนักแน่น ตอบอื้อ แล้วจูงฉีอันจากไป
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเด็กน้อยสองคนกลับมาหาตนเอง ก็ร้องทัก "มาหาย่าตรงนี้ เป็อย่างไรเหนื่อยแล้วหรือ?"
เฉียวเยว่ตอบอย่างซื่อตรง "หิวแล้วเ้าค่ะ"
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มไปถึงดวงตา "เด็กดี ย่าลืมไปสนิทว่าต้องเตรียมขนมให้เ้า อาหมัว พาคุณหนูเจ็ดกับคุณชายน้อยไปโถงชั้นใน"
หลังกินมื้อเที่ยงอิ่มก็นอนกลางวัน เฉียวเยว่คุ้นชินกับชีวิตประจำวันแบบนี้แล้ว และนางก็ไม่สามารถควบคุมร่างกายของตนเองได้
กว่านางจะตื่นขึ้นมาก็เย็นแล้ว ภาพพระอาทิตย์กำลังจะตกดินนอกหน้าต่างกำลังงดงาม
เฉียวเยว่ขยี้ตา เห็นในบ้านจุดโคมแล้ว ก็ตระหนักได้ทันทีว่าตนเองหลับตลอด่บ่าย นางหันไปดูด้านข้าง คนที่ยังนอนแผ่หราอยู่ก็คือฉีอันน้องชายของนางเอง หมอนี่ก็หลับสนิทเหมือนกัน
อาจเป็เพราะเพิ่งตื่น เสียงของเด็กน้อยจึงนุ่มนวลอยู่หลายส่วน "อวิ๋นเอ๋อร์"
อวิ๋นเอ๋อร์นั่งเย็บผ้าอยู่ด้านข้าง วางของในมือลงทันทีแล้วเดินเข้ามา "คุณหนูเจ็ด หลับสบายหรือไม่เ้าคะ?"
หลังจากนั้นก็เข้ามาจัดเสื้อผ้าน้อยๆ ของนางให้เป็ระเบียบ แล้วซักผ้ามาเช็ดหน้าและมือให้
"คุณหนูคงเหนื่อยมากใช่หรือไม่?"
เฉียวเยว่เพิ่งนึกได้ จึงเอ่ยถามว่า "แขกกลับกันไปหรือยัง"
อวิ๋นเอ๋อร์ตอบ "กลับกันหมดแล้วเ้าค่ะ"
เฉียวเยว่ตอบอ้อคำหนึ่ง แล้วก็ลูบพุงน้อยๆ นึกอยากกินขนม
"เด็กคนนี้ นอนแล้วก็กิน กินแล้วก็นอน"
ผู้ที่เข้ามาในห้องก็คือฮูหยินผู้เฒ่า เฉียวเยว่เห็นท่านย่าก็ยิ้มตาหยี น้ำเสียงเพิ่มความฉอเลาะอีกหลายส่วน "ท่านย่า ก็ข้าสืบข่าวตามคำสั่งของท่านแล้วนี่เ้าคะ"
ยังไม่ทันไรก็จะขอความดีความชอบ
"ข้าเก่งมากใช่หรือไม่"
ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ย "โอ๋? ย่าต้องฟังเ้าพูดก่อน พวกนางเป็อย่างไรกันบ้าง"
นางสั่งให้หญิงรับใช้าุโอุ้มเฉียวเยว่ไปห้องด้านนอก ในห้องโถงใหญ่นอกจากมารดาของนาง ยังมีญาติผู้พี่คนโตเจี้ยนอันกับิเยว่
"พวกเ้าฟังการวิเคราะห์ของน้องสาวเ้า ดูว่านางพูดถูกกี่ส่วน"
เฉียวเยว่เห็นทุกคนต่างมองมาที่ตนเอง ก็ยืดอกน้อยๆ รู้สึกเหมือนได้เดินขึ้นเวทีกล่าวสุนทรพจน์
"เช่นนั้นก็เริ่มพูดจากทางฝ่ายหญิงก่อน"
นางเอ่ยอย่างจริงจัง "คุณหนูสกุลหวังงดงามที่สุด แต่ถือตัวเย่อหยิ่ง ดูแคลนคนอยู่บ้าง อุปนิสัยค่อนข้างจะธรรมดา วิสัยทัศน์คับแคบไปหน่อย ข้าเดาว่าชาติตระกูลของนางคงไม่ด้อยไปกว่าตระกูลของพวกเรา"
ิเยว่พยักหน้า "พูดถูกต้อง นางเป็คุณหนูใหญ่ของบ้านใหญ่จวนอัครเสนาบดีหวัง แต่เหตุใดเ้าถึงว่านางใจแคบล่ะ?"
เฉียวเยว่ยู่ปาก "พอมีคนอื่นพูดไม่ตรงกับใจนาง แม้ว่านางจะสำรวมกิริยาไม่โต้แย้ง แต่ลอบกลอกตาให้ผู้อื่น หลังจากนั้นริมฝีปากก็จะยิ้มเหยียดหยัน"
ฮูหยินผู้เฒ่าเลื่อนประคำมุกในมือ อมยิ้ม "พูดต่อ"
"พี่สาวสกุลชุยอุปนิสัยตรงไปตรงมา ในบ้านคงจะมีผู้ชายมาก ผู้หญิงน้อย ข้าแค่ทำตัวฉอเลาะหน่อยเดียว นางก็ติดกับข้าแล้ว"
ไท่ไท่สามถลึงตาใส่บุตรสาว "พูดให้ดีๆ หน่อย"
เฉียวเยว่แลบลิ้น "นางน่าจะเป็คนอ่อนโยนจิตใจดี ความรู้ก็ไม่เลว มีความอดทนสูง ข้าพูดฉอดๆ ตลอดเวลา นางก็ไม่รังเกียจรังงอน ยามเอ่ยถึงอิ้งเยว่พี่สาวข้า ก็ยังแฝงไปด้วยความชมชอบ เห็นได้ว่าคนผู้นี้ความคิดจิตใจไม่เลว"
นางพูดจนปากคอแห้ง จึงยกน้ำขึ้นมาดื่มคำหนึ่ง "พี่สาวสกุลฟางต้องเกิดในตระกูลแม่ทัพอย่าแน่นอน นางรู้หนังสือไม่มาก และเอ่ยถึงคนมีวิชาความรู้ด้วยความเคารพเลื่อมใส ไม่อิจฉาริษยา เปิดเผยสง่างาม ถึงไม่ใช่กุลสตรีตามระเบียบแบบแผน แต่คนแบบนี้กลับดียิ่ง"
"ส่วนคุณหนูเจียง นางคงจะเป็สตรีที่อ่านตำราเกี่ยวกับจรรยาสตรีและข้อควรละเว้นของสตรีมามาก เชี่ยวชาญด้านการบ้านการเรือน สามารถเป็ภรรยาที่ดี แต่หากคิดจะอยู่กับนางอย่างรักใคร่ปรองดอง ก็ต้องเป็คนมีวิชาความรู้ ถึงจะไปกันได้ นางน่าจะสามารถจัดการเหย้าเรือนได้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย แม้ว่านางจะอ่อนโยนมาก แต่ข้ารู้สึกว่าเรือนหลังของพวกนางคงจะไม่สงบสุขเท่าไรนัก"
พูดมาถึงสุดท้าย นางก็วิเคราะห์หญิงสาวเหล่านี้อีกรอบ
ฮูหยินผู้เฒ่าดูเฉียวเยว่พูดจบ ก็หันไปมองิเยว่ "สิ่งที่เฉียวเยว่พูดเหล่านี้ เ้าคิดว่าถูกต้องหรือไม่"
ิเยว่คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเวลาเพียงชั่วครู่เดียวน้องสาวคนเล็กจะสามารถวิเคราะห์คนได้ถูกต้องถึงแปดเก้าส่วน แม้ว่าเื่เหล่านี้นางก็รู้ เพราะคนเหล่านี้คือสหายร่วมเรียนของนาง แต่เฉียวเยว่เพิ่งรู้จักนานแค่ไหนเอง
"น้องสาวกล่าวถูกต้องอย่างยิ่ง"
ฮูหยินผู้เฒ่าทอยิ้มน้อยๆ มองไปที่เจี้ยนอัน "แม้ว่าการแต่งงานคือการใช้ชีวิตของเ้าเอง แต่นิสัยใจคอของสตรีหาใช่สิ่งที่จะมองเห็นจากภายนอก เ้าดู น้องสาวคนเล็กของเ้าเพียงครู่เดียวก็สามารถวิเคราะห์ได้อย่างละเอียด เ้าคิดว่าน้องสาวของเ้าเฉลียวฉลาดนักหรือ? ข้ากลับคิดว่า พวกนางแค่อำพรางตัวตนไม่เก่งเท่านั้นเอง เมื่อเ้าจะอยู่กับใครสักคนชั่วชีวิต ย่อมต้องพิจารณาให้ดี ไม่ว่าจะยุคสมัยไหน อุปนิสัยใจคอของคนคือสิ่งสำคัญที่สุด"
"หลานทราบแล้วขอรับ"
เฉียวเยว่กลิ้งไปกลิ้งมาบนตั่ง "ข้าบอกแล้วส่งข้าไปได้ประโยชน์มากโข"
...
[1] นกสี่เชว่ หมายถึง นกกางเขน
[2] จ้วงหยวน เป็ชื่อของราชบัณฑิตที่สอบหน้าพระที่นั่งได้เป็ลำดับที่หนึ่ง
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้