เที่ยงนี้กินอาหารแบบง่ายๆ ตัวเอกอยู่ตอนเย็น
อาหารส่งท้ายปีเก่า
มื้อล้อมเตา
แต่ก่อนกินอาหารส่งท้ายปีเก่าต้องไหว้ทวยเทพและบรรพบุรุษ
บ้านเจียงไม่มีญาติในหมู่บ้าน นายพรานเจียงเหมือนจะมาจากที่อื่น ด้วยเหตุนี้บ้านเจียงจึงมีป้ายบรรพบุรุษแค่สองแผ่น แผ่นหนึ่งคือท่านพ่อเจียง แผ่นหนึ่งคือท่านแม่เจียง เจียงซื่อ นามว่าเจินเหนียง
เจียงหงหย่วนพาหลินหวั่นชิวกับน้องชายทั้งสองมาประกอบพิธี จากนั้นทุกคนไปนั่งล้อมโต๊ะทานอาหารมื้อส่งท้ายปีเก่าที่ห้องโถง
ใต้โต๊ะมีกระถางถ่าน สื่อความหมายว่าปีหน้าครอบครัวจะรุ่งโรจน์ชัชวาล
เป็ที่มาของการเรียกอาหารมื้อส่งท้ายปีว่ามื้อล้อมเตาเช่นกัน
อาหารในคืนส่งท้ายปีล้วนมีความหมายแฝง จำเป็ต้องมีเนื้อไก่สื่อถึง ‘การสร้างตัว’ ผักคะน้าสื่อถึง ‘ความอายุยืน’ กุยช่ายสื่อถึง ‘ความยืนยง’ ผักกาดขาวสื่อถึง ‘ความมั่งมี’ ปลาสื่อถึง ‘การเหลือกินเหลือใช้ทุกปี’ เวลากินกุยช่ายห้ามกินแนวขวางหรือกัดขาด สื่อถึง ‘ตราบนานเท่านาน’
ปกติแล้วอาหารในคืนส่งท้ายปีจะทำเยอะมาก เวลากินห้ามกินหมด ต้องเหลือไว้ สื่อถึงการ ‘เหลือกินเหลือใช้’
นี่เป็วันส่งท้ายปีเก่าครั้งแรกของหลินหวั่นชิวั้แ่ทะลุมิติมา เป็วันส่งท้ายปีเก่าแรกั้แ่เจียงหงหย่วนแต่งนางเข้าบ้านเจียงเช่นกัน
มองอาหารที่กองพะเนินเต็มโต๊ะ รอบนี้ตัวขี้เหนียวน้อยเจียงหงหนิงไม่ได้รู้สึกเสียดาย มีแต่ตื่นเต้น
เพราะต้องบอกก่อนว่าปีก่อนพวกเขาแค่มีเนื้อกับเสื้อผ้าอุ่นๆ ใส่ก็ถือไม่เลวแล้ว
“จอกแรก คำนับแด่พี่สะใภ้” เจียงหงป๋อยกจอกลุกขึ้นยืน สองสามเดือนมานี้เด็กหนุ่มกินดีอยู่ดี มีเนื้อมีหนัง
หน้าตาหล่อเหลา คาดการณ์ได้ว่าโตเป็หนุ่มแล้วจะเป็บุรุษรูปหล่อทะลุฟ้า
“หากไม่มีพี่สะใภ้ ข้าคงตายไปนานแล้ว” เจียงหงป๋อพูดถึงเื่ที่เขาฆ่าตัวตาย หลินหวั่นชิวเจอเหตุคับขันแต่ไม่ลนลาน ทำแผลห้ามเืให้เขาด้วยความสงบ มอบโอกาสมีชีวิตต่อไปให้กับเขา
เขาเป็คนป่วยกระเสาะกระแสะร่างกายอ่อนแอ เมื่อก่อนต้องกินยานับไม่ถ้วน ร่างกายผ่ายผอมทรุดโทรม ทว่าั้แ่หลินหวั่นชิวเข้าบ้านเจียง สุขภาพเขากลับดีขึ้นทุกวัน…
สำหรับเขาแล้ว พี่สะใภ้มิใช่ดาวนำโชคของต้าเกอแค่คนเดียว แต่ยังเป็ดาวนำโชคของเขา ดาวนำโชคของบ้านเจียง
“อืม ควรคำนับพี่สะใภ้เ้า” เจียงหงป๋อไม่รู้ แต่เจียงหงหย่วนรู้ว่าสุขภาพเจียงหงป๋อดีขึ้นเพราะสิ่งใด
สาเหตุเกิดจากโอสถชำระไขกระดูกที่ภรรยาตัวน้อยให้กินพวกนั้น
นึกถึงโอสถชำระไขกระดูกแล้วเจียงหงหย่วนรู้สึกหวานชื่นในใจมาก ภรรยาตัวน้องแบ่งให้น้องชายทั้งสองแค่คนละเม็ด แต่แบ่งให้เขาสองเม็ดเต็มๆ
เห็นได้ว่าตำแหน่งของเขาในใจภรรยาตัวน้อยสำคัญมาก
สามพี่น้องยกจอกให้หลินหวั่นชิว หลินหวั่นชิวมีความสุขเช่นกัน ไม่ได้ปฏิเสธ ยกจอกดื่มตามพวกเขา
นอกจากเจียงหงหย่วนที่ดื่มเหล้าขาวแล้ว นางกับหงหนิงหงป๋อดื่มเหล้าผลไม้กันหมด ดีกรีไม่สูง ทั้งยังมีรสหวาน หลินหวั่นชิวรู้สึกว่าอร่อย
“จอกที่สองควรคำนับพี่สะใภ้เช่นกัน!” เจียงหงหนิงยกจอก พูดอย่างตื่นเต้นด้วยหน้าแดงก่ำ “หากไม่มีพี่สะใภ้ก็คงไม่มีบ้านเจียงในวันนี้! พี่สะใภ้มีดวงสนับสนุนสามี ต้าเกอ ท่านต้องดีกับพี่สะใภ้ให้มากๆ มิเช่นนั้นข้าไม่เข้าข้างท่านแน่ เอ้อร์เกอก็ไม่เข้าข้างท่านเช่นกัน!”
เ้าเด็กนี่หันมาสั่งสอนเขาเสียแล้ว!
เจียงหงหย่วนทำตาขวางใส่เจียงหงหย่วน กำลังจะตำหนิด้วยมาดของพี่ใหญ่ หลินหวั่นชิวกลับพูดเหมือนเสียใจว่า “หากข้าไม่มีดวงสนับสนุนสามี เ้าคงไม่เข้าข้างเวลาถูกต้าเกอพวกเ้าข่มเหงสินะ…”
“ไม่ใช่ ข้าจะปกป้องท่าน ข้า…ข้าไม่ได้หมายถึงเช่นนั้น…ข้า…” เจียงหงหนิงร้อนรนทันที
“หงหนิง พี่สะใภ้เปรียบดั่งมารดา ไม่ว่าพี่สะใภ้จะเป็อย่างไร พวกเราก็ควรเคารพนาง ดีกับนางชั่วชีวิต!” เจียงหงป๋อพูด การทำดีกับพี่สะใภ้ชั่วชีวิตคือเื่สำคัญที่สุดในชีวิตเขา
“พี่สะใภ้ ข้าจะดีกับท่านชั่วชีวิตเช่นกัน!” หงหนิงรีบพูดตาม
หลินหวั่นชิวหัวเราะคำโต “พี่สะใภ้หยอกเ้าเล่น! พวกเ้าเป็เด็กดีกันทุกคน” พูดจบก็อดยีหัวหงหนิงไม่ได้ อยากยีหัวหงป๋อเช่นกัน แต่เขานั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เอื้อมมือไม่สะดวก
“พี่สะใภ้…ข้าอายุน้อยกว่าท่านไม่ถึงสองปี ไม่ใช่เด็กแล้วขอรับ” น้อยนักที่หงป๋อจะคัดค้านคำพูดของหลินหวั่นชิว
หลินหวั่นชิวยิ้มกว้างกว่าเดิม “อื้ม พี่สะใภ้รู้แล้ว หงป๋อของพวกเราโตแล้ว เป็ผู้ใหญ่แล้ว อีกไม่กี่ปีก็แต่งงานได้!”
หงป๋อไม่ตอบกระไรกับคำหยอกล้อของหลินหวั่นชิว แต่ในใจเขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่แต่งงาน
เขามองหลินหวั่นชิวที่ยิ้มกว้างดุจบุปผาบานแค่แวบเดียวแล้วมองไปทางอื่น บนโลกนี้คงไม่มีสตรีใดที่ดีงามเหมือนนางอีก
“จอกที่สามคำนับเ้าเช่นกัน” ถึงตาของเจียงหงหย่วนแล้ว เขายกจอกมองมาที่หลินหวั่นชิว ดวงตาสีดำขลับดุจสระลึกมีประกายเป็พิเศษ
ขอบคุณที่เ้าไม่รังเกียจข้า
ขอบคุณที่ยินดีอยู่เคียงข้างข้า
ขอบคุณที่เ้ายินดีชอบข้า
ชายฉกรรจ์เงยหน้าดื่มสุราหมดจอก หลินหวั่นชิวดื่มหมดจอกตาม
“รีบกินอาหาร กินไปด้วยดื่มไปด้วย” คำนับสุราไปสามจอก หลินหวั่นชิวเริ่มหน้าแดงและร้อนเล็กน้อย
นางถามไถ่เด็กชายทั้งสองถึงการเรียน เจอเื่น่าสนใจที่สำนักศึกษากับบ้านหมอฉู่บ้างหรือไม่
เด็กชายทั้งสองตอบอย่างตั้งใจ
หงป๋อยังดีหน่อย ไม่ว่าทำกระไรก็ค่อยเป็ค่อยไป ไม่ได้รีบเล่าเป็ไฟแลบ
ส่วนหงหนิงซุกซนกว่า เขาไม่เพียงเล่าอย่างตื่นเต้น แต่ยังลุกจากโต๊ะไปทำท่าทำทางให้หลินหวั่นชิวเป็ดูครั้งคราว เป็ที่น่าสนใจมาก
มื้อส่งท้ายปี รอยยิ้มไม่เคยหายไปจากหน้าหลินหวั่นชิว
นี่เป็ปีที่นางมีความสุขที่สุดในชีวิต
เมื่อก่อนนางเอาแต่เก็บตัวอยู่บ้านคนเดียว ทำเกี๊ยวแช่แข็งแบบง่ายๆ ดูรายการ่ตรุษจีนทางโทรทัศน์ แย่งอั่งเปาในกลุ่มแชท ฉลองปีใหม่อย่างไม่ใส่ใจ
ความจริงนางไม่ใช่คนที่ไม่รู้จักดูแลตัวเอง ปกติแล้วจะทำอาหารกิน มีแค่วันตรุษจีนเท่านั้นที่ทำแบบขอไปที
นางไม่อยากทำอาหารเต็มโต๊ะแล้วต้องนั่งกินคนเดียว
แต่ที่นี่ไม่เหมือนกัน นางมีคนรัก มีครอบครัว ย่อมยินดีทำอาหารส่งท้ายปีแบบจัดเต็ม
ดื่มสุราจอกแล้วจอกเล่า ศีรษะเริ่มวิงเวียนอย่างไม่รู้ตัว
กินข้าวเสร็จแล้วต้องอยู่รอเวลาข้ามปี หลินหวั่นชิวซื้อพลุจำนวนมากมาจากเสียนอวี๋ล่วงหน้า ฝากให้เ้าของร้านช่วยนำเครื่องหมายการค้าและบรรจุภัณฑ์ออกก่อนค่อยส่งให้นาง
“เราไปจุดพลุกันเถิด!” กินอิ่มจนพุงกลม หลินหวั่นชิวลุกขึ้นพาเด็กๆ ลุกจากโต๊ะ
เจียงหงหย่วนเห็นนางเดินเซก็รีบเข้าไปโอบเอวประคองนางเดิน
“จุดพลุ!” นอกจากหลินหวั่นชิว เจียงหงหนิงคือคนที่ตื่นเต้นที่สุด
พลุเชียวนะ!
เขาเคยได้ยินแต่ไม่เคยเห็น
“หงหนิง เอาธูปสองสามก้านมาจุด ตามหงเป่ามาด้วย” หงเป่าเป็เด็กเช่นกัน ควรให้เด็กๆ ได้สนุกสนานในวันปีใหม่
“ไท่ไท่ ข้าก็จุดได้หรือขอรับ?” พวกหงเป่ารอฟังคำสั่งอยู่ที่เรือนประธานมานานแล้ว เจียงเป่าก้าวออกมาถามด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินหลินหวั่นชิวพูดเช่นนี้
“อื้ม จุดได้ทุกคน ปีใหม่แล้ว ไม่ต้องมากพิธี ทุกคนเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขเถิด จริงสิ ให้ท่านพ่อเ้ายกพลุออกมาให้หมด”
ไม่ต้องรอให้หลินหวั่นชิวสั่ง เจียงไฉขนพลุออกมาวางกลางลานบ้านชั้นแรกตั้งนานแล้ว
ทุกคนเดินผ่านประตูฉุยฮวา[1] เจียงหงหนิงมอบธูปที่จุดเรียบร้อยแล้วให้หลินหวั่นชิว หลินหวั่นชิวแบ่งธูปให้เด็กๆ คนละก้าน แบ่งให้เจียงหงหย่วนด้วยเช่นกัน “ข้าจะสอนวิธีจุดพลุให้!”
เชิงอรรถ
[1] ประตูฉุยฮวา(垂花门) ประตูภายในลานบ้านชั้นในของบ้านทรงจีนโบราณ เป็ประตูเชื่อมระหว่างเรือนชั้นในกับเรือนชั้นนอก(ลานหน้า)
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้