ในรัศมีหลายสิบลี้นี้มีเด็กๆ ที่อยากเรียนวิชาแพทย์กับหลี่หรูอี้เต็มไปหมด แต่ตอนนี้หลี่หรูอี้สอนให้อู่โก่วจื่อเพียงคนเดียว ซ้ำยังสอนให้โดยไม่คิดเงินทองอีกด้วย
อู่โก่วจื่อย่อมต้องรับปากเป็มั่นเป็เหมาะ นางเอ่ยด้วยแววตาทอประกายว่า “พอถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว ข้าจะพาเ้าไปเก็บยาสมุนไพรบนเขา เ้าจะได้สอนให้ข้ารู้จักยาสมุนไพรดีหรือไม่”
“ตกลง” หลี่หรูอี้คิดว่าอีกไม่กี่เดือนก็จะต้องย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอแล้ว ถึงยามนั้นก็จะมีโอกาสพบอู่โก่วจื่อน้อยลง และจะไม่ได้ไปเก็บยาสมุนไพรบนเขาด้วย เมื่อคิดขึ้นมาดังนี้นางก็ตัดใจไม่ใคร่ได้
แต่ว่าไม่มีงานเลี้ยงใดในใต้หล้าที่ไม่เลิกรา อย่าว่าแต่สหายเลยแม้แต่ญาติพี่น้องก็เป็เช่นเดียวกัน
“หรูอี้ เ้าเป็อันใดไป?”
“ครอบครัวเราอาจต้องย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอ” หลี่หรูอี้เห็นสีหน้าประหลาดใจบนใบหน้าของอู่โก่วจื่อ “อันใดกันเล่า เ้าไม่เชื่อหรือ”
“กะทันหันนัก” อู่โก่วจื่อดึงมือหลี่หรูอี้มากุมไว้ เอ่ยอย่างอาลัยอาวรณ์ว่า “เ้าจะไปอยู่ที่ตัวอำเภอแล้ว พวกเราก็ยากจะได้พบหน้ากันอีก”
“ไม่หรอก เ้าไปหาข้าที่ตัวอำเภอได้ และข้าก็ยังกลับมาเยี่ยมเ้าที่หมู่บ้านนี้ได้”
อู่โก่วจื่อกล่าวว่า “ถ้าครอบครัวข้ามีเงินก็จะย้ายไปอยู่ที่ตัวอำเภอเช่นกัน”
หลี่หรูอี้เอ่ยเสียงละมุนว่า “ต้องมีวันนั้นแน่นอน”
สกุลหลี่และสกุลสวี่ต่างก็เป็ครอบครัวที่ย้ายเข้ามาอยู่ในหมู่บ้านหลี่ได้สิบกว่าปี จึงไม่ได้มีความรู้สึกยึดติดกับที่นี่มากมายนัก และมิได้เห็นที่นี่เป็บ้านเดิมของตนด้วย
อีกประการ คนต้องก้าวให้สูงขึ้น วารีไหลลงที่ต่ำ หากคนสกุลสวี่ที่อยู่ในหมู่บ้านมีเงินทองเพิ่มขึ้นมา ก็จะต้องย้ายไปอยู่ในตัวอำเภอเช่นกัน
ตะวันยามสายัณห์คล้อยลงสู่ทิศประจิม เสียงลาร้องสุดขัดหูที่แสนคุ้นเคยดังก้องมาจากข้างนอก ตามมาด้วยเสียงของหลี่อิงฮว๋า “น้องสาว พวกเรากลับมาแล้ว”
ตอนนี้ทั้งแเื่และอู่โก่วจื่อล้วนกลับกันไปหมดแล้ว หลี่หรูอี้กับนางจางกำลังอุ้มทารกน้อยกันคนละคน และป้อนนมแพะให้พวกเขา
ด้วยเื่หมั้นหมายของหลี่ฝูคัง วันนี้จ้าวซื่อจึงไม่ได้ดูแลบุตรชายเล็กๆ ทั้งสองคน และไปที่เรือนของจางซิ่วไฉด้วยตนเอง เห็นได้ว่านางให้ความสำคัญกับเื่นี้อย่างยิ่ง
หลี่หรูอี้ยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงดังว่า “ข้านึกว่าพวกท่านจะทานอาหารเย็นที่เรือนท่านจางซิ่วไฉเสียอีก”
ทุกคนกลัวว่าร่างกายของตนมีความเย็นมากเกินไปและจะส่งไอหนาวไปให้แก่เด็กทารกทั้งสอง จึงไม่ได้เข้าไปภายในห้อง แต่ไปที่โถงใหญ่แทน
หลี่หรูอี้นึกถึงแต่เื่ของพี่ชายรองอยู่ในใจ หลังจากป้อนนมแพะให้น้องชายจนอิ่มแล้ว จึงเอาทารกน้อยวางลงในเปลและออกไปที่โถงใหญ่
ทุกคนกำลังดื่มน้ำขิงร้อนที่เตรียมเอาไว้เรียบร้อยในครัว เมื่อเห็นหลี่หรูอี้เข้ามาก็เงยหน้าขึ้นยิ้ม
จ้าวซื่อเอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ลูกแม่ อู่ต้าบอกว่า วันนี้มีคนมามอบของกำนัลไหว้ปีใหม่กับเ้าตั้งมากมาย และเ้ายังต้องดูแลน้องๆ อีก เ้าคงเหนื่อยแย่แล้วกระมัง”
“ข้าแค่รับของกำนัลมิได้รักษาผู้ป่วย ไม่ลำบากเลยสักนิดเ้าค่ะ ป้าจางต่างหากที่เป็คนดูแลน้องชายทั้งสอง ข้าแค่ป้อนนมแพะให้พวกเขาดื่มแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นเ้าค่ะ” หลี่หรูอี้มองจ้าวซื่อ แล้วมองไปทางหลี่ซานและหลี่ฝูคัง เห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่มีท่าทียินดีหรือเศร้าสลดใดๆ มองอย่างไรก็มองไม่ออก จึงกระแอมครั้งหนึ่ง แต่ก็ยังอดทนไม่ถามออกไป
ครู่หนึ่งหลังจากที่หลี่ซานสามีภรรยารู้สึกว่าไอหนาวในกายจางหายไปแล้ว จึงกลับเข้าไปดูลูกชายทั้งสองในห้อง หลี่หรูอี้รีบตามเข้าไป หลี่ฝูคังยังไม่รู้ผลจึงรีบตามเข้าไปด้วยใจร้อนรนและใบหน้าแดงก่ำ
หลี่อิงฮว๋าเก่งเื่สังเกตสีหน้าและถ้อยคำเป็ที่สุด พลันถามว่า “พี่รอง ท่านมีธุระจะคุยกับน้องสาวหรือ”
หลี่ฝูคังโบกมือให้หลี่อิงฮว๋า วางท่าเป็พี่ใหญ่เอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งขรึมว่า “อืม... เ้าอย่าเพิ่งยุ่ง อีกประเดี๋ยวค่อยบอกเ้า”
หลี่หรูอี้ถามเข้าประเด็นในทันที “ท่านพ่อ เป็อย่างไรบ้างเ้าคะ”
ขณะนั่งเกวียนลากลับเรือน หลี่ซานเล่าให้จ้าวซื่อฟังเรียบร้อยแล้ว จึงกล่าวว่า “จางซิ่วไฉบอกว่า รอให้พี่รองของเ้าสอบเข้าสำนักศึกษาได้เสียก่อน เรือนเราจึงค่อยไปสู่ขอที่เรือนเขา”
หลี่หรูอี้ยินดียิ่งนัก เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จางซิ่วไฉตกลงเื่หมั้นหมายแล้ว แต่ว่ามีเงื่อนไข ข้าว่าเงื่อนไขนี้ก็ไม่ได้ยากสักเท่าใดด้วยนะเ้าคะ” พอมองไปเห็นหลี่ฝูคังยิ้มไม่หุบ จึงบอกว่า “พี่รอง พี่ต้องพยายามสอบเข้าสำนักศึกษาให้ได้นะเ้าคะ”
หลี่ฝูคังพูดว่า ตกลงติดๆ กันถึงสามครั้ง เพราะถ้าจางซิ่วไฉบอกให้เขาสอบได้ซิ่วไฉก่อน เขาก็ยังไม่แน่ใจเลยจริงๆ แต่เมื่อได้เจียงชิงอวิ๋นชี้แนะ การที่เขาจะสอบเข้าสำนักศึกษาได้นั้นก็ง่ายดายขึ้นมาก เขาจึงพอจะมีความมั่นใจในเื่นี้
จ้าวซื่อเอื้อมมือไปลูบผมบุตรชายคนรอง เอ่ยยิ้มๆ ว่า “เ้าเป็คนมีวาสนา”
บุตรชายคนโตได้แต่งกับบุตรสาวของผู้นำหมู่บ้าน ซึ่งเป็ผู้นำสกุลหวังด้วย หากบุตรชายคนรองสอบเข้าสำนักศึกษาได้ ก็จะได้แต่งกับบุตรีของซิ่วไฉ
ถ้าเื่แต่งงานของบุตรชายคนรองลุล่วง สะใภ้รองก็จะสูงศักดิ์กว่าสะใภ้ใหญ่ จึงนับว่าเป็วาสนาของบุตรชายคนรอง
หลี่ฝูคังดีใจเหลือเกิน หันไปโค้งคำนับคนในครอบครัวทั้งสาม “ขอบคุณ ท่านพ่อ ท่านแม่ น้องสาว ข้าจะสอบเข้าสำนักศึกษาให้ได้เพื่อจะได้กำหนดเื่แต่งงานให้เรียบร้อยขอรับ”
หลี่หรูอี้รอจนหลี่ฝูคังออกไปแล้ว จึงถามว่า “ท่านพ่อท่านแม่เ้าคะ แล้วจะตอบปฏิเสธบ้านท่านปู่จางอย่างไรดีเ้าคะ”
หลี่ซานบอกว่า “วันพรุ่งข้ากับพี่ใหญ่ของเ้าจะไปไหว้ปีใหม่ท่านอาจางที่ตัวตำบล และจะบอกกล่าวเื่นี้ด้วย”
ด้วยความที่คนเป็พ่อและบุตรสาวล้วนมีจิตใจบริสุทธิ์ ทั้งมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่า หลี่ฝูคังจะสอบเข้าสำนักศึกษาได้ จึงไม่เคยคิดจะยื้อเื่นี้กับบ้านคนขายเนื้อแซ่จางเอาไว้ก่อน ด้วยการรอจนหมั้นหมายกับครอบครัวของจางซิ่วไฉเรียบร้อย จึงค่อยมายกเลิกทางคนขายเนื้อแซ่จาง
จ้าวซื่อแค่คิดอยู่ในใจและรู้สึกว่า อย่างไรก็ควรจริงใจต่อบ้านของคนขายเนื้อแซ่จาง เพราะอย่างไรฝ่ายของคนขายเนื้อแซ่จางก็เป็บุตรสาว เื่แต่งงานจึงมิอาจล่าช้าได้
วันรุ่งขึ้น หลี่ซานพ่อลูกไปที่เรือนของคนขายเนื้อแซ่จาง
หลี่เจี้ยนอันเคยติดต่อกับคนขายเนื้อแซ่จางแค่ที่แผงขายเนื้อของเขา แต่ไม่เคยเข้าเรือนเขามาก่อน
เรือนของสกุลจางอยู่บนถนนย่านค้าขายในตำบลจินจี เป็เรือนใหญ่ที่มีชั้นนอกในสองชั้น แต่ละชั้นมีห้องห้าห้อง มีบ่อน้ำอยู่ในลานบ้าน
เรือนมีพื้นที่กว้างแต่ก็ค่อนข้างเก่ามากแล้ว ซึ่งนี่เป็น้ำพักน้ำแรงที่ตาเฒ่าจางค้าขายเนื้อมาแต่เมื่อก่อนนี้
ตาเฒ่าจาง มีบุตรชายหนึ่งคน บุตรสาวหนึ่งคน
บุตรชายคือ คนขายเนื้อแซ่จาง ซึ่งเป็คนที่สืบทอดกิจการเชือดหมูและขายเนื้อหมูจากตาเฒ่าจาง
ฝ่ายบุตรสาวของเขา เนื่องจากนางหน้าตาดีจึงได้แต่งงานกับผู้ตรวจศพประจำที่ว่าการเมืองเยี่ยน ผู้ตรวจศพก็เหมือนกับตำรวจผู้ชันสูตรศพในยุคปัจจุบัน และมีฐานะด้อยอย่างมากในที่ทำการของขุนนางในแคว้นต้าโจว แต่ถึงแม้จะดูต่ำต้อยก็ยังเป็ขุนนาง จึงมีฐานะดีกว่าชาวบ้านทั่วไปในตำบลมากนัก และนับว่าบุตรสาวของเขาได้แต่งกับคนที่สูงชั้นกว่า
วันนี้พอดีว่าทั้งบุตรสาว บุตรเขย และหลานตา มาไหว้ปีใหม่ที่เรือนสกุลจาง ตาเฒ่าจางจึงแนะนำพ่อลูกสกุลหลี่ให้พวกเขารู้จักเป็พิเศษ
หลี่ซานรู้ว่าบุตรเขยของตาเฒ่าจางทำงานอยู่ในที่ว่าการเมืองเยี่ยน จึงเกิดลังเลอยู่ในใจว่า เมื่อปฏิเสธเื่แต่งงานครานี้ไป จะทำให้บุตรเขยของตาเฒ่าจางกลับมาแก้แค้นหรือไม่
แต่เื่ที่สมควรพูดก็ยังจำเป็ต้องพูดอยู่ดี เจ็บนานมิสู้เจ็บระยะสั้น
หลี่ซานเชิญตาเฒ่าจางมาสนทนากันตามลำพังในห้องที่อยู่ติดกัน “ท่านอาจาง ลูกชายคนรองของข้ามุ่งมั่นจะเป็ลูกเขยของอาจารย์ของเขา ข้ายังพูดเื่หลานสาวท่านไม่ทันจบ เขาก็ส่ายหน้าไม่เห็นด้วยก่อนแล้ว”
ตาเฒ่าจางผิดหวังอยู่ในใจอย่างยิ่ง รอยยิ้มบนใบหน้าพลันค่อยๆ เลือนหายไป พักหนึ่งจากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ ว่า “ที่แท้ฝูคังอยากเป็บุตรเขยของจางซิ่วไฉ”
“ท่านอาจาง ขออภัยด้วย”
“ไม่เป็ไร” ตาเฒ่าจางเห็นใบหน้าของหลี่ซานเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ก็คิดในใจว่า ช่างเป็คนดีที่ซื่อตรงแท้ๆ เฮ้อ... หนึ่งเป็บ้านคนเชือดหมู อีกหนึ่งเป็บ้านของซิ่วไฉ เอาใจเขามาใส่ใจเรา หากเป็ข้าก็ต้องเลือกอย่างหลัง
เมื่อหลี่ซานบรรลุเป้าหมายแล้ว จึงบอกลาและพาบุตรชายคนโตจากไป
ตาเฒ่าจางอารมณ์ไม่ดี แม้ว่าบุตรสาว บุตรเขย และหลานตาจะมาหา ก็ยังไม่สามารถทำให้ความผิดหวังในใจจางหายไปได้
คนขายเนื้อแซ่จางรู้จากปากของตาเฒ่าจางว่า ถูกปฏิเสธเื่หมั้นหมาย กลับไม่ได้กลัดกลุ้ม หากแต่บอกไปอย่างไม่กังวลใดๆ ว่า “ท่านพ่อ น้องหลี่มีลูกชายตั้งหกคน ตัดคนเล็กสองคนออกก็ยังมีที่โตแล้วอีกสองคน หลี่อิงฮว๋ากับหลี่ิ่หานที่เรียงลำดับอยู่ตรงกลาง ข้าก็เห็นว่าล้วนดีกันทั้งนั้น”
“ใช่แล้ว เมื่อครู่เหตุใดข้าจึงนึกไม่ออกเสียนี่!” ตาเฒ่าจางกลอกตาไปมาอย่างครุ่นคิด พลันหัวเราะออกมาเหมือนเด็กๆ “ไว้สักสองสามวันพวกเราค่อยไปที่บ้านหลี่กันอีก” เขาไม่เชื่อหรอกว่าหลานสาวตนดีงามเพียงนี้ บ้านสกุลหลี่จะไม่ต้องตา อีกประการ หลี่ฝูคังก็มิใช่ว่ายังมิได้หมั้นหมายหรอกหรือ หลานสาวเขาจึงยังมีโอกาสอยู่
เพียงพริบตาก็เป็วันที่หกเดือนหนึ่งแล้ว เช้าตรู่วันนี้ พี่น้องชายหญิงบ้านหลี่ห้าคนสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ก็นั่งเกวียนลาเดินทางออกจากหมู่บ้าน
.............................
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้