เมื่อฉินเกาพูดจบ ขุนนางอีกคนก็ก้าวขึ้นมาทันที เขาค้อมกายให้ฮ่องเต้แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมไม่เห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ไม่ได้พูดอะไร เพียงส่งสายตาให้ขุนนางผู้นั้นพูดต่อไป
“กระหม่อมคิดว่าองค์ชายสามเหมาะสมกับสตรีที่ดีกว่านี้ องค์หญิงแห่งแคว้นเฟิงหลันผู้นั้น ตามที่กระหม่อมทราบมา เหตุที่นางยังไม่อภิเษกก็เพราะชื่อเสียงที่ไม่ดีของนาง”
ตอนนี้เองฮ่องเต้ถึงได้เอ่ยถาม “ไม่ดีอย่างไร? ”
ขุนนางใหญ่คนนั้นตอบว่า “ตามที่กระหม่อมได้ยินมา องค์หญิงผู้นั้นตาบอดทั้งสองข้าง”
“ไม่เพียงแค่นี้ นางยังมีนิสัยดุร้าย ชอบถือตนว่าตัวเองเป็องค์หญิงจึงมักใช้อำนาจรังแกคนอื่นไปทั่ว”
“อาจกล่าวได้ว่าทั้งแคว้นเฟิงหลันไม่มีใครชอบองค์หญิงผู้นี้เลยสักคน”
ฉินเกาได้ฟังถึงตรงนี้ก็คิ้วกระตุก
เหตุใดเขาไม่ได้รับข่าวเหล่านี้ ดูท่าคงต้องกลับไปสืบเื่นี้โดยละเอียดแล้ว
หากว่าองค์หญิงแคว้นเฟิงหลันผู้นั้นพิการตาบอดทั้งสองข้างจริง เขาย่อมจะสามารถเอามาใช้ประโยชน์ได้
คิดถึงตรงนี้ ฉินเกาก็สาดสายตาล้ำลึกไปทางม่อหลิงหาน
แผนการชั่วร้ายใหญ่ถูกวาดเค้าโครงขึ้นในสมองเขา
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินเช่นนั้นก็ตัดสินพระทัยทันที ไม่ว่าข่าวนี้จะจริงหรือเท็จ เขาก็ไม่มีทางยอมให้องค์ชายสามแต่งสตรีนางนี้มาเป็ภรรยาแน่
ม่อหลิงหานรับรู้ได้ถึงสายตาของฉินเกา เขาหรี่สายตาเ็ามองไปทางฉินเกาทีหนึ่ง
ฉินเการีบหลบตาเขา ไม่กล้าสบตากับม่อหลิงหาน
“ขุนนางทั้งหลายยังมีความคิดอื่นที่จะสามารถสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างแคว้นเป่ยชวนและแคว้นเฟิงหลันอีกหรือไม่? ” ฮ่องเต้สาดสายตาไปรอบห้อง สุดท้ายก็จบอยู่ที่ร่างของม่อหลิงหาน
ม่อหลิงหานก้าวไปข้างหน้า ค้อมกายคารวะฮ่องเต้แล้วกล่าวว่า “ลูกคิดว่า หากอยากจะสานสัมพันธ์อันดีกับแคว้นเฟิงหลัน เราไม่จำเป็ต้องแต่งองค์หญิงของพวกเขาเข้ามาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้พูด “จั้นอ๋องมีความคิดดีๆ อะไร ลองพูดให้เจิ้นฟัง”
ม่อหลิงหานตอบ “ลูกคิดว่า แคว้นเฟิงหลันตั้งอยู่ทางตะวันตกสุดของแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ สภาพแวดล้อมที่นั่นค่อนข้างโหดร้าย นอกจากที่ราบสูงก็มีแค่แอ่งกระทะ”
“เนื่องจากสองแคว้นทำากันมาอย่างยาวนาน ทำให้ราษฎรเฟิงหลันกินไม่อิ่มนอนไม่อุ่น”
“บวกกับสภาพแวดล้อมของฝั่งนั้นที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเขาไม่สามารถปลูกผลิตผลให้เพียงพอต่อความ้าได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ ”
“ลูกคิดว่า แผ่นดินเป่ยชวนของเรากว้างใหญ่ สามารถปล่อยเช่าพื้นที่บางส่วนแก่ชาวเฟิงหลันได้ ให้พวกเขาใช้เป็สถานที่สำหรับเพาะปลูก”
“เพียงเท่านี้ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของพวกเขาได้ และจะทำให้ราษฎรเฟิงหลันรู้สึกซาบซึ้งและรักใคร่เาาวเป่ยชวนจากก้นบึ้งของหัวใจ”
คำพูดของม่อหลิงหานทำให้บรรดาขุนนางใหญ่ทั้งหลายถกเถียงกันอย่างดุเดือดอีกครั้ง
ขุนนางส่วนใหญ่ต่างเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของม่อหลิงหาน
และมีขุนนางส่วนน้อยที่อยู่ฝั่งฉินเกา พวกเขาจะเห็นด้วยกับข้อเสนอของม่อหลิงหานหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของฉินเกาทั้งสิ้น
หากว่าฉินเกาเองก็เห็นด้วยกับความคิดของม่อหลิงหาน พวกเขาก็จะสนับสนุนโดยไม่มีข้อกังขา
หากว่าฉินเกาไม่เห็นด้วย เช่นนั้นพวกเขาก็จะร่วมมือกับฉินเกา ขัดขวางม่อหลิงหานทุกทาง
ขณะที่ฮ่องเต้เพียงได้ยินก็พยักหน้าเห็นด้วย
เดิมทีฉินเกายังคิดจะคัดค้าน แต่ยามที่เขาเดินออกไปกำลังจะพูดบ้างกลับถูกฮ่องเต้ตัดบท
“เจิ้นเห็นด้วยกับความคิดของจั้นอ๋องเป็อย่างมาก เื่นี้ก็ตกลงตามนี้ ให้จั้นอ๋องเป็คนร่างราชสาสน์ ส่งราชทูตไปยังแคว้นเฟิงหลัน ไปเจรจาเื่นี้กับฮ่องเต้ฝั่งนั้น”
ฉินเกาก้มหน้าลง ล่าถอยกลับไปอยู่ในแถวฝั่งซ้ายเช่นเดิม
ฮ่องเต้ยังคงกล่าวต่อ “ไม่มีเื่อะไรแล้ว ขุนนางทั้งหลายกลับไปได้แล้ว”
สิ้นสุรเสียงฮ่องเต้ ขันทีเฉาที่ยืนอยู่เบื้องหน้าก็กล่าวเสียงกังวานว่า “เลิกประชุม”
ขุนนางน้อยใหญ่พากันกรูออกไปจากท้องพระโรง บรรดาขุนนางที่อยู่ฝ่ายม่อหลิงหานต่างเข้ามาห้อมล้อมแสดงความยินดี
ส่วนบรรดาขุนนางที่อยู่ฝ่ายฉินเกากลับสะบัดชายเสื้อแล้วรีบร้อนไปจากตำหนักฉงหยางทันที
ตอนที่ฉินเกาเดินออกไปจากตำหนักฉงหยาง เขาก็หรี่ตาลงน้อยๆ
แผนการชั่วร้ายในสมองยังไม่ได้ถูกทำลายไปเพียงเพราะฮ่องเต้ไม่นำข้อเสนอของตนไปใช้
ไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังจะส่งคนไปสืบเื่องค์หญิงแห่งแคว้นเฟิงหลันคนนั้น หากเป็ดังที่ขุนนางคนนั้นกล่าวว่าคนพิการตาบอดทั้งสองข้าง ทั้งยังมีนิสัยดุร้าย เขาจะต้องหาวิธีให้ฮ่องเต้พระราชทานนางให้แต่งกับม่อหลิงหานให้ได้
เขาอยากจะเห็นม่อหลิงหานและชายาจั้นอ๋องทะเลาะกันใหญ่โต เพราะการปรากฏตัวขององค์หญิงแห่งแคว้นเฟิงหลัน
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความไม่ยินยอมพร้อมใจที่เกิดขึ้นในท้องพระโรงเมื่อครู่ก็หายไปจนหมดสิ้น
กว่าม่อหลิงหานจะกลับมาถึงจวนก็เป็่ยามอู่แล้ว เขายังไม่ทันรับสำรับเที่ยงก็รีบร้อนไปที่เรือนเยว่เหยาทันที
พอมาถึงก็เห็นว่าเยว่เฟิงเกอกำลังนั่งก้มหน้าก้มตาอยู่ในสวน กำลังง่วนอยู่กับหน้ากากหนังมนุษย์
ม่อหลิงหานแอบอ้อมเข้าไปทางด้านหลังของเยว่เฟิงเกอเงียบๆ แล้วรวบนางเข้ามากอดแนบอก กระซิบเสียงเบาที่ข้างหู “ชายารักทำหน้ากากหน้าคนอีกแล้วหรือ? ”
เมื่อครู่เยว่เฟิงเกอใจจดจ่ออยู่กับหน้ากากนี้จึงไม่ทันรู้สึกตัวว่าม่อหลิงหานเข้ามาใกล้
จู่ๆ ก็ถูกเขากอดกะทันหัน ทำให้อดส่งเสียงร้องด้วยความใไม่ได้
เยว่เฟิงเกอหน้าแดงทันที นางรีบร้อนหันไปทางอื่นแล้วกระแอมเบาๆ ทีหนึ่ง
ม่อหลิงหานยิ้มบางๆ มองคนในอ้อมแขน ท่าทางเขินอายน่ารักเช่นนี้ทำให้เขาอยากกอดนางไว้ตลอดไม่ปล่อยมือ
เขารั้งร่างของนางให้เข้ามาแนบชิด ก่อนจะเชยคางนางขึ้น ให้นางสบตากับเขา
“ชายารักชอบเปิ่นหวางหรือไม่? ”
สายตาของม่อหลิงหานมองเยว่เฟิงเกออย่างลึกซึ้ง เขาเห็นดวงตากลมโตของนางกะพริบปริบๆ ในแววตาคู่นั้นมีความประหลาดใจวาบผ่าน
เยว่เฟิงเกอคิดไม่ถึงว่า จู่ๆ ม่อหลิงหานจะถามคำถามนี้กับนาง ชั่วขณะนั้นก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
ม่อหลิงหานเห็นว่าเยว่เฟิงเกอยังคงไม่เอ่ยวาจาก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “ในเมื่อชายารักไม่พูด เช่นนั้นเปิ่นหวางจะพูดก่อนก็แล้วกัน เปิ่นหวางชอบเ้า”
“ชอบ? ชอบมากแค่ไหน? ” เยว่เฟิงเกอในยามนี้ได้ยินเสียงหัวใจของตนเต้นระรัว
ม่อหลิงหานก้มหน้าลงไปดูดดึงริมฝีปากนางเบาๆ กล่าวขึ้นอย่างลึกซึ้งกินใจ “ชอบมากถึงขนาดที่หลังจากมีชายารักแล้ว สายตาของเปิ่นหวางก็ไม่อาจมองเห็นสตรีนางใดได้อีกเลย”
คำตอบนี้ของเขา ทำเอาเยว่เฟิงเกอถึงกับใจกระตุกไปครึ่งจังหวะ นางไม่เคยเห็นไม่เคยได้ยินม่อหลิงหานกล่าววาจาหวานซึ้งเพียงนี้มาก่อน จึงไม่รู้ว่าควรจะตอบรับอย่างไรดี
แม้เยว่เฟิงเกอจะไม่กล่าววาจาใด ม่อหลิงหานก็ไม่คิดบังคับนางด้วย้าจะให้เวลานางได้จัดการกับความรู้สึกในใจของตนให้ดี
เขาเชื่อว่าต้องมีสักวันที่นางจะพูดออกมาเองว่าชอบเขา
ม่อหลิงหานปล่อยเยว่เฟิงเกอออกจากอ้อมอก ลูบจมูกนางเบาๆ ไปทีหนึ่ง “ทำหน้ากากนี้อีกแล้ว วันนี้ตั้งใจจะออกไปเที่ยวเล่นนอกจวนอีกแล้วหรือ? ”
เยว่เฟิงเกอไม่กล้าบอกม่อหลิงหานว่าหน้ากากที่นางกำลังทำนี้ใช้สำหรับภารกิจกำราบซูมู่เจ๋อที่กำลังจะมาถึง นางกระแอมเบาๆ กล่าวว่า “วันนี้ท่านอ๋องเพิ่งกลับจากประชุมคงจะเหนื่อยมากแล้วกระมัง ทรงเสวยอะไรมาหรือยังเพคะ? ”
ม่อหลิงหานส่ายหน้าเบาๆ “เปิ่นหวางไม่ต้องกินข้าว กินชายารักคนเดียวก็อิ่มแล้ว”
เขาพูดจบก็ก้มหน้าลงไปจุมพิตริมฝีปากเยว่เฟิงเกออีกครั้ง
ในตอนนี้เองชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์ที่ถือกล่องข้าวเข้ามาก็บังเอิญเห็นฉากนี้เข้าพอดี พวกนางรีบหันหลังแล้วพร้อมใจกันเงยหน้ามองฟ้า ทำเป็มองไม่เห็นฉากตรงหน้า
เมื่อม่อหลิงหานจุมพิตเยว่เฟิงเกอเสร็จก็ปล่อยนางเป็อิสระ
เยว่เฟิงเกอเหลือบเห็นชิ่งจื่อและฉิงเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าประตู นางก็รีบเรียกคนทั้งสอง “พวกเ้านำกล่องข้าวเข้ามาเถอะ”
ชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์เพิ่งจะได้หันกลับมาก็ตอนนี้ พวกนางเห็นม่อหลิงหานยืนอยู่ข้างกายเยว่เฟิงเกอ โดยที่มือข้างหนึ่งยังคงลูบไล้ผมเยว่เฟิงเกออยู่อีกด้วย
ชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์รีบร้อนนำกล่องข้าวเข้ามาวางบนโต๊ะหิน
“พวกเ้าออกไปเถอะ” ม่อหลิงหานโบกๆ มือ
ชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์รีบออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ทั้งสวนนี้เหลือเพียงม่อหลิงหานและเยว่เฟิงเกอสองคน
ฉิงเอ๋อร์กล่าวเสียงเบาข้างหูชิงจื่อ “ท่านอ๋องทรงรักพระชายาเหลือเกิน”
“ก็ใช่น่ะสิ ท่านอ๋องดีกับพระชายามากเลยนะ” ชิงจื่อมีความสุขมากที่ตอนนี้ท่านอ๋องและพระชายารักใคร่กันเพียงนี้
แน่นอนคำพูดของพวกนางเข้าหูเยว่เฟิงเกอและม่อหลิงหานอย่างชัดเจน
มุมปากของม่อหลิงหานโค้งขึ้นเป็องศาที่งดงาม ส่วนเยว่เฟิงเกอนั้นกลับเขินอายจนต้องก้มหน้างุด
เยว่เฟิงเกอเปิดกล่องข้าวออก ยกอาหารด้านในออกมาพร้ะเกียบสองคู่
สองชั้นล่างสุดของกล่องข้าวเต็มไปด้วยกับข้าวที่เยว่เฟิงเกอชอบ
เยว่เฟิงเกอหยิบจานอาหารออกมา ส่งตะเกียบให้ม่อหลิงหาน “หม่อมฉันคิดอยู่แล้วเชียวว่า หลังเสร็จประชุมเช้าท่านอ๋องจักต้องหิวมากอย่างแน่นอน จึงให้ชิงจื่อและฉิงเอ๋อร์เตรียมอาหารมาสองชุด”
“ลำบากชายารักแล้ว” ม่อหลิงหานรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เขาคิดไม่ถึงว่าเยว่เฟิงเกอจะหิ้วท้องรอเขาเลิกประชุมเช้า
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้