ซูเฟยรีบส่ายหน้าเป็พัลวัน กัดริมฝีปากพลางเอ่ยขอร้อง “ไม่ ไม่นะ น้องซีเยวี่ย เมื่อครู่ข้าแค่วู่วามไปชั่วครู่เท่านั้น ข้าขอโทษ เ้าอย่าเก็บเื่นี้มาใส่ใจเลยนะ”
องค์หญิงซีเยวี่ยยิ้มเ็า “ในเมื่อพี่สาวอยากได้ยาบำรุงความงาม เช่นนั้นข้าจะบอกวิธีให้ เพียงแต่วิธีนี้มันค่อนข้างอันตราย พี่สาวอยากจะลองหรือไม่”
ซูเฟยเม้มริมฝีปากซึ่งทาชาดสีแดงสด มององค์หญิงซีเยวี่ยอย่างเด็ดเดี่ยว “ไม่ว่าวิธีใด ข้าพร้อมจะลองทั้งสิ้น”
“ดีมาก ข้าชื่นชอบพี่สาวที่เป็คนกล้าได้กล้าเสียเช่นนี้ที่สุด นำดอกจั้งหงฮวา[1] ตัวชะมดและไข่มุกมาบดเป็ผงรวมกัน จากนั้นใส่น้ำมันมะกอกและส่วนผสมสำคัญอีกอย่างหนึ่ง เพียงเท่านี้ก็จะได้ยาบำรุงความงามแล้ว“ องค์หญิงซีเยวี่ยกล่าว
“เพียงแต่ส่วนผสมสำคัญสุดท้ายค่อนข้างจะโหดร้ายสักเล็กน้อย พี่สาวอยากจะฟังหรือไม่”
ซูเฟยพยักหน้า
“เล็บของหญิงสาวนำมาบดเป็ผงแล้วนำไปผสมกับลูกตาสดๆ ของหมู จากนั้นผสมทุกอย่างเข้ากันแล้วนำมาทาที่หน้าวันละสามครั้ง” องค์หญิงซีเยวี่ยคิดว่าวิธีนี้เป็วิธีที่โหดร้ายและโเี้ที่สุด กลับคาดไม่ถึงว่าซูเฟยจะยิ้มออกมา
ซูเฟยยกมือขึ้นมาลูบเล็บของตัวเองขณะกล่าว “ส่วนผสมที่น้องกล่าวว่าค่อนข้างโหดร้าย ข้าก็นึกว่าเป็สิ่งใดเสียอีก ก็แค่เล็บของหญิงสาวเองหรอกหรือ โหดร้ายตรงไหนกัน ข้าสามารถหาเล็บหญิงสาวมาได้มากมาย”
ท่าทางของซูเฟยแลดูน่ากลัวยิ่งนัก ทำให้นางกำนัลข้างหลังถึงกับตัวสั่นเทา ซูเฟยเห็นก็รู้สึกไม่พอใจ ตะคอกใส่นางกำนัลเสียงดัง “เ้าจะกลัวอันใด ขืนยังตัวสั่นเช่นนี้อีกข้าจะเอาเล็บเ้ามาทำเป็ยาบำรุงความงาม!”
นางกำนัลได้ยินเช่นนั้นรีบลงไปคุกเข่ากับพื้น เอ่ยขอร้องไม่หยุด “พระสนมไว้ชีวิตบ่าวด้วย บ่าวไม่กล้าแล้วเพคะ”
ซูเฟยแค่นเสียงฮึในลำคอ ก่อนจะหันไปยิ้มให้องค์หญิงซีเยวี่ย “น้องซีเยวี่ย ข้าทราบแล้ว ไว้ข้าจะกลับไปลองดู เช่นนั้นข้าไม่รบกวนแล้ว”
องค์หญิงซีเยวี่ยพยักหน้า เด็ดดอกโบตั๋นที่บานได้งามที่สุดลงมาแล้วค่อยหมุนตัวเดินกลับตำหนักเจินหลงไป
ผ่านไปอีกหนึ่งคืน ขณะที่ฟ้าเริ่มมีแสงสว่างรำไร ภายในป่าได้มีพายุฝนลูกใหญ่ก่อตัวขึ้น ฝนที่ตกลงมาทำให้เสื้อผ้าของทั้งสามคนเปียกชุ่ม ท่าทางของทั้งสามจึงดูน่าอนาถยิ่งนัก
จ้าวซีเหอตื่นขึ้นมา เขามองหนิงมู่ฉือที่ยังคงนอนหลับอยู่ เขารู้สึกปวดที่ศีรษะจนต้องยกมือนวดขมับทั้งสองข้าง “ฉือเอ๋อร์ เ้าตื่นหรือยัง”
หนิงมู่ฉือส่งเสียงพึมพำทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตา ต่อมาไม่นานนางค่อยๆ ลืมตา ยกมือขยี้ตาก่อนจะมองฝนที่กำลังตกอยู่ในป่า นางถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “โชคดีที่เมื่อคืนเราพบสถานที่ที่พอจะหลบฝนได้บ้าง มิเช่นนั้นเราได้เปียกกลายเป็ลูกไก่ตกน้ำเป็แน่”
เฉินเกอลุกขึ้นยืน ใช้มือบังศีรษะก่อนจะยื่นหน้าออกไปเพื่อดูสีท้องฟ้า ใบหน้าเคร่งขรึมขณะเอ่ย “ฝนตกเช่นนี้ไม่หยุดง่ายๆ แน่”
“พวกเรารีบออกจากที่นี่เถิด หากอีกเดี๋ยวฝนตกหนักจะเดินทางลำบาก” หนิงมู่ฉือเอ่ยอย่างร้อนใจพร้อมกับลุกขึ้นยืน ฝนที่ตกลงมาเปียกใบหน้าหนิงมู่ฉือเป็ทางยาว
จ้าวซีเหอยืนพิงก้อนหินก้อนหนึ่ง มองฝนที่ยังคงตกลงมาด้วยใบหน้าี้เีประหนึ่งคุณชายเ้าสำราญ “พวกเ้าจะย้อนกลับไปทางเดิมหรือ แต่ถ้าพวกเราเดินไปข้างหน้าต่อ อีกไม่ไกลก็จะเป็เมืองเทียนหลิง”
“เมืองเทียนหลิง...คือสถานที่ใด” หนิงมู่ฉือเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยังไม่ตื่นดีนัก ตายังคงลืมไม่ขึ้น ปิดครึ่งเปิดครึ่ง
เฉินเกอกล่าวตอบแทนด้วยสีหน้าราบเรียบ “เมืองเทียนหลิงเป็เมืองชายแดนที่อยู่ติดกับต่างแคว้น เป็เมืองที่มีผู้คนมากมายหลากหลายและสับสนวุ่นวายยิ่ง โจรขโมยก็เยอะ”
“ดูจากจุดที่เราอยู่ตอนนี้ห่างจากเมืองเทียนหลิงไม่ไกล แต่ถ้าจะกลับไปทางเดิม ข้ากลัวว่าเราจะเจอปัญหาระหว่างทางเข้า” จ้าวซีเหอลุกขึ้นยืนปัดเศษดินเศษฝุ่นที่ติดอยู่ตามตัว
“ฉือเอ๋อร์ เ้าคิดว่าอย่างไร” เฉินเกอขมวดคิ้วขณะเอ่ยถาม ในเื่นี้เขาเองก็ไม่กล้าตัดสินใจ
หนิงมู่ฉือลูบคางอย่างใช้ความคิด ซึ่งเป็ท่าเคยชินทุกครั้งเวลานางใช้สมองครุ่นคิดสิ่งใด นางนิ่งคิดอยู่สักครู่ก่อนจะพยักหน้า “ก็ได้ จะให้พวกเราอยู่ในป่าต่อก็คงไม่ดีนัก มันอันตรายเกินไป”
จ้าวซีเหอหยิบห่อสัมภาระขึ้นมาแล้วเดินไปที่ม้า “เช่นนั้นพวกเราก็รีบออกเดินทางกันเถอะ”
หนิงมู่ฉืออ้าปากค้าง มองจ้าวซีเหออย่างตกตะลึง “เหตุใดท่านถึงได้รู้เื่ราวมากมายนัก ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเมืองเทียนหลิงมาก่อนเลย”
จ้าวซีเหอทำหน้าภูมิใจ ใช้แววตาดอกท้อมองหนิงมู่ฉืออย่างได้ใจ “เ้าดูถูกความสามารถของคุณชายอย่างข้าเกินไปแล้ว”
เฉินเกอเห็นบรรยากาศระหว่างทั้งสองดูกระอักกระอ่วนอย่างไรชอบกล เขาจูงม้าเดินเข้าไปหาหนิงมู่ฉือ เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ฉือเอ๋อร์ รีบขึ้นม้าเถิด”
“ฉือเอ๋อร์ เ้ายืนอยู่ใกล้ข้า ขึ้นม้าของข้าดีกว่า ไม่ต้องเดินไปทางนั้นหรอก” จ้าวซีเหอได้ยินเฉินเกอพูดเช่นนั้นก็รีบเอ่ยออกมา ด้วยกลัวว่าหนิงมู่ฉือจะเดินไปขึ้นม้าของเฉินเกอ
หนิงมู่ฉือมีสีหน้าลำบากใจกับคำชวนของทั้งสองคน นางไม่รู้ว่าควรจะตัดสินใจอย่างไรดี ครั้นแลเห็นทั้งสองคนมองมาที่นางอย่างรอคอย นางถอนหายใจออกมาก่อนจะเอ่ยว่า “ข้านั่งม้าของจอมยุทธ์น้อยเฉินดีกว่า ถึงอย่างไรเขาก็เป็ฝ่ายชวนก่อน”
นางมองจ้าวซีเหออย่างกล้าๆ กลัวๆ ท่าทางดูขลาดกลัวอย่างเห็นได้ชัด จ้าวซีเหอได้ยินก็ไม่พอใจ แค่นเสียงฮึขึ้นจมูกก่อนจะบังคับม้าให้เดินนำออกไป
นางยิ้มแหย มองเฉินเกอก่อนจะขึ้นม้าของเขา
ในใจเฉินเกอเต็มไปด้วยความรู้สึกภูมิใจจนริมปากยกโค้งเป็รอยยิ้ม หลังจากหนิงมู่ฉือขึ้นม้าเรียบร้อย เขาบังคับม้าให้เดินไปข้างหน้าตามติดม้าของจ้าวซีเหอไป ทว่าทันทีที่เขาเห็นใบหน้าของหนิงมู่ฉือ อารมณ์ดีใจที่เคยมีพลันหนักอึ้ง
หนิงมู่ฉือเอาแต่มองตามจ้าวซีเหอด้วยสีหน้าไม่สงบนัก ระหว่างทางไม่ได้พูดกับเขาแม้แต่ประโยคเดียว
เขากลืนน้ำลาย เอ่ยถามหนิงมู่ฉืออย่างเป็ห่วง “ฉือเอ๋อร์ หลายวันมานี้ลำบากเ้าแล้ว”
หนิงมู่ฉือมัวแต่มองจ้าวซีเหอ ไม่ได้สนใจฟังที่เฉินเกอพูดแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินเสียงเฉินเกอจึงหันไปมองอย่างสงสัย “จอมยุทธ์น้อยเฉิน ท่านว่ากระไรนะ”
เฉินเกอยิ้มแห้ง ในใจรู้สึกผิดหวังยิ่งนัก สีหน้าเปลี่ยนเป็เรียบเฉย “ไม่มีอันใด”
เขาใช้แส้ฟาดก้นม้า เ้าม้าเงยหน้าร้องฮี้ในอากาศก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าเร็วยิ่งขึ้น
[1] จั้งหงฮวา คือหญ้าฝรั่น