สองสามวันต่อมา
ไป๋เซี่ยเหออยู่ในเรือน นางกำลังอ่านตำราแพทย์ที่หลอกเอามาจากหมอหลวงฉินอย่างเพลิดเพลิน
ทันใดนั้นฝูเอ๋อร์ก็เดินเข้ามา ก่อนจะปิดประตูอย่างแ่าด้วยความระแวดระวัง
“คุณหนู ดูสิเ้าคะว่าผู้ใดมา?”
ไป๋เซี่ยเหอช้อนสายตาขึ้นมอง
“แม่นมชิว ท่านมาได้อย่างไรเ้าคะ?”
แม้ว่าใบหน้าของคนตรงหน้าจะถูกบดบังด้วยเหวยเม่า[1]สีอ่อน ทว่ามองแวบเดียวไป๋เซี่ยเหอก็ยังจดจำอีกฝ่ายได้จากรูปร่าง
แม่นมชิวยิ้มบาง นางเลิกม่านหมวกขึ้นและยิ้มอย่างเป็กันเอง “คุณหนูใหญ่สกุลไป๋มีสายตาเฉียบคมนัก เมื่อครู่บ่าวยังเดิมพันกับแม่หนูฝูเอ๋อร์อยู่เลยว่าคุณหนูใหญ่สกุลไป๋จะจำบ่าวได้ภายในแวบแรกหรือไม่”
ไป๋เซี่ยเหอยิ้มบาง ก่อนจะดีดศีรษะเล็กรูปแตงของฝูเอ๋อร์ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงไพเราะและเบิกบานใจอย่างเห็นได้ชัด
“เพราะเ้าโง่อย่างไรเล่า”
แม้ว่าฝูเอ๋อร์จะไม่อยากยอมรับว่าตนเองโง่เขลา ทว่านางก็ทำอะไรไม่ได้ ถึงอย่างไรคุณหนูของนางก็จำแม่นมชิวได้ในแวบเดียวไม่ใช่หรือ?
“ฮิๆ คุณหนูกับแม่นมชิวพูดคุยกันไปก่อนนะเ้าคะ บ่าวจะไปคอยด้านนอก”
“ได้”
ฝูเอ๋อร์ปิดประตูทันทีที่เดินออกไป เปลวเทียนภายในห้องดูเลือนราง สะท้อนให้เห็นใบหน้าอันเศร้าสร้อยของแม่นมชิว
“แม่นมเป็อะไรไปหรือ? ฮองเฮาทรงมีเื่อะไรหรือไม่?”
แม่นมชิวผงกศีรษะ “ความจริงแล้วฮองเฮาเกิดปัญหาเล็กน้อย...”
หัวใจของไป๋เซี่ยเหอบีบรัด นางเก็บตำราแพทย์ในมือ จากนั้นก็รีบดึงมือแม่นมชิวออกไปด้านนอกเพื่อจะไปเข้าเฝ้าฮองเฮา
หลังจากหลงมาที่ยุคนี้ นอกจากฝูเอ๋อร์แล้วก็มีฮองเฮาที่ปฏิบัติต่อนางเป็อย่างดี
นางจะไม่ให้ฮองเฮามีอันตรายเป็อันขาด!
แม่นมชิวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นแววตาของนางก็แผ่ความเฉลียวฉลาดออกมา
นางยืนมองไป๋เซี่ยเหออย่างพึงพอใจ “ท่านเปลี่ยนชุดก่อนเถิดเ้าค่ะ”
ไป๋เซี่ยเหอก้มหน้ามองการแต่งกายของตนเอง
เนื่องจากขลุกอยู่ในเรือนโดยไม่ได้ออกไปไหนมาสองสามวัน การแต่งกายของนางจึงดูเรียบง่ายมาก
ทว่า...
“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว สวมอะไรก็ไม่สำคัญหรอกเ้าค่ะ”
“สำคัญสิเ้าคะ!”
ไป๋เซี่ยเหอมองแม่นมชิวให้เต็มตา และนางก็พบประกายความดีอกดีใจในแววตาของอีกฝ่าย
“ท่านสวมชุดที่ดูรื่นเริงหน่อยเถิดเ้าค่ะ”
นี่...
ดวงตาสีดำขลับและสุกใสของไป๋เซี่ยเหอเบิกกว้าง ดูมีชีวิตชีวา และเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“อย่าบอกนะว่าฮองเฮา...”
ขณะที่แม่นมชิวพยักหน้า ดวงตาก็เปียกชื้นทันที มุมปากยกขึ้นอย่างปิดบังความสุขในใจไม่มิด
“พระบุษปะของฮองเฮาไม่มาเดือนกว่าแล้ว ทว่าฮองเฮาไม่ได้แจ้งหมอหลวง ทรงตรัสว่าอยากให้ท่านไปตรวจชีพจรให้เพื่อยืนยันว่าตั้งครรภ์”
“เหตุใดถึงไม่ให้หมอหลวงตรวจดูก่อนเล่าเ้าคะ?”
แม่นมชิวค่อยๆ เก็บงำรอยยิ้ม สีหน้าแปรเปลี่ยนเป็จริงจัง “ประการแรก หากหมอหลวงตรวจชีพจรและยืนยันว่าตั้งครรภ์ หมอหลวงก็จะทูลต่อฝ่าาและป่าวประกาศต่อใต้หล้า หากเป็เช่นนี้ จะไม่เป็ผลดีต่อการเจริญเติบโตของทารก”
“ประการที่สอง ที่ผ่านมาพระวรกายของฮองเฮาไม่อาจตั้งครรภ์ได้มาโดยตลอด ทว่าเป็ท่านที่รักษานางจนหายดี ดังนั้น นางจึงหวังให้ท่านร่วมแบ่งปันความปีติยินดีกับนางเป็คนแรกเ้าค่ะ”
เข้าใจแล้ว
ไป๋เซี่ยเหอเรียกฝูเอ๋อร์เข้ามา เพื่อช่วยนางเปลี่ยนเป็ชุดกระโปรงยาวสีชมพู ตัวกระโปรงกับแขนเสื้อปักดอกฝูหรง[2]ที่ดูวิจิตรงดงาม ไม่ประทินโฉม ดวงตาสุกใสดูเฉลียวฉลาด ทั้งยังเผยความเอ้อระเหยและงดงามอยู่ในแววตา
นางสวมอาภรณ์สีชมพูสดเช่นนี้น้อยครั้งยิ่ง ทว่าตอนนี้กลับได้รับคำชมเชยและคำให้กำลังใจอย่างไม่ขาดสายจากแม่นมชิว
“คุณหนู บ่าวไปกับท่านได้หรือไม่เ้าคะ?”
ใบหน้าเล็กของฝูเอ๋อร์ดูเศร้าสร้อย นางไม่อยากแยกจากคุณหนู เพราะมักเกิดเื่กับคุณหนูทุกครั้งที่นางไม่อยู่ด้วย
“ไม่ได้ เ้ายังมีเื่อื่นที่ต้องทำแทนข้า”
เมื่อกำชับฝูเอ๋อร์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป๋เซี่ยเหอก็ทิ้งอีกฝ่ายไว้ที่เรือนสุ่ยฉิง ก่อนจะเดินนำแม่นมชิวออกจากจวนไปขึ้นรถม้า
ในขณะที่รถม้าแล่นออกจากจวน
บริเวณหลังูเาจำลองของจวนสกุลไป๋ เงาร่างอ่อนช้อยค่อยๆ ก้าวออกมา ก่อนจะกล่าวด้วยท่าทีครุ่นคิด
“นั่นไม่ใช่แม่นมคนสนิทของฮองเฮาหรอกหรือ?”
เนื่องจากมีแม่นมชิวเป็ผู้นำทาง การเข้าวังจึงราบรื่นอย่างยิ่ง
ยังไม่ทันเดินเข้าไปที่ตำหนักชั้นใน เสียงอาเจียนก็ดังแว่วออกมา
แม่นมชิวที่อยู่ข้างกายไป๋เซี่ยเหอรีบเดินเข้าไปด้านในและตำหนิเหล่านางกำนัลทันที “พวกเ้าปรนนิบัติฮองเฮาประสาอะไร? เหตุใดถึงทรงอาเจียนจนเป็เช่นนี้?”
ไป๋เซี่ยเหอรีบตามเข้าไป นางสังเกตเห็นว่าฮองเฮาผ่ายผอมลงมาก พวงแก้มก็ตอบลง
ตอนนี้ดวงตาของฮองเฮาแดงก่ำเพราะเพิ่งอาเจียนเสร็จ มือข้างหนึ่งกดหน้าอกไว้ด้วยความทรมาน แม่นมชิวจึงรินน้ำให้นางดื่มถ้วยหนึ่ง
“ฮองเฮาทรงดีขึ้นหรือไม่เพคะ?”
ฮองเฮาผงกศีรษะ นิ้วเรียวขาวหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นเช็ดเบ้าตาที่เปียกชื้นจากการออกแรงอาเจียน
“ข้าให้เ้าไปรับแม่หนูเซี่ยเหอมา เ้าพานางมาหรือยัง?”
ไป๋เซี่ยเหอที่ถูกถามถึงเดินเข้ามาจากด้านนอกของฉากกันลม ใบหน้าอมยิ้มบางๆ “ถวายพระพรฮองเฮาเพคะ”
ฮองเฮาเอ่ยเสียงเบาด้วยความอ่อนโยน “ที่นี่ไม่มีคนนอก จะยังพูดจาตามพิธีรีตองเหล่านี้ไปไย? รีบมานั่งเร็ว”
ไป๋เซี่ยเหอนั่งลงข้างๆ นางอย่างเชื่อฟัง ฮองเฮาถามถึงาแและจวนสกุลไป๋ โดยไม่ได้เอ่ยถึงเซ่อเจิ้งอ๋องเลย
ไป๋เซี่ยเหอมีความอดทนผิดปกติ ฮองเฮาถามอย่างไรนางก็ตอบอย่างนั้น
ในอดีตชาตินางโดดเดี่ยวและตัวคนเดียว ทว่าชาตินี้กลับมีคนที่ห่วงใยและรักทะนุถนอมนาง นางจึงไม่เสียใจเลยที่ได้ทะลุมิติมา
“ฮองเฮา ทรงให้คุณหนูใหญ่สกุลไป๋ตรวจชีพจรให้เถิดเพคะ”
แม่นมชิวถูมือไปมาด้วยความร้อนใจและตื่นเต้น
ฮองเฮาถลึงตามองนางด้วยรอยยิ้ม “เ้าดันปากเร็ว ข้าอุตส่าห์อยากให้แม่หนูเซี่ยเหอประหลาดใจเสียหน่อย!”
ไป๋เซี่ยเหอนั่งอยู่ข้างกายของฮองเฮา รู้สึกว่าตนเองผ่อนคลายมากอย่างอธิบายไม่ได้ จึงยิ้มแย้มตามไปด้วย “หม่อมฉันยังไม่ทันได้เข้ามา ก็ได้ยินฮองเฮาทรงอาเจียนเช่นนั้นแล้ว จะประหลาดใจได้อย่างไรกันเพคะ?”
ฮองเฮาใช้นิ้วดันหน้าผากไป๋เซี่ยเหออย่างเบามือ “เ้าเองก็เป็พวกเดียวกับแม่นมชิว เอาแต่หยอกเย้าข้า”
แม่นมชิวหัวเราะแหะๆ ริ้วรอยทั้งหมดบนใบหน้าแสดงให้เห็นว่าตอนนี้นางอารมณ์ดีเพียงใด
ไป๋เซี่ยเหอเอานิ้วทาบบนข้อมือของฮองเฮา
ชีพจรไปมาไหลลื่น ััราวกับไข่มุก เห็นได้ชัดว่าชีพจรลื่น!
“ยินดีด้วยเพคะฮองเฮา”
คนสองคนที่กลั้นหายใจรอฟังข่าวต่างเบิกตากว้าง ตอนนี้ได้ยินว่าตั้งครรภ์แล้วอย่างที่คาดการณ์ไว้ พวกนางจึงข่มกลั้นอารมณ์ตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่
โดยเฉพาะฮองเฮา นางไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าชีวิตนี้นางจะสามารถมีบุตรเป็ของตนเองได้!
หลังจากไป๋เซี่ยเหอกล่าวจบ ฮองเฮาที่มีพระชนมพรรษาสามสิบกว่าปีก็ร้องไห้โฮ
ก่อนหน้านี้นางเคยเศร้าเสียใจมาก
ในฐานะฮองเฮา ใน่หลายปีมานี้ที่นางไม่อาจตั้งครรภ์ มีเพียงตัวนางเท่านั้นที่รู้ว่า นางต้องแบกรับความกดดันและคำตำหนิมากเพียงใด
ใบหน้าของแม่นมชิวประดับไปด้วยรอยยิ้ม ขณะที่เช็ดน้ำตาก็เอ่ยปลอบโยน “ฮองเฮา เื่มงคลเช่นนี้ เหตุใดถึงร้องไห้เล่าเพคะ?”
ขณะที่กล่าวก็ลอบส่งสายตาให้ไป๋เซี่ยเหอ
ในเมื่อพวกนาง้าปิดบังเื่ตั้งครรภ์ ก็ไม่อาจแสดงออกอย่างผิดปกติเกินไป
ในวังหลวงแห่งนี้มีสายตาของผู้อื่นอยู่ทุกที่ ยากที่จะหลีกเลี่ยงการถูกคนที่คอยจับตามองแพร่งพรายเื่นี้ออกไป
ไป๋เซี่ยเหอหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดสะอ้านออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะใช้มันเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของฮองเฮาอย่างเบามือ นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเนิบนาบและอ่อนโยน ทว่ากลับมอบพลังอันไร้ลักษณ์ให้แก่ผู้คน
“ฮองเฮาทรงเป็มารดาแล้ว จะทรงกันแสงได้อย่างไรเพคะ? หากทารกในพระอุทรได้ยินเข้า ต้องหัวเราะฮองเฮาแน่แล้วเพคะ”
ฮองเฮาหยุดร้องไห้ นางถลึงตามองไป๋เซี่ยเหออย่างขุ่นเคือง “เ้าหัวเราะเยาะข้าให้มันน้อยๆ หน่อย ทารกยังเล็กปานนั้นจะรู้ได้อย่างไร?”
ไป๋เซี่ยเหอแลบลิ้น “ข้าบอกเขาในวันหน้าได้เพคะ”
“ดีจริงเชียว นึกไม่ถึงว่าเ้าจะกล้าหัวเราะเยาะข้า”
------------------------
[1] เหวยเม่า หมายถึง หมวกที่มีม่านตาข่ายห้อยอยู่รอบๆ
[2] ดอกฝูหรง หมายถึง ดอกพุดตาน