สีหน้าของเหอตังกุยะเืใจยิ่งนัก สองมือบิดผ้าเช็ดหน้าพลางขบริมฝีปากล่างแน่น ก่อนเอ่ยอย่างลังเล “ไม่มีใครนำเื่นี้มาบอกข้าหรอกเ้าค่ะ... ข้าไม่กล้าปิดบังมามา แท้จริงแล้วข้าฝันเ้าค่ะ...ข้าหวังว่าจะเป็เพียงฝันเท่านั้น”
“ฝัน? เป็ไปได้อย่างไร?” หยางมามากล่าวด้วยความสงสัย
เหอตังกุยพยักหน้ากล่าว “ข้าก็ไม่อยากเชื่อว่านี่คือความฝัน ข้ารู้สึกตลอดว่าตนอยู่ในห้วงนิทรา ไม่มีทางเป็จริงได้ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงไม่กล้าเอ่ยเื่ฝันร้ายเมื่อคืนั้แ่ทีแรก ทว่าสุดท้ายก็ต้องเอ่ยถามถึงสุขภาพของหลานแฝดทั้งสอง เพื่อพิสูจน์ว่าเื่เทพชราในฝันนั้นไม่ใช่เื่จริง…”
“ฝันร้าย?” หยางมามาจับประเด็นสำคัญได้รวดเร็ว พลางหรี่ตาเอ่ยถาม “ฝันร้ายอันใด?”
เหอตังกุยเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “ไม่ใช่เพราะตังกุยไม่อยากพูดแต่ตังกุยไม่กล้าพูดเ้าค่ะ กลัวจะล่วงเกินท่านพี่ไป๋เฉียนและท่านพี่สะใภ้ มามาได้โปรดฟังแล้วปล่อยผ่านไปเถิด อย่าได้นำเื่นี้ไปเล่าให้คนอื่นฟัง มิเช่นนั้น...คนอื่นอาจคิดว่าข้าแช่งหลานชายให้ตายได้”
เหอตังกุยใจนตัวหด พลันยกสองมือปิดปากพลางส่ายศีรษะไม่ยอมพูดแม้แต่คำเดียว ทำให้หยางมามาหงุดหงิดจนต้องดึงแขนของนางออก พยายามข่มความกังวลไว้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่นี่มีเพียงข้าและท่าน ท่านยังเด็ก หากพูดสิ่งใดที่ไม่ควร ข้าก็จะไม่โทษท่านและจะไม่ไปพูดกับนายหญิงน้อยใหญ่เพื่อใส่ร้ายท่าน ที่ท่านพูดว่าจะทำให้ข้ากังวลนั้น หรืออยากให้ข้าเดาเื่ไปในทางไม่ดี?”
เหอตังกุยร้อนใจทันที อาการคันในมือก็กำเริบอีกครั้ง นางทั้งเกาทั้งกล่าว “ในความฝัน ข้ากลับไปยังจวนตระกูลหลัว คืนนั้นมีทั้งเสียงหนูของข้าและเสียงบ่อนพนันของป้าหวัง ทำให้ข้าต้องสวมเสื้อคลุมและ…”
“บ่อนพนันหรือ?!” หยางมามาเอ่ยแทรก “บ่อนพนันอะไร?!”
เหอตังกุยเบิกตากว้างด้วยความใ แววตาสะท้อนความรู้สึกผิด นางก้มหน้าเพราะถูกสายตาของหยางมามากดดันให้เล่าเื่ราวั้แ่ต้นจนจบ “ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ข้าได้ยินป้าหวังพูดคุยกับหลานชายของนางโดยบังเอิญ เดิมทีไม่คิดจะฟังแต่เมื่อได้ยินพวกเขาเอ่ยถึงเงินสี่ร้อยตำลึงของข้า ข้าจึงต้องฟัง ที่แท้พวกเขาก็เปิดบ่อนพนันในจวน นอกจากเงินค่าอาหารของข้าแล้ว ดูเหมือนพวกเขาจะยักยอกเงินกองกลางของบ่าวรับใช้ไม่น้อย เพื่อนำมาลงทุนบ่อนใต้ดิน”
หยางมามาครุ่นคิดครู่หนึ่ง นางคล้ายจะไม่เชื่อคำของเหอตังกุย จึงสอบถามต่อ “เป็ไปได้อย่างไร? หากเป็เช่นนั้น เหตุใดจึงไม่มีบ่าวมารายงาน?”
เหอตังกุยอธิบายอย่างไม่เร่งรีบ “พวกเขาเรียกบ่าวรับใช้และสาวใช้ในจวนไปเล่นการพนัน หากอีกฝ่ายแพ้แล้วไม่มีเงินจ่าย พวกเขาก็ไม่ต้องกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รับผิดชอบหนี้สิน เพียงลบส่วนแบ่งค่าอาหารของอีกฝ่ายออกจากรายชื่อบ่าวรับใช้ เงินกองกลางที่เหลือก็คืนให้แก่พวกเขา คนที่ถูกหักเงินค่าอาหารก็คิดว่าตนติดหนี้พนันจึงไม่กล้าโต้แย้ง หลังจากประหยัดเงินเบี้ยเลี้ยงไปหลายเดือน คนพวกนั้นก็ไม่สามารถต้านทานการล่อลวงของการพนันได้อีก ด้วยเพราะอยากได้เงินตนคืนมาจึงถูกเ้าของบ่อนโกงเงินอีกรอบ... คำพูดเหล่านี้คือสิ่งที่ข้าได้ยิน”
เมื่อหยางมามาฟังเหอตังกุยอธิบายจบ นางก็เอ่ยถามด้วยสีหน้ามืดทะมึน “แต่...เมื่อคุณหนูสามรู้ถึงความผิดใหญ่หลวงของแม่บ้านหวังฉี่ เหตุใดหลายเดือนที่ผ่านมาจึงไม่รายงานเหล่าไท่ไท่ แต่กลับมาพูดตอนนี้? รู้หรือไม่ว่าอันตรายของบ่อนพนันใต้ดินมีมากเพียงใด? ตอนท่านยังไม่เกิด จวนตระกูลหลัวเคยวุ่นวายเพราะมีบ่าวรับใช้เล่นพนัน ด้วยเหตุนี้การพนันทุกชนิดจึงเป็สิ่งต้องห้ามในจวน คุณหนูสามเป็คนในตระกูลหลัว เมื่อท่านรู้เหตุการณ์ก็ควรจะรายงานทันทีจึงจะถูก แต่ท่านกลับปล่อยให้พวกนั้นเล่นพนันใต้ดินอยู่นานกว่าจะแจ้ง ท่านก็น่าสงสัยว่าเหตุใดจึงปกป้องคนผิดเช่นนี้?”
“ข้าผิดไปแล้วมามา ตังกุยผิดไปแล้ว” เหอตังกุยยกมือปิดหน้าแล้วร้องไห้ “ข้าจะปกป้องพวกป้าหวังได้อย่างไร? เื่นี้ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับข้า ป้าหวังสร้างบ่อนพนันในห้องใต้ดินหลังเรือนซีคั่ว เสียงดังทุกคืนจนข้านอนไม่ได้ สิ่งที่แย่ไปกว่านั้นคือป้าหวังเป็ผู้ควบคุมดูแลห้องครัว ทำให้ข้าไม่มีอาหารและไม่มีเงินจัดการห้องครัวตัวเอง ท้ายที่สุดสาวใช้ทั้งหมดในเรือนข้าต่างไม่พอใจ มีมากกว่าสิบคนที่ออกไปรับใช้เ้านายเรือนอื่น ด้านพวกที่ไม่สามารถย้ายไปไหนได้ก็ตำหนิข้าทั้งวัน แทบไม่เห็นข้าเป็เ้านายแล้ว ดังนั้นการสั่งให้พวกเขาทำอะไรนั้นเป็เื่ยากนัก ข้าไม่มีทางเลือกจึงต้องทำงานต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะหาบน้ำ ทำความสะอาด เย็บผ้า ซักผ้า...”
“อะไรนะ?!” เมื่อหยางมามาผู้ซึ่งเกลียดบ่าวรับใช้เ้าเล่ห์ที่สุดได้ยินดังนั้นก็เดือดดาลทันที “ไอ้พวกสารเลว พวกมันขายตัวเป็บ่าวรับใช้ตระกูลหลัว ได้รับเบี้ยหวัดทุกเดือน แม้กระทั่งชีวิตของพวกมันก็ต้องมอบให้ผู้เป็นาย แต่พวกมันกล้ารังแกเ้านายเช่นนี้ จิตสำนึกของพวกมันคงโยนให้หมากินไปแล้ว คุณหนูสาม เหตุใดท่านจึงไม่รายงานเื่นี้ต่อเหล่าไท่ไท่?”
เหอตังกุยก้มหน้าพลางเอ่ยทั้งน้ำตา “เดิมทีก็อยากขอร้องต่อเหล่าไท่จูว่าในเรือนข้ามีบ่าวรับใช้ไม่พอ ขอให้นางย้ายสาวใช้สิบกว่าคนที่ออกจากเรือนก่อนหน้านี้กลับมา ทว่าจู่ ๆ ก็ได้ยินสาวใช้ที่เหลือไม่กี่คนเอ่ยถึงคนที่ย้ายไปพวกนั้นด้วยความอิจฉา พวกนางเ่าั้หากไม่ได้ไปรับใช้ท่านป้าเหมยอนุของลุงสาม ก็ไปรับใช้ที่เรือนซู่เหม่ยซึ่งเป็เรือนใหม่ของพี่รอง...”
“เรือนซู่เหม่ย?” หยางมามาขมวดคิ้ว “คุณหนูรองเป็เ้าของเรือนซู่เหม่ยเมื่อใดกัน เหตุใดข้าถึงไม่รู้?”
เวลาผ่านไป คุณหนูรองเริ่มโตขึ้น หน้าตาก็งดงามดึงดูดใจผู้คน ด้วยท่วงท่าสง่างามและความมีน้ำใจ อีกทั้งยังมีฐานะเป็ลูกสาวคนโตของภรรยาเอกในครอบครัวที่สองของตระกูลหลัว ไม่ว่าใครก็มองออกว่าอนาคตของนางนั้นยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด นายหญิงรองรักคุณหนูรองมากเสียจนตามใจนางทุกอย่าง เพียงเพราะคุณหนูรองบ่นว่าเรือนของตนเล็กเกินไป ข้าวของยัดไม่ได้แล้ว เอ้อร์ไท่ไท่จึงใช้พื้นที่ว่างเปล่าจำนวนไม่น้อยของตระกูลหลัวตกแต่งห้องใหม่ ไม่ว่าจะเป็ห้องน้ำ ห้องอ่านหนังสือ ห้องดีดพิณ รวมไปถึงห้องเต้นรำให้แก่คุณหนูรองได้ใช้สอย
เมื่อเพิ่มห้องทั้งแปดในเรือนคุณหนูรองเรียบร้อยแล้ว เหล่าไท่ไท่ก็ตำหนินายหญิงรองว่าตามใจลูกจนเกินไป อนาคตเมื่อลูกสาวแต่งเข้าจวนสามี หากมีห้องไม่กี่ห้องในเรือนเดียว ความแตกต่างมากมายเพียงนี้อาจทำให้นางรู้สึกไม่ได้รับความเป็ธรรม การกระทำเช่นนี้ไม่ดีต่อเด็กนัก
นายหญิงรองรีบให้คุณหนูมายกน้ำชาและนวดขาให้เหล่าไท่ไท่ทันที ก่อนเอ่ยหยอกล้อ “สุภาษิตกล่าวไว้ ‘เลี้ยงลูกชายอย่างประหยัดและเลี้ยงลูกสาวอย่างไม่ตระหนี่’ เดิมทีลูกสาวก็เอาแต่ใจอยู่แล้ว คุณหนูเฉียวของพวกเราจะต้องเข้าวังไปปรนนิบัติฮ่องเต้ในอนาคต ตอนนี้นางอายุสิบสองปีแล้ว ระดูของนางก็มาแล้ว ตระกูลหลัวของพวกเราจะเลี้ยงดูนางได้อีกกี่ปี? นางจะอยู่เรือนเ่าั้ได้อีกกี่ปี? เหล่าจูจง ท่านควรจะดีกับหลานสาวแท้ ๆ ของตัวเองมากกว่า ‘คนนอก’ แยกแยะความแตกต่างของทั้งสองออกจากกันเสีย”
แน่นอนว่า ‘คนนอก’ หมายถึงเหอตังกุย ประการแรก เหอตังกุยคือบุตรหลานนอกสกุลหลัว ประการที่สอง ในปีนั้นมีนายหญิงดูแลจวนตระกูลหลัว “สองท่าน” นายท่านหลัวตู้จ้งแต่งงานกับพี่น้องคู่หนึ่งของจวนตระกูลฉาย พี่น้องคู่นี้คือภรรยาเอกถูกต้องตามกฎหมาย ฐานะเท่าเทียมกัน คุณหนูใหญ่ฉายคือท่านยายของเหอตังกุย นางเป็ต้าเหล่าไท่ไท่ที่ล่วงลับไปแล้ว ให้กำเนิดหลัวชวนไป่ผู้เป็ครอบครัวสาขาแรกและให้กำเนิดบุตรสาวหลัวชวนสยง คุณหนูรองตระกูลฉายคือน้องสาวของท่านยายเหอตังกุยหรือเหล่าไท่ไท่ในปัจจุบัน นางให้กำเนิดหลัวชวนกู่ครอบครัวสาขาสองและหลัวชวนพั่วครอบครัวสาขาสาม
แม้คุณหนูใหญ่ฉายและคุณหนูรองฉายจะเป็พี่น้องท้องเดียวกัน ทว่าพวกนางกลับขัดแย้งกันเพราะแย่งชิงความโปรดปรานจากผู้เป็สามี จนกลายเป็ศัตรูที่เกลียดชังซึ่งกันและกัน ต่อมานายท่านหลัวตู้จ้งเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย สองพี่น้องจึงญาติดีกันอีกครั้ง แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถเข้ากันได้และไม่สามารถกลับเป็เหมือนก่อนได้อีกแล้ว สามปีก่อนต้าเหล่าไท่ไท่จากไปด้วยอาการป่วย เหล่าไท่ไท่กลายเป็ผู้าุโเพียงคนเดียวในตระกูลหลัว มีฐานะสูงส่งในจวนหลัวตงและจวนหลัวซี เป็รองเพียงนายท่านหลัวม่ายทงแห่งจวนตระกูลหลัวในเมืองหลวง
สิ่งที่น่าแปลกใจคือยายแท้ ๆ ของเหอตังกุยไม่เพียงไม่รักหลัวชวนสยงผู้เป็ลูกสาวแท้ๆ ของตนเท่านั้น แต่ยังส่งเหอตังกุยหลานสาวนอกสกุลไปตกระกำลำบากที่หมู่บ้านหนงจวง กลับกันเหล่าไท่ไท่น้องสาวของยายเหอตังกุยกลับรักหลัวชวนสยงและเหอตังกุยมากกว่า แม้เหล่าไท่ไท่จะไม่สามารถปฏิบัติต่อพวกนางเหมือนครอบครัวสาขาสองและครอบครัวสาขาสามที่เป็สายเืของตนได้ก็ตาม พวกนางต้องอาศัยในจวนตระกูลหลัวอันเหน็บหนาวและสูญเสียผู้าุโถึงสองคน แต่สองแม่ลูกก็ยังมีเรือนส่วนตัวและได้รับเบี้ยเลี้ยงรายเดือน ไม่ถูกตัดออกจากวงศ์ตระกูล การที่หลัวชวนสยงและลูกสาวของนางสามารถยืนหยัดได้นั้นล้วนเป็เพราะเหล่าไท่ไท่คอยปกป้อง
ชาติที่แล้ว ทุกครั้งที่มีการแบ่งเงินหรือสิ่งของ ครอบครัวสาขาแรก สาขาสองและสาขาสามมักจะ “ไม่สนใจ” แสร้งลืมหลัวชวนสยงและลูกสาวของนางเสมอ เหล่าไท่ไท่ก็เอ่ยถามหลายครั้งจึงทำให้พวกเขา “นึกขึ้นได้” ในทันที ทุกครั้งที่เหล่าไท่ไท่เข้าร่วมงานเลี้ยงก็มักจะเหลือที่นั่งสำหรับหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนให้เหอตังกุยเสมอ หวังว่าจะมีฮูหยินหรือคุณชายสักตระกูลสอบถามภูมิหลังครอบครัวหรือเวลาตกฟากของเด็กสาวผู้งดงามนามว่าเหอตังกุย
แม้ในงานเลี้ยงทุกครั้งจะมีคนไม่น้อยที่ชอบใบหน้ารูปไข่อันงดงามของเหอตังกุย แต่กลับไม่มีใครอยากแต่งงานกับนาง เพราะฐานะของนางคือลูกสาวนอกสมรสที่ถูกบิดาทอดทิ้ง รวมไปถึงสภาพแวดล้อมที่นางเติบโต เมื่อได้ฟังเหล่าไท่ไท่พูดติดตลกว่า ‘สองตระกูลเป็สหายกันมานาน ให้เสี่ยวอี้ของข้าเป็ชายาเอกของคุณชายเฟิงของท่านก็แล้วกัน’
เมื่อทราบภูมิหลังของเหอตังกุย คนที่คิดถอยหนีกลับต้องตะลึงอ้าปากค้างพลางคิดในใจ ‘เหล่าไท่ไท่ตระกูลหลัวล้อเล่นกระมัง หากให้นางแต่งงานเป็ชายาเอกของตระกูลข้า ก็คงต้องตรวจสอบว่านางเคยก่อเื่ไม่เหมาะสมในหมู่บ้านหนงจวงหรือไม่ ในอนาคตลูกเฟิงของข้าต้องสืบทอดตำแหน่งขุนนางขั้นสามต่อจากบิดาของเขา โอ๊ย ๆ ๆ ต่อให้ข้าจะตาบอด เสียสติหรือผีเข้าสิง ข้าก็ไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานในครั้งนี้’
ดังนั้นในชาติที่แล้ว แม้เหล่าไท่ไท่จะพยายามให้เหอตังกุยเข้าร่วมสังคมชนชั้นสูง เพื่อจะได้แต่งงานเป็ชายาเอกของคุณชายครอบครัวขุนนางร่ำรวยสักตระกูล แม้จะใช้ภูมิหลังอันรุ่งโรจน์ของตระกูลหลัวและความน่าเคารพของเหล่าไท่ไท่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเหอตังกุยได้
สิบกว่าปีที่ผ่านมาจนกระทั่งเหอตังกุยถูกทำร้ายถึงตายในชาติที่แล้ว นางก็ยังไม่สามารถกลายเป็หนึ่งในคุณหนูชนชั้นสูงได้ นางยังคงถูกสนมกู่ชี้หน้าด่าว่า “มีแม่ให้กำเนิดแต่ไม่มีแม่คอยสั่งสอน” ทั้งยังเอ่ยถึงนางหลายต่อหลายครั้งว่า “เติบโตในหมู่บ้านหนงจวง” หรือ “ได้เห็นเื่สกปรกโสมมมากมาย” แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้คือเหล่าชาวนาที่หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินในหมู่บ้านหนงจวงนั้นมีจิตใจสะอาดและสูงส่งกว่าคนชั้นสูงที่ร่ำรวยไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า หากลูกสาวของนางเติบโตก็คงจะถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังเช่นเดียวกับนาง เมื่อลูกสาวของนางต้องแต่งงานก็ยังคงต่ำต้อยกว่าลูกสาวคนอื่น ๆ ของจูฉวน
ชาตินี้นางมีโอกาสกลับมาเกิดใหม่ เหอตังกุยตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าในอนาคตนางจะได้แต่งกับครอบครัวแบบใด นางก็จะไม่ขอเป็ “นางสนม” หรือ “สตรีที่ถูกทอดทิ้ง” ของครอบครัวว่าที่สามีอีกต่อไป นางจะใช้วิธีของนางล้างมลทินชาติกำเนิดของตน ใช้ใบหน้าใหม่ที่เปล่งประกายและโดดเด่นปรากฏต่อหน้าคนทั้งโลก ตระกูลเหอในเมืองหลวงไม่ให้ฐานะแก่นาง สักวันนางจะให้ตระกูลอื่นที่มีฐานะสูงส่งกว่าตระกูลเหอนับร้อยเท่ามอบมันให้แก่นางด้วยสองมือ
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้