ความกลัดกลุ้มของเฉินซื่อไม่ได้อยู่นานจนเกินไป
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม โหยวอวี่เวยดวงตาบวมแดงเล็กน้อยก็ปรากฏออกมาในลานบ้านของนาง
“อวี่เวย เกิดอะไรขึ้น? เ้าบอกแม่ แม่จะจัดการให้เ้า อย่าเอาแต่เก็บปัญหาไว้ภายในใจเลย” เฉินซื่อคิดอยู่นานมาก รู้สึกว่าน่าจะเป็ปัญหาที่เกิดจากทางฝั่งกู้ฉี
แต่สีหน้าโหยวอวี่เวยกลับประดับรอยยิ้มบางๆ ขึ้น “ท่านแม่ ไม่มีอะไร ไม่ใช่ว่าข้ายังดีๆ อยู่หรือเ้าคะ”
เฉินซื่อมองตาทั้งสองข้างของนางที่แดงเล็กน้อย เ็ปใจไม่หยุด กู้ฉีไม่มีเหตุผลเกินไปแล้วจริงๆ ไม่ชอบโหยวอวี่เวยก็ช่างเถอะ หากเขารีบหมั้นหมายกับคุณหนูครอบครัวอื่นไปเสีย อวี่เวยก็อาจจะเลิกคิดไปเอง แต่กลับยังไม่ยินยอมหมั้นหมายอยู่อีก เอาแต่ยืดเวลาออกไปอยู่อย่างนี้ ทำเอาอวี่เวยต้องถูกดึงมาอยู่ในสภาพน่าอึดอัดใจด้วย
“ท่านแม่ ข้าอยากไปเอ้อโจวสักรอบเ้าค่ะ” โหยวอวี่เวยกล่าวอย่างสงบ
“เอ้อโจว? ไปที่นั่นทำอะไร? ท่านลุงรองของเ้าขณะนี้ไม่ได้ดำรงตำแหน่งเป็ขุนนางที่เอ้อโจวแล้วนะ” เฉินซื่อสีหน้าเปลี่ยนไปทันที นี่บุตรสาวคิดจะทำอะไร?
โหยวอวี่เวยใบหน้ามุ่งมั่น “ข้าจะไปเยี่ยมน้องสาวเจินจู ท่านลุงรองไม่อยู่ก็ไม่ต้องกังวล ข้าไปพักอยู่ฝูอันถัง เชื่อว่าท่านป้าไม่มีทางใจแคบถึงขนาดที่ว่าให้ข้าจ่ายค่าที่พักหรอกเ้าค่ะ”
“เส้นทางเอ้อโจวยาวไกล เดินทางไปกลับบนถนนก็เสียเวลาไปเกือบหนึ่งเดือนแล้ว อวี่เวย ตอนนี้สภาพภายนอกไม่ค่อยสงบ เ้าออกไปคนเดียว แม่จะไม่ห่วงได้อย่างไร เ้าไม่ไปไม่ได้หรือ?” เฉินซื่อรู้นิสัยของบุตรสาวดี หากดื้อรั้นขึ้นมาเกรงว่าวัวสิบตัวก็ดึงไม่กลับ ได้แต่หวังว่าน้ำเสียงอ่อนโยนที่ขอร้องกันจะมีผลต่อความคิดนางได้บ้าง
“ท่านแม่ ข้าอยากไปจริงๆ เ้าค่ะ เดือนกว่าๆ ข้าก็กลับมาแล้วไม่นานเลย ให้ท่านพ่อส่งคนมาคุ้มกันด้วย ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นได้แน่นอน ครั้งก่อนไม่ใช่ว่าข้ากลับมาอย่างราบรื่นหรือเ้าคะ” ในใจโหยวอวี่เวยเกิดความปรารถนาอยากออกจากเมืองหลวง อยากไปดูป่าหงเฟิงทั่วทั้งูเาของครอบครัวสกุลหูแห่งนั้น ว่าความโอ่อ่าสง่างามน่าหลงใหลอย่างไร ที่ทำให้เขาอาลัยอาวรณ์อยู่ตลอดมา
แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดคือบุคคลในป่าหงเฟิงแห่งนั้น
สุดท้ายโหยวฮั่นและภรรยาก็ยินยอมกับการเดินทางไกลของโหยวอวี่เวยในที่สุด
โหยวฮั่นเป็ซื่อตู๋ [1] ของบัณฑิตฮั่นหลิน แม้หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบมีน้อย แต่ก็ต้องลงนามเข้าทำงานทุกวัน หยุดยาวไปเป็เพื่อนบุตรสาวไม่ได้ ทำได้เพียงส่งองครักษ์หนึ่งกลุ่มของจวนท่านโหวคุ้มกันไปด้วย
รวมเข้ากับจื่อยู่และเมอเมอหวังอีกสองคนร่วมเดินทางไปด้วยกัน การเดินทางไกลครั้งที่สองของโหยวอวี่เวยจึงเริ่มขึ้น
วันถัดมากู้ฉีถึงได้รู้ว่าโหยวอวี่เวยไปเอ้อโจวจากผู้เป็มารดา
นี่นางจะทำอะไร? กู้ฉีตกตะลึงจนเหม่อไม่มีสมาธิ
ทำไมนางอยากไปเอ้อโจวกะทันหันเช่นนี้? ที่นั่นนอกจากบ้านสกุลหูแล้ว นางจะรู้จักผู้ใดได้อีก?
โหยวเซียวผู้เป็ท่านลุงรองของนางก็ย้ายไปประจำที่อื่นแล้ว นางจะไปพักที่ใดได้?
ไปบ้านสกุลหูหรือ? เขารู้ว่าเจินจูกับโหยวอวี่เวยติดต่อกันทางจดหมายมาโดยตลอด มอบของขวัญวันเทศกาลให้กันและกันทุกปี และเจินจูยังฝากหลิวผิวส่งไก่บ้านและกระต่ายให้โหยวอวี่เวยในปริมาณเดียวกับเขาอยู่เป็ประจำด้วย
เอ่ยขึ้นมาเช่นนี้ พวกนางอาจมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งกว่าที่เขาคิดไว้ก็ได้
กู้ฉีรู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาเล็กน้อยทันที
แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้โหยวอวี่เวยไปอย่างไม่สนใจได้เช่นกัน
กว๋อจื่อเจี้ยนเพิ่งปิดเตรียมเสื้อหนาว หากเขาอยากลาหยุดยาวไม่ใช่เื่ที่ง่ายดายเพียงนั้น
จนกระทั่งกู้ฉีจัดการเื่ราวได้เหมาะสมลงตัว เวลาก็ล่วงเลยผ่านมาห้าวันแล้ว
แม้กลุ่มของพวกเขาจะม้าเร็วลงแส้ แต่ก็ยังไล่ตามโหยวอวี่เวยไม่ทัน
...ลมเหนือในเดือนสิบของเมืองเจียจิ้นกระโชกแรงขึ้น
ในเขตที่พักอาศัยของหลัวจิ่งกับหลัวรุ่ยอยู่ใกล้กับค่ายทหารอย่างมาก เข้าออกสถานที่ตั้งค่ายได้สะดวกสบายทุกวัน
หลัวจิ่งฝึกซ้อมอยู่ทั้งวัน เมื่อกลับมาถึงในลานบ้านสิ่งแรกที่ทำคือมองว่าต้าไป๋กับต้าฮุยกลับมาหรือยัง
นกพิราบสองตัวฉลาดปราดเปรื่องยิ่งนัก เมื่อไม่มีภารกิจหน้าที่มันมักบินไปเล่นสนุกบริเวณป่านอกเมืองอยู่เป็ประจำ
มีหลายครั้งที่หลัวจิ่งรู้สึกว่านกพิราบสองตัวไปข้างนอกนานเกิน จึงขึ้นไปบนหลังคาบ้านเป่านกหวีดเสียงดังขึ้น ผ่านไปนานเ้านกแสนฉลาดสองตัวถึงได้บินกลับมาจากป่าฝั่งตะวันออกของเมืองอย่างไม่เต็มใจนัก
ต่อมาภายหลังหลัวจิ่งจึงได้รู้ลักษณะนิสัยของพวกมัน เมื่อไม่มีภาระหน้าที่ให้มันรับผิดชอบ ก็จะปล่อยให้พวกมันไปเล่นสนุกตามอำเภอใจ
เขาแค่สำรวจดูตามความเคยชินว่าพวกมันอยู่หรือไม่
ชัดเจนมาก ไม่อยู่กันทั้งสองตัว
หลัวจิ่งทำอะไรไม่ได้ จึงไปล้างหน้าแปรงฟันทำกิจวัตรประจำวันของตนเอง
ตอนค่ำเขาหยิบขลุ่ยไม้ไผ่หนึ่งเลาออกมาจากในลิ้นชัก ลูบไล้มันอยู่นาน แล้วถึงได้นำเข้ามาใกล้ริมฝีปาก
เสียงขลุ่ยทำนองไพเราะรื่นหูดังขึ้นในยามราตรีที่มีแสงรำไร หลัวจิ่งนึกถึงวันเวลาเ่าั้ที่เขาอยู่หมู่บ้านวั้งหลินขึ้นมา
นาง... สบายดีไหมนะ?
จะคิดถึงเขาขึ้นมาเป็บางครั้งบางคราวบ้างหรือไม่?
ป่าหงเฟิงผืนนั้นลุกลามแดงไปทั่วทั้งูเาแล้วหรือยัง?
นางยังเข้าูเาไปเองบ่อยๆ อยู่หรือเปล่า?
นาง... จะรอเขาไหม?
เสียงขลุ่ยนุ่มนวลชวนให้คล้อยตาม นำพาความคิดถึงของใครบางคนพลิ้วไหวอยู่กลางท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิด
หนึ่งบทเพลงยังไม่ทันจบ เสียงฝีเท้ากระชั้นดังขึ้นจากนอกประตู
เสียงขลุ่ยหยุดลงทันที
สายตาลุ่มลึกของหลัวจิ่งมองไปทางนอกประตู “ท่านพี่ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมเร่งรีบเพียงนี้?”
“ท่าจะไม่ดีแล้ว เมื่อครู่มีข่าวแพร่มาว่าตาตาร์เป็พันธมิตรกับหว่าชื่อ ผนึกกำลังทัพหนึ่งแสนห้าหมื่นนาย ตอนนี้มาถึงเมืองถงหลินแล้ว กองกำลังกระชั้นชิดนัก องค์ชายสี่ส่งคนมาเรียกรวมพล” สายตาของหลัวรุ่ยดั่งน้ำแข็งเย็นะเื คิ้วขมวดเป็ปมแน่น
หลัวจิ่งลุกขึ้นยืนพรวดพราด ถามด้วยเสียงกดต่ำ “เกิดอะไรขึ้น แนวต้านของอำเภอจิงกับเมืองเหลียงซาน ทำไมไม่มีข่าวคราวเลยสักนิด?”
“มีรายงานว่ากองกำลังพันธมิตรตาตาร์แบ่งออกเป็สองกลุ่ม ครึ่งหนึ่งอ้อมูเาชวนหยุน โอบล้อมเส้นทางแนวหลังกองทัพของอำเภอจิง ทั้งยังฉวยโอกาสในยามค่ำคืนเข้าโจมตีเมือง โจมตีขนาบข้างทั้งสองฝั่ง อำเภอจิงสามารถรักษาอยู่ได้นานติดต่อกันหนึ่งชั่วยาม” ดวงตาของหลัวรุ่ยเต็มไปด้วยความโกรธอย่างรุนแรง าระหว่างต้าสยาและประชาชนเลี้ยงสัตว์ทางตะวันตกเฉียงเหนือกินเวลามานานหลายทศวรรษ ทุกปีเหล่าทหารกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนต้องเสียชีวิตอยู่ที่ชายแดน ทั้งสองฝ่ายต่างมองกันและกันเป็ศัตรู ราวกับเป็ความแค้นที่ยาวนานหลายชั่วคนก็ไม่ปาน
“เช่นนั้นเมืองเหลียงซานก็ถูกข้าศึกยึดเช่นกัน?” หลัวจิ่งสีหน้าอึมครึม
หลัวรุ่ยไม่กล่าวอะไรอยู่ครู่หนึ่ง “ไปกันเถอะ ไปรวมตัวกันที่ค่ายทหารก่อน”
เดือนสิบตาตาร์ผูกพันธมิตรกับชาวหว่าชื่อทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และทันใดนั้นก็ส่งกองกำลังไปโจมตีชายแดนทางเหนือของอาณาจักรต้าสยาโดย แบ่งเป็สองทาง
ภายในอาณาจักรต้าสยา ดั่งฟ้าร้องเขย่าขวัญบนพื้นที่ราบเรียบ [2] ในห้องโถงราชสำนักเหล่าขุนนางทั้งหลายที่เป็คลื่นลูกใหญ่ใต้น้ำมาโดยตลอด ก็ถูกทำให้ใจนขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน
กองกำลังพันธมิตรตาตาร์ข้ามผ่านูเาชวนหยุนสูงชัน ในความมืดยามราตรีก็ฉวยโอกาสตีโอบทหารด่านหน้าของอำเภอจิงอาณาจักรต้าสยา หลังยึดจุดยุทธศาสตร์อำเภอจิงได้แล้ว จึงยึดครองอำเภอเหลียงซานที่อยู่ใกล้ทั้งหมดอย่างม้าไม่หยุดกีบ ทันทีหลังจากนั้นได้รวมกำลังกองทัพใหญ่มุ่งตรงไปยังเมืองถงหลินทันที
เมืองถงหลินเป็จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของชายแดนอาณาจักรต้าสยา หากทะลุผ่านเมืองถงหลินอย่างม้าเร็วลงแส้หนึ่งวันก็สามารถเข้าสู่พื้นที่ราบภาคกลางได้แล้ว และหากเมืองถูกตีแตก กำแพงเมืองของพื้นที่ต้าสยาก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างยิ่ง
ภายในเมืองถงหลินมีเหล่าทหารกล้าประจำอยู่หนึ่งหมื่นนาย เทียบกับกองทัพใหญ่หนึ่งแสนห้าหมื่นนายของกองกำลังพันธมิตรตาตาร์แล้ว ภารกิจหน้าที่ปกป้องเมืองจึงลำบากและหนักหนามากอย่างไม่ต้องสงสัย
กองทัพใหญ่แปดหมื่นนายขององค์ชายสี่ตั้งมั่นอยู่บริเวณเมืองเจียจิ้น เมื่อสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือจากเมืองถงหลินกว่าจะถูกส่งออกมา ข่าวคราวมาถึงยังองค์ชายสี่เพื่อหารือวางแผนก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน
แม่ทัพหว่าชื่อของกองทัพพันธมิตร ย่อมเป็องค์ชายสามจากหว่าชื่อนามว่าจากานปาลาที่เล็ดลอดเงื้อมมือของหลัวจิ่งไปในตอนนั้นนั่นเอง
มือของหลัวจิ่งกำดาบจนเส้นโลหิตดำปูดโปนขึ้นมา หากวันนั้นเขาขวางคนไว้ได้ ในวันนี้อาจเป็อีกสถานการณ์หนึ่ง
เขาในขณะนี้ได้นำกองกำลังช่วยเหลือขนาดใหญ่สามหมื่นนายรุดไปเมืองถงหลินด้วยตนเองพร้อมกับองค์ชายสี่
ข่าวแพร่มาถึงเมืองหลวงก็เป็เวลาหลังจากนั้นสามวันให้หลัง
ขุนนางทั่วทั้งเมืองหลวงวิ่งเต้นอลหม่านราวกับมดบนหม้อน้ำมันก็ไม่ปาน
เสนาบดีช่วยเหลืองานบ้านเมืองกับพรรคพวกองค์ไท่จื่อต่างปรึกษาแผนการรับมืออยู่ด้วยกัน
ความร้อนใจมากที่สุดย่อมต้องตกเป็ของฉีกุ้ยเฟย
องค์ชายสี่เฝ้าระวังอยู่ชายแดน หากเมืองถงหลินถูกปิดล้อม เขาต้องส่งทหารไปช่วยเหลืออย่างแน่นอน บนสนามรบมีดดาบไร้ดวงตา [3] ผู้นำออกศึกเป็ผู้ที่ตกอยู่ในสภาพแวดล้อมอันตรายที่สุด
ฉีกุ้ยเฟยไม่ใช่แค่กังวลเื่บุตรชายอย่างเดียว อาการประชวรของฮ่องเต้หนักขึ้นเรื่อยๆ ท่านหมอเทวดาพยายามอย่างเต็มที่ ฝืนได้เพียงรักษาให้ฮ่องเต้ได้ฟื้นสติขึ้นมาใน่เวลาหนึ่งทุกวัน เวลาส่วนใหญ่ของฮ่องเต้ล้วนจมดิ่งอยู่ในสภาวะนอนหลับใหล สติสัมปชัญญะเลือนลางอยู่เสมอ พระวรกายนับวันก็ยิ่งผ่ายผอมซีดเซียว
นางคลึงขมับที่เต้นตุบๆ รู้สึกว่าตนเองแทบทนไม่ไหวจนเกือบจะยืนหยัดต่อไปไม่ได้แล้ว
“ท่านหญิง [4] ท่านดื่มชาหน่อยเถิด นี่เป็ชาดอกเบญจมาศที่ฮูหยินของสกุลกู้มอบให้ ครั้งก่อนท่านไม่ใช่กล่าวว่าดื่มแล้วสบายใจอย่างมากหรือเพคะ” เฉาลั่วถวายชาให้นาง
ชาดอกเบญจมาศที่ฮูหยินสกุลกู้มอบให้?
ฉีกุ้ยเฟยยกถ้วยชาเครื่องเคลือบดิบเผาที่ตกแต่งด้วยสีสันงดงาม กลิ่นหอมเข้มข้นของดอกเบญจมาศโชยมา
นางเปิดฝาถ้วยออกแล้วสูดลมหายใจสะอาดสดชื่นเข้าไปในโพรงจมูก
จิบเบาๆ หนึ่งอึก น้ำชาอุ่นไหลลงสู่ลำคอ นางผ่อนลมหายใจออกมาอย่างสบาย
อันซื่อมอบชาดอกเบญจมาศให้หนึ่งกระปุกเล็ก ครั้งก่อนนางเคยลิ้มรสครั้งหนึ่ง กลิ่นของดอกเบญจมาศสะอาดบริสุทธิ์และหอม รสชาติดียิ่งนัก
หลังดื่มจนหมดความรู้สึกปวดศีรษะของนางดีขึ้นมาอย่างมากทันที
ท่านหมอเทวดาจางกล่าวว่า ดอกเบญจมาศช่วยขับลมถ่ายเทความร้อนภายในร่างกาย ล้างตับบำรุงสายตา นางมีไข้มาเป็เวลานาน การดื่มชาดอกเบญจมาศไปบ้างจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของนาง
อาการประชวรหนักของฮ่องเต้ทำให้นางร้อนใจมาก กระทั่งอยากจะใช้วิธีตามอำเภอใจ อย่างการประสงค์ให้ฮ่องเต้ลองเสวยชาดอกเบญจมาศ
แต่ท่านหมอเทวดาจางส่ายหน้า คุณสมบัติของดอกเบญจมาศมีฤทธิ์เย็นเล็กน้อย พระพลานามัยของฮ่องเต้อ่อนแอจึงไม่เหมาะสม
ฉีกุ้ยเฟยดื่มชา พร้อมกับความคิดฟุ้งซ่าน ชายแดนกำลังวุ่นวาย ในเมืองหลวงก็มีลูกคลื่นที่รอวันประทุ และฮ่องเต้ยังประชวรหนัก ทุกสิ่งทุกอย่างปะปนเข้าด้วยกัน นางกลุ้มใจอย่างที่สุด นี่์้าตัดเส้นทางรอดของพวกนางแม่ลูกหรืออย่างไร?
ฮองเฮาเจียงไม่ได้มีจิตใจอดทนเพียงนั้น หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ คนแรกที่ฮองเฮาเจียงจะจัดการย่อมเป็นาง
ฉีกุ้ยเฟยไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเป็ความตายของตนเอง แค่ข้างหลังนางยังมีองค์ชายสี่ผู้เป็บุตรชายกับตระกูลฉีอีก หากนางล้มลงสกุลฉีทั้งหมดจากเบื้องบนลงไปถึงเบื้องล่างหนึ่งร้อยกว่าชีวิตก็ต้องพินาศย่อยยับตามไปด้วยแน่ บุตรชายต่อต้านศัตรูอยู่ชายแดน ไม้เดียวเดินลำบาก [5] จะค้ำจุนไปได้สักเท่าไรกัน
นางกัดริมฝีปากล่าง ความหนักแน่นปรากฏวาบขึ้นมาในดวงตา
“เฉาลั่ว พรุ่งนี้เชิญฮูหยินสกุลกู้มาหอจู่เสียนที”
...หอจู่เสียนเป็โรงเตี๊ยมขนาดใหญ่แห่งหนึ่งทางฝั่งตะวันตกของเมืองหลวง บริเวณโดยรอบเป็ประชาชนและบัณฑิตอาศัยอยู่
สิ่งปลูกสร้างสามชั้นในเมืองหลวงไม่นับว่าโดดเด่นเป็พิเศษ
เมื่ออันซื่อออกมาจากหอจู่เสียน เื่ที่เกิดขึ้นทำให้ตื่นใจนมือเท้าเย็นเยียบเหงื่อแตกไปทั่วทั้งกาย
ขณะที่นั่งรถม้าเดินทางกลับ ผ้าไหมเช็ดหน้าในมือบิดจนกลายเป็กลุ่มก้อน
ร้านสมุนไพรภายใต้ชื่อของจวนสกุลกู้มีจำนวนไม่น้อย ใน่ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ก็ถวายวัตถุดิบสมุนไพรหายากมากมายให้กับเบื้องบนเป็ระยะๆ แต่ไม่สามารถหาโสมคนชั้นยอดที่มีรูปร่างเหมือนกับครั้งก่อนได้เลย
ความหมายของฉีกุ้ยเฟยคือ อาการประชวรของฮ่องเต้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อาศัยการค้ำจุนของท่านหมอเทวดาจางให้หายใจได้มาโดยตลอด ขณะนี้การร่วมมือกันของตาตาร์และหว่าชื่อที่ชายแดนได้ก่อให้เกิดไฟาขึ้น หากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ชีพอย่างกะทันหัน เช่นนั้นอาณาจักรต้าสยาคงตกอยู่ในสถานการณ์อันวุ่นวายทั้งจากภายในและภายนอก จะเกิดาขึ้นติดๆ กัน ชาวบ้านไม่สามารถอยู่เย็นเป็สุขได้ ไม่ใช่เพียงประชาชนทุกข์ยากอย่างเดียว ขุนนางในราชสำนักและนายทหารจำนวนมาก อีกทั้งตระกูลเก่าแก่มีตำแหน่งสูงที่มีอำนาจมากมายล้วนรับผลกระทบเช่นเดียวกันทั้งหมด ดังนั้น... ฮ่องเต้จะเป็อะไรไปไม่ได้เด็ดขาด
คิดถึงความไม่สบายใจและความเด็ดเดี่ยวในดวงตาของฉีกุ้ยเฟยแล้ว อันซื่อตึงเครียดจนใจเต้นรัวเร็วขึ้น นางให้พวกเขาพยายามตามหาโสมคนชั้นยอดที่เหมือนกับครั้งก่อนให้สุดความสามารถ ขอแค่ฮ่องเต้สามารถปลอดภัยผ่าน่เวลานี้ไปได้ ฉีกุ้ยเฟยจะไม่ลืมคุณงามความดีของจวนสกุลกู้เลย
อันซื่อคิดถึงกู้ฉีที่เดินทางไกลไปเอ้อโจวขึ้น สถานที่แหล่งกำเนิดโสมคนชั้นยอด ชายแดนของเทือกเขาไท่หาง และคิดถึงวัตถุดิบอาหารที่หมู่บ้านในูเาเล็กๆ ส่งมาให้ขึ้นอีก รวมไปถึงร่างกายที่แข็งแรงของบุตรชายคนเล็กในขณะนี้ จิตใจนางไม่สงบสุขอย่างมาก
นางกลับมาถึงจวนสกุลกู้ ตรงไปเฮ่อเหยียนถังที่ฮูหยินใหญ่แห่งจวนสกุลกู้อยู่
สองคนปรึกษากันอยู่ครึ่งค่อนวัน อันซื่อกลับมาถึงในบ้านก็เริ่มเขียนจดหมายให้กู้ฉีขึ้น
กู้ฉีในขณะนี้ยังเดินทางอยู่ จดหมายถูกเร่งส่งออกไปจากจุดพักม้า
รอจนกู้ฉีถึงเมืองไท่ผิง จดหมายก็จวนจะไปถึงแล้วเช่นกัน
เชิงอรรถ
[1] ซื่อตู๋ (侍读) คือ คอยรับใช้ฮ่องเต้เล่าเรียนอ่านตำรา หรือสอนหนังสือให้แก่องค์ชาย
[2] ฟ้าร้องเขย่าขวัญบนพื้นที่ราบเรียบ หมายถึง ในพื้นที่สงบ จู่ๆ ก็ทำให้ตกอยู่ในภาวะบางอย่างที่น่าตระหนกใ
[3] มีดดาบไร้ดวงตา หมายถึง ขณะสู้รบกันด้วยอาวุธจริง ยากที่จะควบคุมการถูกทำร้ายจนได้รับาเ็หรือเสียชีวิตได้
[4] ท่านหญิง หรือ 娘娘 คือ คำเรียกราชินีหรือสนมเอก
[5] ไม้เดียวเดินลำบาก หมายถึง กำลังของคนเพียงคนเดียวไม่เพียงพอ เป็คำอุปมาของบุคคลที่มีกำลังอ่อนแอ ประคองสถานการณ์ให้คงอยู่ต่อไปไม่ได้
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้