ในเวลาเดียวกัน หลี่เทียนจินเร่งฝีเท้ามายังร้านสมุนไพรเก่าแก่ ดวงตาของเขาจับจ้องร้าน ที่ยังคงอบอวลด้วยความทรงจำของเขากับนางไม่เปลี่ยนไปนัก
“ข้าอยากพบเถ้าแก่หลิน” ชายหนุ่มบอกความ้าของตัวเองในทันที ไม่นานนักเขาก็เดินมายังร้านรับจำนำขนาดใหญ่ มีผู้คนเดินเข้าออกไม่ขาดสาย เถ้าแก่หลินเป็ชายอายุราวแปดสิบปี ที่มีความจำดีเลิศ เพียงแค่บอกสถานที่เขาก็ยิ้มแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
“ร้านสมุนไพรนั้นข้ารู้จักดี เ้าจางชิงอวิ๋นเคยเป็เ้าของ น่าเสียดายที่เขาจากไปเสียก่อน หลังเขาตาย คนยากไร้แถบนี้ก็เดือดร้อนมากขึ้น ข้าไม่ใช่คนมีเมตตาเหมือนเขา เป็พ่อค้าก็ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อมีคนจำนำมา ข้าก็รับไว้เท่านั้นเอง ว่าแต่เ้ามาถามถึงร้านสมุนไพรทำไมกัน?” หลี่เทียนจินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงหนักแน่น
“ข้าอยากไถ่ร้านสมุนไพรคืน...ต้องจ่ายเท่าใด?” คำพูดของเขาทำให้เถ้าแก่หลินหัวเราะเบา ๆ
“ช้าไปแล้วล่ะ มีคนมาไถ่ร้านสมุนไพรไปแล้ว...”
“เป็ไปไม่ได้! ถ้าไถ่ไปแล้ว เหตุใดยังมีคนของท่านเฝ้าอยู่ตลอด” เขาถามกลับอย่างไม่เชื่อหู เถ้าแก่หลินยิ้มบาง แล้วตอบ
“เพราะคนที่ไถ่ร้านไป...เขายินดีจ่ายมากกว่าราคาจริง ข้าก็แค่ส่งคนไปดูแลร้านให้แทนเขาเท่านั้น ร้านนี้ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไปแล้ว เ้ากลับไปเถอะ” หลี่เทียนจินรีบก้าวไปดักหน้าเถ้าแก่ก่อนที่เขาจะเดินเข้าร้าน
“เขาเป็ใคร?” เถ้าแก่หลินจับจ้องมองใบหน้าอีกฝ่าย แล้วยิ้มเล็กน้อย
“หยวนเฟิงอ๋อง!” ชื่อที่เอ่ยออกมา ทำให้หลี่เทียนจินนิ่งงันไปทันที…หยวนเฟิงอ๋องทุ่มเงินมหาศาลเพื่อไถ่ร้านสมุนไพรให้บ่าวในจวน เื่เช่นนี้ ไม่มีทางเป็เื่ธรรมดา หรือเพราะรูปโฉมของนางทำให้อ๋องผู้นั้นลุ่มหลง...
ภายในตำหนักหานเยี่ยน หยวนเฟิงอ๋องย่อตัวลงนั่งข้างกระดานหมากล้อม ท่ามกลางสายลมเย็นที่พัดเอื่อย ชุดสีดำของเขาปลิวไสวเบา ๆ ใบหน้าหล่อเหลาทอดสายตามองกระดานหมากด้วยแววครุ่นคิด ก่อนจะค่อย ๆ ขยับหมากไปยังตำแหน่งต่าง ๆ อย่างเงียบงัน
นานแล้ว...ที่เขาตัดสินใจละทิ้งวังหลวง เลือกใช้ชีวิตอย่างสันโดษ ไม่ยุ่งเกี่ยวใด ๆ กับราชสำนัก มือหนาเอื้อมหยิบหมากจากถ้วยไม้ วางลงบนกระดานอีกครั้ง พร้อมกับเื่ราวในอดีตที่ผุดกลับมาในห้วงคำนึง...
ขณะที่เขาอายุได้เกือบห้าขวบ เดินถือของเล่นตามมารดาไปยังโถงท้องพระโรงขนาดใหญ่ พร้อมด้วยพระพี่เลี้ยงที่พยายามเอ่ยห้าม หากแต่โอรสตัวน้อยแห่งราชวงศ์ ยังคงถือของเล่นมุ่งตรงตามมารดาได้ด้วยความมุ่งมั่น สองเท้าเดินตามมารดาไปหยุดมองด้วยความแปลกใจ เมื่อเห็นมารดาหลั่งน้ำตาแล้วก้าวเท้าไปหาบิดาผู้เป็ฮ่องเต้สูงศักดิ์ ท่ามกลางนางกำนัลนับสิบที่คอยดูแลความเรียบร้อย เขาถูกพระพี่เลี้ยงดึงไว้ไม่ให้เดินต่อ ก่อนบทสนทนาที่เขาจำอย่างไม่มีวันลืมได้เริ่มขึ้น....
“พระองค์เคยตรัสว่าจะรักมั่นต่อหม่อมฉันเพียงผู้เดียวไปตลอดชีวิต...” สายตาสั่นไหวทอดมองตรงไปยังชายหนุ่มที่อยู่ในชุดัสูงศักดิ์ ผู้ซึ่งปรายตามาด้วยแววรำคาญ
“ไป๋ซูเหยาน่ะเหรอ เ้ากำลังหึงหวงไป๋ซูเหยา!” หญิงสาวได้ยินดังนั้นจึงยิ้มทั้งน้ำตา จนป่านนี้แล้วเขายังปากแข็งไม่ยอมรับความจริง หัวใจของนางแตกสลาย เมื่อรู้ว่าอีกไม่นานไป๋ซูเหยาอาจเข้ามาแทนที่
“ใต้หล้าแห่งนี้...ท่านคือผู้เดียวที่ข้ารักและเทิดทูน ข้ายอมสละทุกสิ่ง เพื่อให้เราได้อยู่เคียงกัน”
“หลัวอิน! ข้ามีเื่ราวมากมายให้ขบคิด งานราชการวัน ๆ ก็แทบล้นมือ เ้าอย่าเอาเื่ไม่เป็เื่มาใส่หัวข้า!” เขาตวาดเสียงดังจนโอรสน้อยสะดุ้งใ ปล่อยของเล่นในมือทิ้ง พลางมองตรงไปยังราชบิดาด้วยความไม่เข้าใจ
“พระองค์เพียงตรัสกับหม่อมฉันมาคำเดียว ว่าท่านรักไป๋ซูเหยาหรือไม่?” หญิงสาวตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา พร้อมแววตาสั่นไหวจับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยความเ็ป ทว่าฮ่องเต้ในเวลานั้นเอื้อมมือทั้งสองข้างมาจับไหล่นางแน่น จับจ้องมองตรงมายังั์ตาของหญิงสาว ที่นับวันยิ่งเหิมเกริมตามหึงหวงทุกวันไม่รู้กาลเทศะ
“ใช่! ข้ารักนาง ได้ยินชัดแล้วใช่หรือไม่? สิ่งนี้เป็สิ่งที่เ้าอยากได้ยินนัก ข้าก็จะบอกให้ว่าข้ารักนาง” น้ำตาของหลัวอินกุ้ยเฟยหยดเป็ทางอาบแก้ม ก่อนพยักหน้าขึ้นลงอย่างเข้าใจ
“ในที่สุด...พระองค์ก็ยอมรับแล้วว่ามีผู้อื่นในหัวใจ...” เขาส่ายศีรษะอย่างรำคาญ เบือนหลังให้นาง ไม่อยากแม้แต่จะสบตา
“ที่ผ่านมา...หม่อมฉันมีความสุขเหลือเกินที่ได้อยู่เคียงพระองค์” นางพูดเบา ๆ พลางดึงปิ่นปักผมออกจากมวยผม มือเรียวสั่นเทาราวกับรู้ชะตาตนเอง
“พระองค์รักนางมากกว่าหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่เพคะ?”
“ใช่ข้ารักนางมากกว่าเ้า...ในเมื่ออยากได้ยินข้าก็จะบอกให้ ว่าข้ารักนางมากกว่าเ้าหลายเท่านัก!”
“พึบ!” เสียงปิ่นแหลมปักเข้ากลางหัวใจ พร้อมร่างของหลัวอินกุ้ยเฟยทรุดกองกับพื้น ฮ่องเต้หันขวับแล้วเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง รีบพุ่งเข้ารับร่างนางไว้ เืแดงฉานไหลออกจากาแไม่หยุด
“หลัวอิน!” เขาละล่ำละลัก ก่อนเอื้อมไปมือไปหยุดเืที่ไหลมาจากอก
“หลัวอินเ้าทำเช่นนี้ทำไม?.. พวกเ้ายืนบื้ออยู่ทำไม ไปตามหมอหลวงมา” เขากอดร่างนางไว้แน่น ความเ็าก่อนหน้านี้มลายสิ้น กลับกลายเป็ความเ็ปสุดใจ หญิงสาวยิ้มทั้งน้ำตา พลางเอ่ยเบา ๆ
“หม่อมฉัน...ขอมอบอิสระ...คืนให้กับพระองค์..” คำพูดสุดท้ายจบลง พร้อมลมหายใจที่ขาดห้วง ก่อนฮ่องเต้จะกรีดร้องออกมาดังลั่นท้องพระโรง...
โอรสน้อยยืนมองเหตุการณ์ด้วยความใ รีบวิ่งเข้าไปหาราชบิดา กอดแขนแล้วกัดอย่างแรง!
“เสด็จพ่อทำร้ายท่านแม่!ทำร้ายท่านแม่ทำไม?” เขาไม่เข้าใจว่าความตายเป็เช่นไร คิดว่ามารดาเพียงแค่ถูกทำร้าย เดี๋ยวก็ฟื้นคืนสติ ทว่าฮ่องเต้เวลานั้นไม่รับรู้สิ่งใด กอดร่างไร้ิญญาของไว้แน่น พลางกรีดร้องเรียกหลัวอินกุ้ยเฟยด้วยความเ็ป
‘ท่านน้าต้องช่วยท่านแม่ได้!’ เมื่อนึกถึงไป๋เจินหนานเพื่อนสนิทของมารดา เด็กชายตัวเล็กรีบวิ่งออกไปจากตำหนักไป ในขณะที่พระพี่เลี้ยงมัวแต่อึ้งใกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่ทันได้สังเกต
ร่างของเด็กชายตัวน้อย มุ่งตรงไปยังจวนสกุลไป๋ด้วยสีหน้าแตกตื่น หวังว่าไป๋เจินหนานจะรีบมาช่วยมารดาให้ฟื้นคืนสติ ทว่าเมื่อวิ่งเข้าไปในจวน เขากลับชะงักนิ่งเมื่อเห็นไป๋เจินหนาน กับไป๋ซูเหยายืนยิ้มหัวเราะแล้วพูดบางอย่างออกมา
“เ้าฉลาดยิ่งนัก ทำให้หลัวอินกุ้ยเฟยระแวงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับฮ่องเต้ได้” โอรสตัวน้อยยืนนิ่งฟังทั้งสองพูดคุยกันถึงมารดาของตน
“ข้าได้ยินมาว่า ฮ่องเต้ทรงหลีกเลี่ยงไม่เสด็จไปหา หลัวอินกุ้ยเฟย เหมือนแต่ก่อน เพราะเบื่อการทะเลาะวิวาท ตอนนี้นางก็เหมือนคนเสียสติเข้าไปทุกที อีกไม่นาน หากฮ่องเต้ทรงเบื่อหน่าย เ้าก็แค่สวมรอยให้เป็จริงตามที่นางระแวง… ครานั้น สกุลไป๋ของเราย่อมเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น”
“แต่นางคือเพื่อนสนิทของเ้า เ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือ”
“หึ! เพื่อนสนิทหรือจะสู้สายเืเดียวกันได้ ข้าก็แค่ทำทุกอย่างให้นางวางใจ คนโง่อย่างหลัวอินกุ้ยเฟย ข้าพูดอะไรก็เชื่อง่ายไปเสียหมด บัดนี้ก็แค่รอเวลาให้นางเสียสติ แตกหักกับฮ่องเต้ ท่านพี่ก็จะสวมรอยแทนนาง ทุกอย่างจะง่ายดายเพียงนั้นเอง” ไป๋ซูเหยายิ้ มแล้วเดินเข้าไปกุมมืออีกฝ่ายแแ่
“ข้าจะทำให้สกุลไป๋ของเราเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด เมื่อใดที่ข้าขึ้นเป็ฮองเฮา เมื่อนั้นจะไม่มีขุนนางหน้าไหนกล้าเหิมเกริมอีก” ไปเจินหนานยิ้ม แล้วดึงร่างพี่สาวของสามี เข้ามาสวมกอด
“เพื่อผลประโยชน์แล้ว ข้าทำได้ทั้งนั้น ต่อให้ตัดขาดความเป็เพื่อนกับหลัวอินกุ้ยเฟย ข้าก็จะไม่ลังเล” เด็กชายตัวน้อยยืนฟังอยู่นิ่ง ๆ ด้วยสายตาสั่นไหว แม้ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดทั้งหมด แต่ในใจก็รับรู้ได้ว่า...เขาไม่อาจก้าวขาเข้าไปขอความช่วยเหลือจากไป๋เจินหนานได้อีกต่อไป
“โอรสเพคะ พระองค์เสด็จหนีออกมาเวลานี้ได้อย่างเพคะ หากหม่อมฉันไม่ตามหาจะเป็เช่นไร” เสียงของพระพี่เลี้ยงดังขึ้นพลางโอบอุ้มโอรสตัวน้อยด้วยความเป็ห่วง ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของไป๋เจินหนานที่หันมองมายังโอรสตัวน้อย ไม่รู้ว่าเขายืนฟังอยู่นานเท่าใด
“โอรสหยวนเฟิง!” นางอุทานด้วยความใ หันไปมองพี่สาวด้วยความตื่นตระหนกเช่นกัน ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาเด็กชาย แล้วถามพระพี่เลี้ยงด้วยสีหน้าใอย่างแเี
“เหตุใดจึงปล่อยให้โอรสน้อยมาอยู่ที่นี่ได้?”
“ไป๋ฮูหยินเ้าคะ เกิดเื่ใหญ่แล้ว...หลัวอินกุ้ยเฟยทรงทำร้ายพระองค์เองจนสิ้นพระชนม์ โอรสน้อยคงใ จึงหนีออกมาจากตำหนักเพคะ” เด็กชายตัวเล็ก หันมองไปยังพระพี่เลี้ยงที่บอกว่ามารดาของเขาสิ้นพระชนม์แล้ว พลันหันมองไปยังไป๋เจินหนานที่แสร้งทำเป็ใ แล้วทิ้งตัวลงนั่งพลันปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายตัวเอง...
สายตาเขาแน่นิ่งมองตรงไปยังมารยาร้อยเล่มเกวียนของอีกฝ่าย แล้วจำอย่างขึ้นใจว่า...จะไม่มีวัน...ไว้ใจผู้ใดในโลกใบนี้
หมากตัวสุดท้ายถูกหยวนเฟิงอ๋องวางลงบนกระดาน ก่อนเขาจะกวาดมันออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมสายตามุ่งมั่นฉายแวววาววับ ก่อนฝีเท้าขององครักษ์จิ้นหาน เดินเข้ามาแล้วน้อมตัวรายงาน
“หลี่เทียนจิน มาขอพบ ข้าน้อยให้เขารออยู่ด้านนอกจวน” หยวนเฟิงอ๋องลุกขึ้นยืนอย่างช้า ๆ ดวงตายังคงทอแสงแห่งความคิด
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้