เที่ยงวัน ในเรือนของหลิ่วเหอ
“นายท่านสาม นายท่านใหญ่ส่งคนมาเชิญท่านไปรับประทานอาหารกลางวันขอรับ!” หลิ่วถงเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่แล้วเอ่ยแจ้ง
“ไม่ไป!” หลิ่วเหอปฏิเสธทันที
“นายท่านสาม คนที่มาบอกว่านายท่านใหญ่อยากพบนายน้อยเจ็ดเสียหน่อย อยากสอบถามว่าออกไปฝึกวิชาด้วยกันกับนายน้อยหกหรือเปล่า แล้วรู้หรือไม่ว่านายน้อยหกพบอันตรายอะไร” หลิ่วถงเอ่ยตามจริงต่อ
“บอกพวกเขาว่าฉีเอ๋อร์เก็บตัวฝึกฝนอยู่ ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น!”
“ขอรับ!” หลิ่วถงขานรับ หมุนตัวจากไป
.........
ในเรือนของหลิ่วเจียง
หลิ่วเจียงกับหลิ่วไห่ สองพี่น้องรอหลิ่วเหอมาร่วมทานอาหาร
“นายท่านใหญ่ นายท่านสามกำลังเก็บตัววาดยันต์ บอกว่ามาไม่ได้ขอรับ!” พ่อบ้านเดินเข้ามาแจ้งอย่างนอบน้อม
“อ้อ! ถ้าอย่างนั้นฉีเอ๋อร์เล่า?” หลิ่วเจียงพยักหน้ารับแล้วถามต่อ
“นายท่านสามบอกว่านายน้อยเจ็ดเก็บตัวฝึกฝนอยู่ ไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น!”
“เก็บตัวฝึกฝน ขยะพรรค์นั้นยังต้องเก็บตัวฝึกฝนด้วยหรือ?” หลิ่วไห่เบ้ปาก เอ่ยขึ้นอย่างดูแคลน
“เฮ้อ น้องรองระวังคำพูดด้วย!” หลิ่วเจียงเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึม
“ข้าพูดผิดหรือ? เดิมทีก็เป็เช่นนั้นนี่ หลิ่วเทียนฉีเกิดมาเป็ขยะ หลายปีมานี้ไม่ว่าเขาฝึกฝนอย่างไรก็อยู่ระดับฝึกปราณขั้นสาม ไยต้องปิดประตูเก็บตัวฝึกฝนอีกเล่า? ข้าว่าเขาไม่กล้ามาต่างหาก การตายของเทียนลู่ต้องเกี่ยวข้องกับเขาแน่!”
“น้องรอง คำพูดนี้ไม่อาจพูดได้นะ เทียนฉีจะเกี่ยวข้องกับการตายของเทียนลู่อย่างไรล่ะ?”
หากเ้าขยะน้อยเกี่ยวข้องจริง เช่นนั้นน้องรองจะมีศัตรูร่วมกับตน ช่วยจัดการเ้าสามหรือเปล่านะ?
คิดถึงตรงนี้ หลิ่วเจียงพลันรู้สึกว่าโอกาสมาแล้ว เขาควรใช้ประโยชน์จากการตายของเทียนลู่ให้ดีๆ
“หากไม่เกี่ยวข้อง ทำไมเขาไม่กล้ามาล่ะ?” หลิ่วไห่พูดเหมือนมีเหตุผล
“น้องรอง เ้าอย่าร้อนใจไป พี่ใหญ่จะช่วยเ้าค้นหาศพ ค้นหาศัตรูมาฆ่ากับมือ เ้าได้แก้แค้นให้เทียนลู่อย่างแน่นอน” หลิ่วเจียงลั่นวาจาเป็มั่นเป็เหมาะ
“ขอรับ ทุกสิ่งข้าล้วนไหว้วานพี่ใหญ่ ลูกชายต้องมาตายั้แ่ยังหนุ่ม ช่างตายไม่คุ้มเสียจริง!”
คิดถึงบุตรชายที่เพิ่งอายุยี่สิบปีต้องจบชีวิต หลิ่วไห่พลันขอบตาแดง
“อืม น้องรองวางใจเถิด พี่ใหญ่จะทุ่มกำลังเต็มที่ ช่วยเ้าตามหาคนร้ายตัวจริงให้ได้”
.........
เรือนหลัง
หลิ่วซือกับหลิ่วซานมองหลิ่วอู่มีสีหน้าซีดขาวนอนอยู่บนเตียง พร้อมช่วยทายาให้
“ทำไมท่านอาสามถึงทำเช่นนี้ ถึงกับ ถึงกับทำเพื่อบุรุษสองเพศ ใช้อำนาจกดดันระดับดวงปราณกับข้าที่เป็หลานสาวแท้ๆ นี่เขาคิดจะฆ่าข้าหรือ?” หลิ่วอู่นอนอยู่บนเตียง น้ำตาร่วงผล็อยๆ อย่างคับแค้น
“น้องห้า ไม่ใช่ว่าข้าอยากว่าเ้าหรอกนะ แต่ปากของเ้าช่างไม่มีหูรูด เ้ารู้ดีอยู่แล้วว่าั้แ่เื่เมื่อสามปีก่อน ท่านอาสามก็คิดแค้นเ้า และนี่เ้ายังกล้าวิ่งไปเรือนของท่านอาสาม พูดจาไม่ยั้งคิด ไม่ใช่เ้าเองหรือรนหาที่ตาย?” หลิ่วซือเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
เ้าห้ากับเ้าหกนี่ล้วนพฤติกรรมเหมือนกัน ทำสิ่งใดไม่ใช้สมองสักนิด ก่อนหน้านี้ถูกโบยด้วยแส้ิญญาเพราะหลิ่วเทียนฉี คราวนี้ยังวิ่งไปหาเื่ถึงในเรือนท่านอาสามอีก น่าหนักใจจริง!
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ใช่ว่าข้าลงมือก่อนนะ เฉียวรุ่ย เฉียวรุ่ยต่างหากที่ลงมือก่อน!” หลิ่วอู่ร้องไห้อย่างไม่ยอมแพ้ นางไม่มีทางพูดว่าเป็ความผิดตนแน่
“น้องห้า เฉียวรุ่ยเป็ใครกัน? น้องเจ็ดมีคู่หมั้นโผล่มาั้แ่เมื่อไร ทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?” หลิ่วซานมองหลิ่วอู่ ถามขึ้นอย่างสงสัย
“เื่นี้ข้าก็ไม่รู้?” หลิ่วอู่ส่ายศีรษะตอบกลับ
“อ้อ เื่นี้ เมื่อครู่ข้าออกไปถามคนรับใช้ในจวนมาแล้ว พวกเขาบอกว่าหนึ่งเดือนก่อนเฉียวรุ่ยกลับมาด้วยกันกับเทียนฉี ได้ยินว่าเป็บุรุษสองเพศไม่มีพ่อไม่มีแม่ ส่วนของขวัญหมั้นหมาย ท่านอาสามก็ให้กับตัวเฉียวรุ่ยโดยตรง” หลิ่วซือเอ่ยปากเล่า
เพราะน้องสาวถูกทำร้าย หลิ่วซือจึงต้องส่งคนไปสืบเบื้องลึกเื้ัมาสักหน่อย
“อะไรนะ ถึงกับเป็บุรุษสองเพศที่กระทั่งพ่อแม่ก็ไม่มีเชียวหรือ?” หลิ่วอู่ได้ยินก็ตกตะลึงอย่างยิ่ง
“ต้องพูดว่าเป็บุรุษสองเพศให้กำเนิดบุตรยากมิใช่หรือ? ทำไมท่านอาสามถึงตกลงให้น้องเจ็ดหมั้นกับเขากันเล่า?” หลิ่วซานมองหลิ่วซือพลางเอ่ยถามอย่างฉงน
แม้น้องเจ็ดพลังไม่ดีนัก แต่ด้วยกำลังทรัพย์ของตระกูลหลิ่ว จะแต่งสตรีธรรมดาที่ฝึกฝนไม่ได้สักคนเป็ภรรยาก็ไม่ใช่เื่ยากอะไรนี่? ทำไมท่านอาสามต้องยอมรับบุรุษสองเพศเป็ลูกสะใภ้กัน?
“คิดว่าเฉียวรุ่ยคงมีเล่ห์กลอยู่บ้าง ข้าได้ยินว่าน้องเจ็ดกลับมาคราวนี้พลังหยางรั่วไหลด้วย”
“อะไรนะ? บุรุษสองเพศคนนี้ช่างหน้าไม่อายเสียจริง?” ได้ยินคำพูดของหลิ่วซาน หลิ่วอู่ก็ส่งเสียงอุทานด้วยความใ ลืมแม้กระทั่งร้องไห้
“คนผู้นี้ช่าง...” หลิ่วซานอ้าปาก ชั่วขณะหนึ่งหาคำที่เหมาะสมมาพรรณนาคนผู้นี้ไม่พบ
“เขามันตัวแพศยา ราคะไม่มีที่สิ้นสุด ตัวแพศยาหน้าไม่อาย” หลิ่วอู่ด่าหยาบคายเสียงดังลั่น
“พอแล้ว เ้าระวังเสียงหน่อย ไม่กลัวท่านอาสามได้ยินเข้าหรือไร!” หลิ่วซือถลึงตาใส่ ชำเลืองมองน้องห้าที่ด่าอยู่อย่างจนปัญญา
“อ้อ!” ได้ยินพี่สาวเอ่ยถึงท่านอาสาม หลิ่วอู่ก็เงียบทันที