พลังบำเพ็ญเพียรของอวี๋เคอนั้นแข็งแกร่งมากพออยู่แล้วการปรับตัวของร่างกายก็สามารถปรับได้ค่อนข้างดีบวกกับการที่ตัวผมหายใจในร่างเป็เวลานานในตอนกลางคืน เมื่อถึงตอนรุ่งเช้าความเ็ปที่หน้าอกก็ดูจะไม่รุนแรงเท่าก่อนหน้านี้แล้ว แต่าแที่หลังนี่เป็ปัญหาเสียจริง
เนื่องจากผมมองไม่เห็นแผลหากจะทายาก็คงต้องหาใครสักคนมาช่วยทาให้
ตอนนี้ผมกำลังนั่งอยู่บนเตียง เมื่อเด็กน้อยที่กำลังนอนอยู่ข้างๆขยับตัวเพียงนิดเดียวผมก็รู้สึกได้แล้ว จากนั้นจึงลืมตามองไปที่เขาแล้วก็สบเข้ากับสายตาตื่นใของเขาพอดี จากนั้นก็เห็นว่าใบหน้าของเด็กน้อยคนนี้ค่อยๆแดงระเรื่อขึ้นมา เขารีบก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ถ้อยคำที่พูดออกมาก็ล้วนตะกุกตะกักจนทำให้ผมไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
“ทะ ทะ ท่านอาจารย์ท่านตื่นแล้วหรือขอรับ? ขะ... ข้ามานอนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? แล้ว...” พูดมาถึงตรงนี้เขาก็เหลือบตาขึ้นมองผมด้วยความประหม่า แล้วก็รีบก้มหน้าลงไปอีกครั้ง แม้กระทั่งใบหูก็ยังแดง “เหตุใด ทะ ท่าน... จึงไม่ใส่เสื้อผ้า...? ”
ก่อนหน้านี้อาจิ่วมาช่วยผมเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่หน้ากากกลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิดเนื่องจากแผ่นหลังมีาแ หากเกิดการอับชื้นเป็เวลานานจะไม่เป็ผลดีต่อแผลอาจิ่วก็เขลาเกินกว่าจะจัดการได้อีก ั้แ่เมื่อคืนตอนที่ผมกลับมาถึงเรือนก็ถอดเสื้อตัวบนออกจนตอนนี้ทำให้เขาใกลัวไปแล้ว
เมื่อผมเห็นเขาที่จู่ๆก็เกิดอาการเขินอายขนาดนี้ขึ้นมา ก็อดที่จะหยอกล้อไม่ได้ “เ้าเป็คนพูดเองไม่ใช่หรือว่าจะนอนที่นี่หรือว่าพอหลับไปแล้วก็เกิดลืมขึ้นมา? ”
ซ่งฉียวนได้ยินดังนั้นก็ตัวแข็งทื่อราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาดูสับสน จากนั้นก็ไม่รอให้ผมถามอีกแล้วะโลงจากเตียงไป ก่อนจะคุกเข่าทั้งสองข้างลงกับพื้นต่อหน้าผมส่งเสียงดังยกใหญ่ แล้วก้มหน้าพูดว่า “เมื่อคืนฉียวนสับสน และล่วงเกินท่านอาจารย์ไป ท่านอาจารย์โปรดลงโทษด้วยขอรับ!”
หืม? คราวนี้จะมาไม้ไหนอีกเล่า? ซ่งฉียวนคนเมื่อวานกับวันนี้ราวกับเป็คนละคนแต่เขากลับรู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรลงไป หรือว่ากำลังจะแตกเนื้อหนุ่มแล้วอารมณ์ก็เลยแปรปรวน? ผมเองก็คร้านจะเถียงกับเขาเช่นกันจึงโบกมือไปมา แล้วตอบกลับไปว่า “เ้าลุกขึ้นมาเถิดข้าไม่ได้โทษเ้าหรอก”
“ท่านอาจารย์โปรดลงโทษด้วยขอรับ! ”
หืม? เ้าเด็กคนนี้ยังจะรั้นอยู่อีก? จากนั้นผมจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “เช่นนั้นข้าจะลงโทษด้วยการให้เ้าทายาให้ข้าก็แล้วกัน”
ซ่งฉียวนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจแต่ก็รีบเอื้อมมือไปรับขวดยาที่ผมโยนไปให้ทันที จากนั้นสีแดงที่เพิ่งจางหายไปจากใบหน้าก็ปรากฏขึ้นบนแก้มทั้งสองข้างอีกครั้งเป็อยู่อย่างนั้นวนกลับไปกลับมา
จุ๊จุ๊จุ๊ ผู้ชายสองคนจะมีอะไรให้ต้องอายกัน?
ความอุ่นจากฝ่ามือเล็กที่ััอยู่ตรงแผ่นหลัง กำลังป้ายยาลงไปแล้วเกลี่ยทาด้วยความละเมียดละไมและระมัดระวังคาดว่าแผลคงจะลึกพอสมควร เขาจึงได้ทาอย่างเบามือแบบนี้ ผมยังรู้สึกเจ็บอยู่แต่เนื่องจากเคยชินไปั้แ่ในชาติก่อนแล้ว คราวนี้จึงไม่เจ็บเสียจนต้องร้องออกมา
ทว่าเมื่อทายาเสร็จแล้วหันหน้ากลับไปมองกลับเห็นดวงตาของเด็กน้อยแดงก่ำขึ้นมาอีกครั้ง ผมปวดหัวไปชั่วขณะ ทำไมซ่งฉียวนใน่วัยเด็กถึงได้ชอบร้องไห้ขนาดนี้?
“ข้าไปตักน้ำมาล้างให้ท่านอาจารย์ก่อนนะขอรับ”
เขาน่าจะรู้สึกเขินอายเช่นกันจึงรีบหาข้ออ้างเพื่อวิ่งออกไป
ผมหยิบเสื้อตัวกลางออกมาจากในแหวนหยกพร้อมกับนำม้วนคัมภีร์ “เคล็ดวิชาเทียนเฉิน” และตำราวิชาสามัญอื่นๆจำนวนหลายเล่มที่เตรียมเสร็จไว้นานแล้วก่อนหน้านี้ออกมาวางรวมกันไว้ที่ข้างกาย
ก่อนข้ามมิติมา เมื่อผมไล่อ่านต้นฉบับอยู่ที่บ้านเสื้อผ้าอะไรที่ใส่แล้วสบายผมก็มักจะใส่ตัวนั้น ซึ่งก็คือกางเกงขาสั้นตัวใหญ่กับเสื้อกั๊กตัวใหญ่พร้อมกับรองเท้าแตะเดินเตร่ไปทั่วบ้าน ทว่าั้แ่มายังโลกแห่งผู้ฝึกตนย้อนยุคนี้การที่ต้องห่อหุ้มตัวเองเอาไว้อย่างอึดอัดนั้นเป็เื่ที่ทรมานจริงๆ
สรุปแล้วตอนนี้ผมก็รักษาร่างกายของซ่งฉียวนจนหายดีได้แล้วแม้ผมจะได้รับาเ็ แต่ความรู้สึกผิดต่อเด็กคนนี้กลับลดลงไปมากทีเดียวเมื่อไม่ได้อยู่ในวังปีศาจที่วังเวงและเหี่ยวเฉาไม่มีกู้จิ่นเฉิงคอยจับตาดูอยู่รอบตัว ไม่ต้องเผชิญหน้ากับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่สลับซับซ้อนจึงรู้สึกว่าทำไมผมถึงต้องผูกมัดตัวเองด้วย?
ผมสวมเสื้อตัวกลางและเดินออกจากกระท่อมไม้ด้วยเท้าเปล่าทอดมองไปยังผืนทะเลสาบอันเงียบสงบที่้ามีก้อนเมฆและกลุ่มหมอกหมุนวนเป็เกลียวแสงแดดที่สาดส่องทะลุผ่านรอยแยกของหมอกลงมา ทำให้น้ำในบริเวณที่ถูกแสงตกกระทบแปรเปลี่ยนเป็สีทองอ่อนๆช่างวิจิตรงดงาม เมื่อสูดอากาศบริสุทธิ์เข้าไปเบาๆ ก็รู้สึกสบายทั้งกายและใจ
“นายท่าน นายท่าน~” อาจิ่วกระพือปีกบินขึ้นมาเกาะบนไหล่ของผมพิงอยู่ข้างหูผมพร้อมกับแอบหัวเราะ “เ้าผีน้อยนั่นมองท่าทางของท่านจนตะลึงไปแล้ว!ข้ารู้แล้วว่าหน้ากากไม่สามารถบดบังเสน่ห์ของนายท่านได้เลย! ” พูดจบก็พยักหน้างึกงักอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
ผมหันหน้าไปมองก็เห็นซ่งฉียวนกำลังถือชามไม้ชามหนึ่งเอาไว้ด้วยสองมือ เมื่อมองตรงมาสบตากับผมเข้า ก็ใจนรีบหันหลังกลับไป
ผมจึงรีบก้าวเท้าเดินตามไป แล้วหยิบตำราวิชายุทธ์สองสามเล่มออกมาถือไว้ในมือไปยืนประจันหน้ากับเขา ก่อนจะกางตำราวิชายุทธ์ขึ้นกลางอากาศ แล้วยิ้มพร้อมพูดว่า “ร่างกายปัจจุบันของเ้าคู่ควรกับวิชายุทธ์ขั้นสูงแล้วตำราเหล่านี้เป็สิ่งที่ข้าเก็บรักษาเอาไว้มาเป็เวลานานเ้าเลือกขึ้นมาหนึ่งเล่มสิ”
ซ่งฉียวนดึงสติตัวเองกลับมา แล้ววางชามไม้ลงบนพื้นก่อนจะมองไปที่กองม้วนตำราตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทว่าใจผมกลับเริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวตอนแรกที่ผมเขียนเื่ “มหันตภัยแห่งแดนเซียนปีศาจ” ก็ได้กำหนดให้ “เคล็ดวิชาเทียนเฉิน” เป็คู่วิชายุทธ์แห่งการฝึกฝนพลังปราณและพลังกายอันแสนแข็งแกร่ง ที่สามารถฝึกฝนพลังปราณให้มั่นคงและหนักแน่นจนไปถึงสามารถหล่อหลอมร่างกายให้แข็งแกร่งได้ซึ่งผู้ที่บรรลุถึงขั้นสูงจะสามารถต่อสู้กับดวงดาว โลก และ์ได้เพียงแต่มันมีข้อจำกัดต่อสภาพร่างกายของผู้ฝึกตนที่เคร่งครัดมาก กล่าวคือคนธรรมดาไม่สามารถฝึกได้แต่สภาพร่างกายของซ่งฉียวนในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งเทียบเท่าอสูรร้ายเฉวียงฉีซึ่งชัดเจนว่าวิชานี้คู่ควรกับเขามากที่สุดแล้ว
ไม่รู้ว่า่จังหวะที่สำคัญแบบนี้จะทำให้เนื้อเื่บางตอนเปลี่ยนไปเพราะการมาของผมหรือไม่
“ท่านอาจารย์ ข้าเลือกเล่มนี้ขอรับ”
เมื่อได้ยินเสียงเขา ผมก็ดึงสติกลับมากลับพบว่ามือของซ่งฉียวนได้วางอยู่บน “เคล็ดวิชาเทียนเฉิน” ที่ชำรุดทรุดโทรมอย่างมั่นคงอยู่ก่อนแล้วสีหน้าของเขาแน่วแน่เหมือนกับที่บรรยายเอาไว้ในหนังสือเลย
ในที่สุดก็ดูเหมือนว่าเนื้อเื่นี้ได้ดำเนินมาอย่างระหกระเหินจนไม่เบนไปจากเนื้อเื่หลักแล้วแต่ครั้งนี้ ผมไม่ได้เป็เพียงแค่อวี๋เคอเท่านั้น แต่ยังเป็เยี่ยวั่งจืออีกด้วย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้