สองเดือนให้หลัง
หลิ่วถงเห็นเสาหินในลานถูกกระบี่อัคคีสามเล่มของเฉียวรุ่ยหลอมละลายอย่างรวดเร็ว แผดเผากลายเป็เถ้าลอยละล่องกลุ่มหนึ่งก็ตื่นตะลึง กะพริบตาปริบๆ อยู่หลายที
“ลุงถง วิชากระบี่อัคคีชุดนี้ ข้าฝึกสำเร็จแล้ว!” เฉียวรุ่ยเห็นผู้เฒ่ายืนอยู่ข้างกายตจึงแสดงท่าทีตื่นเต้นเหมือนเด็กน้อยคนหนึ่ง
“อืม นายน้อยเฉียวพร์ล้ำเลิศเสียจริง คิดไม่ถึงว่าเวลาสั้นๆ เพียงสองเดือนก็สามารถฝึกวิชาขั้นสองชุดนี้สำเร็จ นอกจากนี้พลังยังเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้น เป็ระดับฝึกปราณขั้นแปดแล้วสินะขอรับ!”
“ฮ่าๆๆ ล้วนเป็วิชาที่ท่านอาหลิ่วมอบให้ หากไม่มีเพลงหมัดชุดก่อนหน้านี้กับวิชาชุดนี้ พลังของข้าคงไม่ก้าวหน้าเร็วเช่นนี้หรอก!”
่นี้ ตอนกลางวันเฉียวรุ่ยฝึกฝนเพลงหมัดกับวิชาพลังทิพย์ขั้นสอง กลางคืนใช้น้ำพุที่เทียนฉีให้มาอาบน้ำ แล้วดูดกลืนศิลาทิพย์ให้พลังมั่นคง เมื่อในมือมีวิชาทั้งยังไม่ขาดศิลาทิพย์ เขาจึงก้าวหน้าได้อย่างว่องไว
“ถึงมีวิชาดี นายน้อยเฉียวก็ต้องมีพร์ในการฝึกฝนอันล้ำเลิศด้วยถึงจะทำได้นะขอรับ”
“ฮ่าๆ ลุงถง ท่านไม่ต้องชมข้าแล้ว เทียนฉีเก็บตัวเข้าสู่ระดับสร้างรากฐาน ข้าเพิ่งถึงระดับฝึกปราณขั้นแปด เทียบกับเขายังคงห่างไกลนัก!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“จะเหมือนกันได้อย่างไรขอรับ นายน้อยมีวิชา โอสถสร้างรากฐาน ศิลาทิพย์ และยังมีสมบัติวิเศษอื่นๆ ที่นายท่านสามซื้อให้ การเก็บตัวเลื่อนระดับย่อมเป็เื่ที่สำเร็จได้ราบรื่น ต่างกับนายน้อยเฉียวที่ก่อนหน้านี้ขาดทรัพยากรมาตลอด แต่พลังกลับไม่ล้าหลังผู้อื่น เรียกได้ว่าท่านมีพร์ร้ายกาจไม่ธรรมดาเลยขอรับ!”
หลิ่วถงคิดในใจ ‘หากชาติกำเนิดของนายน้อยเฉียวดีกว่านี้อีกสักหน่อย บางทีเวลานี้ พลังของเขาอาจสูงกว่า ณ ตอนนี้อยู่บ้าง ทว่าแม้ไม่มีบิดามารดา เฉียวรุ่ยกลับหาเลี้ยงตนรอด หาศิลาทิพย์ใช้ได้ พึ่งตนเองจวบจนอายุสิบเก้าปีถึงมีพลังระดับฝึกปราณขั้นเจ็ด นับว่าไม่ธรรมดานัก!’
“คิกๆ ลุงถงล่ะก็ ชอบชมข้าจริง!” เฉียวรุ่ยยิ้มพลางหยิบผ้าขนหนูในมือผู้เฒ่ามาเช็ดหน้า ออดอ้อนผู้เฒ่าอย่างสนิทสนม
“นายน้อยเฉียวเป็เ้านายนิสัยดีที่สุดที่ข้าน้อยเคยเห็นมาเลยขอรับ”
“พอแล้วลุงถง เลิกชมข้าเถอะ จริงสิ พักนี้ข้าอยู่บ้านฝึกฝนวิชากระบี่อัคคีนี้ตลอด ไม่ได้ออกไปข้างนอกครึ่งเดือนแล้ว พวกเราไปเดินเล่นกันหน่อยไหม?”
“ดีขอรับ ข้าน้อยจะพาผู้คุ้มกันไปเป็เพื่อนนายน้อยเฉียวด้วยนะขอรับ”
“ไม่ต้องๆ ข้าปกป้องตัวเองได้ พวกเราไปกันสองคนก็พอ ไม่ต้องรบกวนผู้อื่นหรอก!” เฉียวรุ่ยส่ายศีรษะ ไม่อยากลำบากผู้คุ้มกันในจวน
“แต่นายท่านสามสั่งไว้ ออกไปข้างนอกให้พาคนไปมากหน่อย เพื่อรับประกันความปลอดภัยของนายน้อยเฉียวนะขอรับ”
“ก็ ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็พาผู้คุ้มกันไปสองคนแล้วกัน!” เฉียวรุ่ยกลัวลุงถงลำบากใจ ได้แต่พยักหน้าตกลง
หลังจากนั้น เขาพาลุงถงกับผู้คุ้มกันออกจากบ้านไปอย่างร่าเริง
.........
เฉียวรุ่ยเดินวนตลาดของเก่าด้านนี้รอบหนึ่ง ไม่พบของที่ถูกใจจึงพาทุกคนวนรอบร้านขายของชำน้อยใหญ่อีกรอบหนึ่ง แต่ก็ยังหาสมบัติที่ใช่ไม่พบอยู่ดี
“วันนี้โชคไม่ค่อยดีเลยนะ!” ที่จริงเขารู้ สมบัติไม่มีทางพบได้ทุกวันหรอก แต่พอหาไม่พบ สองมือว่างเปล่าก็ทำใจรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง
“สมุนไพรทิพย์ ผลึกอสูร สมุนไพรทิพย์ ผลึกอสูร กระดูกสัตว์อสูรสดใหม่...”
ทันใดนั้น เสียงเรียกขานเสียงหนึ่งก็ดังเข้าหู เฉียวรุ่ยมองตามเสียงไปทางหัวมุมถนนด้านนั้นก็เห็นชายฉกรรจ์ร่างบึกบึน หนวดเคราเชื่อมกับจอนผม ซีกหน้าด้านซ้ายมีรอยแผลเป็จากดาบรอยหนึ่งกำลังขายของ ดูไปแล้วน่ากลัวเอาเื่
“ลุงถง พวกเราไปดูกันเถอะ!”
เห็นท่าทางของชายฉกรรจ์คนนั้น เฉียวรุ่ยก็ดีใจทันที คนผู้นี้มองปราดเดียวไม่เหมือนพ่อค้าที่ทำการค้า แต่เหมือนสมาชิกกลุ่มทหารรับจ้างที่มักโผล่บนป่าเขาล่าสังหารสัตว์อสูรมากกว่า ส่วนบนแผงก็มีทั้งผลึกอสูร หนังสัตว์อสูร กระดูกสัตว์อสูร เนื้อสัตว์อสูรของสัตว์อสูร และยังมีก้อนหินกับสมุนไพรทิพย์นานาชนิด ชั่วพริบตาที่ชำเลืองมองก็รู้ว่าเป็ของที่หามาจากบนูเา
“ขอรับ!” หลิ่วถงเห็นเฉียวรุ่ยดีใจเดินเข้าไปก็รีบร้อนติดตามไปด้วย
จากการมีปฏิสัมพันธ์่สามเดือนที่ผ่านมา หลิ่วถงรู้ว่านายน้อยเฉียวคนนี้มีงานอดิเรกเล็กๆ อยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือชอบสะสมข้าวของแปลกประหลาดจำนวนหนึ่ง ตัวอย่างเช่น ก้อนหินที่ประโยชน์อะไรหามีไม่นอกจากรูปร่างสวย แล้วยังมีอุปกรณ์อาคมพังๆ จำนวนหนึ่งรวมถึงสมุนไพรทิพย์ที่ใกล้เหี่ยวด้วย
แต่ของเล่นเล็กน้อยเหล่านี้ก็ใช้ศิลาทิพย์ไม่เท่าไร หากนายน้อยเฉียวชอบ คนรับใช้อย่างเขาย่อมไม่ว่า
เฉียวรุ่ยอารมณ์ดีเดินมาถึงหน้าแผง สายตากวาดผ่านสินค้าทีละอย่าง ท้ายที่สุดก็จับอยู่บนสมุนไพรทิพย์ที่เหี่ยวไปครึ่งแล้วต้นหนึ่ง
“สมุนไพรทิพย์ต้นนี้ขายอย่างไรหรือ?”
“ห้าก้อนศิลาทิพย์!” ชายฉกรรจ์มองสมุนไพรทิพย์ที่เฉียวรุ่ยชี้ทีหนึ่งก่อนบอกราคา
“ห้าก้อน เ้าจะปล้นเงินหรือ? สมุนไพรทิพย์นี้มีหกใบ เหี่ยวไปแล้วสาม มีค่าห้าก้อนศิลาทิพย์ได้ที่ไหนเล่า สองก้อนยังพอทำเนา!”
ได้ยินเฉียวรุ่ยหั่นราคา หลิ่วถงส่ายศีรษะก่อนหลุดยิ้ม นายน้อยเฉียวเป็เด็กที่เกิดมาลำบาก ทุกครั้งที่ซื้อของล้วนต้องต่อราคา จ่ายศิลาทิพย์เพิ่มก้อนหนึ่งก็มองว่ามันน่ารังเกียจและสิ้นเปลือง
“สหายผู้ฝึกตน ดูเสื้อผ้าเ้าไม่คล้ายคนไม่มีศิลาทิพย์เลยนะ พวกเราขึ้นเขาสัตว์อสูรเที่ยวนี้เสียพี่น้องไปสามคน ยังมีพี่น้องอีกแปดคนได้รับาเ็ ก็อาศัยเงินที่ขายของนี่แหละในการรักษา ข้าว่าศิลาทิพย์ห้าก้อนถือว่าไม่มากนะ นี่เป็ถึงสมุนไพรทิพย์ขั้นสอง หากไม่เหี่ยวล่ะก็ อย่างน้อยก็ขายได้ยี่สิบก้อนศิลาทิพย์เชียว?”
“แต่ก็เหี่ยวแล้วนี่? ข้าเอากลับไปจะเลี้ยงรอดหรือไม่ยังเป็ปัญหาอยู่เลย? หากตายไป ก็เป็ข้ามิใช่หรือที่ต้องเสียศิลาทิพย์”
“สี่ สี่ก้อน ต่ำสุดสี่ก้อน!” ชายฉกรรจ์กัดฟันลดราคา
“ต่างฝ่ายต่างถอยก้าวหนึ่ง สามก้อน สามก้อนเป็อย่างไร?”
“นี่...” ชายฉกรรจ์เห็นเฉียวรุ่ยต่อราคาเก่งเช่นนี้ก็อับจนวาจา กำลังจะตกลงก็ได้ยินอีกเสียงหนึ่ง
“อะไรกัน จนปานนี้เชียว สมุนไพรทิพย์กิ๊กก๊อกห้าก้อนศิลาทิพย์ก็ต้องต่อราคากับผู้อื่นด้วยหรือ?”
ได้ยินเสียงจากด้านหลัง เฉียวรุ่ยก็โมโหจนกัดฟัน เขาหันไปมองหลิ่วอู่อย่างดุร้าย
“คุณหนูสาม คุณหนูสี่ คุณหนูห้า!” หลิ่วถงกับผู้คุ้มกันรีบร้อนค้อมศีรษะ ทักทายคุณหนูทั้งสามที่เดินเข้ามา
“เฉียวรุ่ย เ้าทำตระกูลหลิ่วของพวกเราขายหน้าจริงๆ สมุนไพรทิพย์สดใหม่วางอยู่เ้าไม่ซื้อ ดันจะซื้อสมุนไพรทิพย์ใกล้เหี่ยวนั่น ราคาห้าก้อนศิลาทิพย์ก็ยังจะทะเลาะต่อราคากับผู้อื่นอีก เป็ตัวน่าอับอายจริงๆ!”
แค่เห็นเฉียวรุ่ยผู้นี้ หลิ่วอู่ก็ชิงชังอยากเชือดทิ้งนัก ั้แ่เล็กจนโตไม่เคยมีใครสักคนกล้าต่อยตีนาง แถมยังต่อยแรงปานนั้น เฉียวรุ่ยถือเป็คนแรก!
“เฮอะ แผลหายแล้วหรือ? วิ่งมาให้ต่อยอีกครั้งหรือไง?” เฉียวรุ่ยหรี่ตา มองคนแพ้แล้วเชิดคางขึ้น สีหน้าเหยียดหยาม ไม่เห็นอีกฝ่ายอยู่ในสายตาสักนิด
“เ้า...” หลิ่วอู่ได้ยินเข้าก็กำหมัดแน่นจะพุ่งเข้าหา แต่กลับถูกมือหนึ่งของหลิ่วซือรั้งไว้
“ห้ามก่อเื่!” หลิ่วซือมองออกว่าเฉียวรุ่ยกำลังจงใจยั่วโมโหน้องห้า เป้าหมายก็เพื่อให้น้องห้าลงมือก่อน ในฐานะพี่สาว นางจะให้เกิดเื่ได้อย่างไรเล่า?
“พี่สี่?” หลิ่วอู่ขมวดคิ้ว สีหน้าน้อยใจหันไปมองพี่สาวตน
ก่อนหน้านี้นางถูกเ้าสารเลวทำร้ายหนักเช่นนั้น แค้นนี้นางจะยอมได้อย่างไร?
“เ้าลืมคำเตือนที่ท่านอาสามพูดกับเ้าแล้วหรือ?” เห็นน้องสาวบุ่มบ่าม หลิ่วซือก็เอ่ยเตือนเสียงนิ่ง
คิดถึงอาสาม หลิ่วอู่ก็เหมือนลูกบอลหนังถูกปล่อยลมทันที ก้มหน้าไม่กล้าเอ่ยวาจาอีก
“ผู้นี้คงเป็น้องเฉียวรุ่ย คู่หมั้นของน้องเจ็ดสินะ? ข้าคือ...” หลิ่วซานก้าวเท้าเข้าไป เป็ฝ่ายเอ่ยปากแนะนำตนเองก่อน
นี่เป็ครั้งแรกที่หลิ่วซานพบเฉียวรุ่ย พริบตาที่เห็น หลิ่วซานมีความรู้สึกไม่สบายใจบางอย่าง เมื่อคิดว่าคนผู้นี้ ก่อนหมั้นกับน้องเจ็ดก็เป็สามีภรรยาทางกายกันแล้ว นางยิ่งรู้สึกไม่ชอบ แต่เพราะอย่างไรก็เป็ครอบครัวเดียวกัน ในฐานะพี่สาวฝั่งพ่อ นางก็ควรใจกว้างสักหน่อย
“ไม่ต้องแนะนำตัว ของแบ่งหมวดคนแบ่งพวก เ้าอยู่ด้วยกันกับหลิ่วอู่ยัยอัปลักษณ์คนนี้ได้ย่อมบ่งบอกว่าเ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร ดังนั้นข้าไม่สนที่จะรู้จักเ้า!”
“เฉียวรุ่ย เ้ามันเกิดมาไร้มารยาท เ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเราล้วนเป็พี่สาวฝั่งพ่อของน้องเจ็ด เป็ครอบครัวของเขา เ้าเป็คู่หมั้นของผู้อื่นกลับไร้มารยาทกับพี่สาวของสามีเช่นนี้ แท้จริงเ้ารู้จักสิ่งใดคือมารยาทและกฎเกณฑ์หรือยัง?” หลิ่วอู่จับความผิดของเฉียวรุ่ย เอ่ยขึ้นอย่างไม่ละเว้น
“คนที่ดีกับเทียนฉีอย่างจริงใจ ข้าย่อมปฏิบัติกับเขาเหมือนครอบครัวของข้า คนที่ทั้งวันรังแกเทียนฉี ปากเรียกเขาว่าเ้าขยะน้อยทุกคำพวกนั้น ไม่คู่ควรได้รับความเคารพหรอก!” เฉียวรุ่ยมองนางด้วยสายตาเ็า เอ่ยเต็มปากเต็มคำ
“เ้า...” หลิ่วอู่ได้ยินคำนี้ก็โกรธจนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“พี่สาม น้องห้า พวกเราไปก่อนเถิด!” หลิ่วซือมองหลิ่วซานกับหลิ่วอู่แล้วเสนอให้จากไป
เฉียวรุ่ยคนนี้พูดแต่ละประโยคล้วนแอบเหน็บแนม แสดงชัดว่าอยากยั่วโมโหน้องห้า ให้น้องห้าลงมือทำร้ายเขาก่อน ในฐานะพี่สาวจะปล่อยให้เกิดเื่ขึ้นไม่ได้ หากน้องห้าทำร้ายเฉียวรุ่ยขึ้นมา ท่านอาสามต้องไม่ละเว้นแน่
“อืม ไปเถอะ!” เฉียวรุ่ยทำให้หลิ่วซานรู้สึกไม่ชอบมากขึ้น นางจึงไม่อยากรั้งให้อยู่นาน
เห็นทั้งสามหมุนตัวจากไป เฉียวรุ่ยก็ยักไหล่ไม่สนใจ หันมาหามองชายฉกรรจ์ต่อ “เอาอย่างไร สามก้อนศิลาทิพย์ขายหรือไม่? มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!”
ได้ยินคำนี้ ชายฉกรรจ์พลันส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ก็ได้ ข้าขายให้เ้า!”
“รับ!” เฉียวรุ่ยนำศิลาทิพย์สามก้อนให้อีกฝ่าย จากนั้นหัวเราะฮ่าๆ ก่อนจะหยิบสมุนไพรทิพย์ต้นนั้นไป
.........
เมื่อกลับมาถึงจวนตระกูลหลิ่ว เฉียวรุ่ยก็ให้หลิ่วถงช่วยเขาหาชามมาใบหนึ่ง
“นายน้อยเฉียว ข้าว่าสมุนไพรทิพย์ต้นนี้เหี่ยวหมดแล้ว เกรงว่าคงเลี้ยงไม่รอดหรอกขอรับ!” หลิ่วถงเห็นคนที่กำลังกระตือรือร้นจัดสมุนไพรทิพย์อยู่ก็อดเตือนสติไม่ได้
“สมุนไพรทิพย์ต้นนี้เลี้ยงไม่รอด เื่นี้ข้ามองออกอยู่แล้วล่ะ!” เหี่ยวจนแห้งเช่นนี้ จะเลี้ยงรอดได้ที่ไหนเล่า
“อ๋า? นายน้อยเฉียว ท่าน แม้ท่านรู้ชัดว่าสมุนไพรทิพย์ต้นนี้จะเลี้ยงไม่รอด แต่ท่านก็ยังคิดซื้อหรือขอรับ?” หลิ่วถงมองเฉียวรุ่ย เอ่ยถามอย่างฉงน
“ที่ข้าซื้อไม่ใช่สมุนไพรทิพย์ แต่เป็แมลงน้อยตัวนี้” พูดพลางเด็ดใบหนึ่งของสมุนไพรทิพย์ออกมาวางไว้ในชามใบน้อยที่หลิ่วถงหยิบมาให้
“นี่ นี่คือแมลงอะไรขอรับ?” หลิ่วถงมองดูแมลงสีดำตัวกลมเกลี้ยงขนาดเพียงเท่าเล็บ หมอบนิ่งไม่ขยับอยู่บนใบสมุนไพรทิพย์ก็เอ่ยถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“มันคือแมลงผายลม กินได้ นอนได้ ผายลมได้ ข้าจะเลี้ยงมันให้ดีๆ รอหลังเทียนฉีออกมา ให้เทียนฉีทำพันธสัญญา เขาต้องชอบแน่” พูดถึงตรงนี้ ก็เด็ดใบสดอีกสองใบมาวางไว้ในชาม
“นายน้อยเฉียว ท่านวางมันไว้ในชาม มันจะไม่หนีไปหรือขอรับ?” หลิ่วถงมองแมลงผายลมที่เริ่มกัดกินใบของสมุนไพรทิพย์ในชามแล้วเอ่ยถามอย่างไม่วางใจ
“วางใจเถอะลุงถง เ้าตัวนี้น่ะี้เีจะตาย มีของกินมีที่นอน มันไม่มีทางวิ่งไปมามั่วซั่วหรอก”
“อ้อ!” ได้ยินเฉียวรุ่ยว่าเช่นนี้ หลิ่วถงจึงวางใจพลางคิด ‘หากนายน้อยได้ของขวัญพิเศษชิ้นนี้ จะรู้สึกอย่างไรกันนะ?’